“อ๋อ…คุณเป็นน้องชายพี่ภูใช่มั้ยคะ”
ภูริทัตพยักหน้ายิ้มให้ “ดีใจที่เธอจำฉันได้”
“ต้องจำได้สิคะ ตอนนั้นหวานอายุสิบห้าแล้วไม่ใช่เด็กสองขวบ” น้ำหวานหยุดพูด หันมองพี่สาว “แต่พี่ตาลไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องตอนนั้น” เธอลดเสียงลง
“ฉันเข้าใจ” ภูริทัตยิ้มพยักหน้าให้
“หวาน!” น้ำตาลส่งเสียงเตือนน้อง
“ที่นี่มีร้านอร่อยหลายร้าน พวกเธออยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้ นายเป็นเจ้ามือมั้ยล่ะ” น้ำตาลรีบบอก ขืนให้เลือกสักร้านในห้างนี้กระเป๋าเธอได้ฉีก
“นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เพื่อนหนุ่มส่ายหน้าหัวเราะ
“ใครจะไปรวยเหมือนนาย” น้ำตาลค้อน
น้ำตาลไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ที่ยอมมาด้วยเพราะภูริทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ชาย เธอรู้ว่าภูริทัตชอบมาเดินที่นี่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายสุด ๆ ที่เธอมาที่นี่อีกครั้งในรอบสามปีแล้วเจอเขาเข้าพอดี
“พวกเธอมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอ” ภูริทัตถาม “ฉันคิดว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกฉันคงเจอเธอแล้ว”
“เมื่อวานเป็นวันเกิดหวาน พี่ตาลเลยพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด” น้องสาวตอบแทน
น้ำตาลหรี่ตาเตือน “หวาน!”
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ภูริทัตอวยพร แกล้งทำเป็นไม่สนใจคนเป็นพี่ที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ” น้ำหวานยิ้มตอบแล้วหันไปสนใจดูสิ่งรอบ ๆ ตัวต่อ
“เธอเป็นไงบ้าง อย่าทำเหมือนว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” ภูริทัตชวนคุย
“นายไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังกวนโอ๊ยเหมือนเดิม”
น้ำตาลกรอกตาใส่ รู้สึกผ่อนคลายลง ภูริทัตยังขี้เล่นเหมือนเดิม ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าแม้ว่าเธอจะแกล้งทำแบบนั้น
เพื่อนหนุ่มยักไหล่ “ฉันไม่ถอดใจอะไรง่าย ๆ หรอก เธอจำได้มั้ย ฉันโทรหาเธอแต่เธอไม่เคยรับสายฉันแต่ฉันก็ยังโทรต่อไป แม้ว่าเธอจะปิดเครื่องหนีฉันก็โทร ถึงจะติดต่อเธอไม่ได้แต่ฉันก็ยังรอด้วยความหวังว่าเธอจะโทรกลับ” เขาหยุด จ้องหน้าหญิงสาว “แต่เธอหายตัวไปติดต่อไม่ได้อีกเลยตาล” น้ำเสียงตัดพ้ออย่างชัดเจน
น้ำตาลเม้มปาก
“ทำไมเธอถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้” ภูริทัตส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
น้ำตาลหยุดเดิน ทำให้ชายหนุ่มหยุดตาม “ฉันไม่ต้องการคุยเรื่องนี้กับนาย นายไม่เข้าใจหรอกว่าฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“งั้นบอกฉันสิ บอกฉันมาว่าเพราะอะไรทำไมเธอถึงหนีไป เล่าให้ฉันฟังสิว่าอะไรทำให้เธอหนีไปแล้วไม่กลับมาอีก” ภูริทัตพูดเสียงเครียด
ทั้งคู่มองหน้ากัน
“โอ๊ย!!!” เสียงของน้ำหวานที่จู่ ๆ ก็หยุดเดินมือกุมท้องทำตัวงอเรียกให้ทั้งสองคนหันไปมอง
“หวานเป็นอะไรไป” น้ำตาลตกใจเป็นห่วงน้อง
“หวานปวดท้อง จู่ ๆ ก็ปวดแบบปวดมากจนเดินไม่ไหว” น้ำหวานตอบ สีหน้าดูย่ำแย่
“ไปหาที่นั่งพักก่อน” น้ำตาลพยุงน้องสาวไปนั่งพักยังม้านั่งที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ดีขึ้นมั้ยหวาน”
น้องสาวส่ายหน้า
“ไหนปวดตรงไหนบอกพี่ซิ”
“ตรงแถว ๆ นี้” น้ำหวานวางมือตรงท้องน้อยด้านขวา
น้ำตาลกับภูริทัตมองหน้ากันแล้วหันกลับไปดูคนเจ็บที่บัดนี้เหงื่อออกเต็มใบหน้า
“อยู่ดี ๆ ก็ปวดหรือว่าก่อนหน้านี้ปวดแต่ไม่บอกพี่” ถามย้ำให้แน่ใจ
น้ำหวานหน้าซีด “หวานปวดตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ไม่มาก เป็น ๆ หาย ๆ เลยคิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย”
“โธ่หวาน ทำไมไม่บอกพี่”
“ฉันว่าพาหวานไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า” ภูริทัตพูดแทรก
“เดินไหวมั้ยหวาน” น้ำตาลถาม
“พอไหวค่ะ” น้องสาวตอบ ถึงจะเจ็บก็ต้องไหว
“ให้ฉันอุ้มมั้ย” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเสนอ
สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความรู้สึกต่างกัน คนเป็นพี่เป็นห่วง แต่คนเป็นน้องอายเมื่อนึกภาพตัวเองถูกผู้ชายอุ้มกลางห้าง แล้วเขาก็หล่อด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ หวานเดินเองได้ แค่ให้หวานเกาะแขนไปก็พอ” เธอรีบปฏิเสธ
น้ำตาลและภูริทัตช่วยพยุงน้องสาวเดินมาได้ครึ่งทาง สีหน้าคนเจ็บดูย่ำแย่มาก กัดฟันทนจนเหงื่อแตกพลั่ก สุดท้ายเธอทำท่าจะล้มลง ภูริทัตจึงตัดสินใจช้อนร่างบางขึ้น แล้วเดินนำไปที่รถตัวเองอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครคัดค้านอีก
สองปีต่อมาภูริวัฒน์นอนตะแคงข้าง มองผู้หญิงสองคนที่เขารักที่สุดในโลก คนหนึ่งคือภรรยาที่กำลังนอนคว่ำหน้าหมดแรง เนื่องจากเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก และอีกหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนางฟ้าตัวน้อยของเขา น้องดาหวัน ซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่ระหว่างพ่อและแม่ ในมือกอดขวดนมไว้หลวม ๆ เขาอดใจไม่ไหวยื่นนิ้วออกไปเกลี่ยแพขนตางอนหนาของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย ไม่ได้อยากทำให้ตื่น แต่ทนต่อความน่ารักไม่ไหวจริง ๆไม่มีคำไหนมาบรรยายความรักของเขาที่มีต่อเธอได้เลย ตอนนี้ชีวิตเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาอิ่มเอมอย่างที่สุด มีทั้งภรรยาที่รัก และลูกสาวที่น่ารัก นอกจากนี้ แม่เขาก็เปิดใจรับน้ำตาลมากขึ้น หลังจากเกิดเรื่องราวในคืนนั้น แม่กับน้ำตาลแม้จะไม่ได้สนิทกันมากแต่ก็ไม่ได้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบเมื่อก่อน เขารู้สึกขอบคุณแม่ที่ยอมละทิฐิตัวเองลงไปได้บ้างไม่กี่นาทีถัดมา น้ำตาลรู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอหยีตาก่อนที่จะค่อย ๆ ลืมตา“พี่ภูตื่นแล้วเหรอคะ” ถามพร้อมบิดขี้เกียจ
อายุครรภ์ของน้ำตาลล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ยี่สิบสอง หน้าท้องของเธอตอนนี้นูนขึ้นมาจนสามารถเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว และสิ่งที่น่ายินดีคือเธอรู้เพศของลูกแล้ว เธอกับภูริวัฒน์กำลังจะมีลูกสาว ตอนนี้เธอรับรู้การเคลื่อนไหวของแกบ่อยขึ้น น้ำตาลจำได้ว่าครั้งแรกเธอกลัวมาก เธอรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรขยับในท้อง ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะเป็นอันตรายจึงตื่นตระหนก“พี่ภูคะ!” เธอตะโกนเรียกสามีเสียงดังภูริวัฒน์รีบมาหาเธอทันทีโดยที่พันผ้าขนหนูไว้รอบเอวเท่านั้น ผมมีน้ำหยดติ๋ง ๆ หน้าตาเขาตื่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้นตาล”“ตาลไม่รู้”เธอมองหน้าเขา แล้วยกมือวางที่หน้าท้อง “ตาลรู้สึกแปลก ๆ ข้างใน”สามีหนุ่มนั่งลงหน้าภรรยา เขาวางมือลงบนหน้าท้องเธอ ทั้งคู่เฝ้ารอจนกระทั่งความรู้สึกแบบเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกครั้ง“พี่ภู” น้ำตาลบอกให้เขารู้รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา
คุณหมอขยับเครื่องมือไปตามหน้าท้องของน้ำตาลเพื่อหาจังหวะการเต้นของหัวใจของทารกในท้อง เธอรู้สึกตื่นเต้นและกังวลไปหมด รู้ว่าไม่มีอะไรต้องกังวลมากแต่ก็อดไม่ได้ ส่วนภูริวัฒน์ยืนอยู่ด้านข้าง จับมือเธอไว้ขณะที่สายตาจับจ้องที่หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ในที่สุดก็ปรากฏภาพทารกที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์ ซึ่งหมอบอกว่าอายุประมาณเก้าสัปดาห์ น้ำตาลแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้เห็นภาพเจ้าตัวเล็กครั้งแรก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหลือเชื่อสำหรับเธอมาก เมื่อคุณหมอขยับเครื่องมือ ก็เกิดเสียงดังตุบ ๆ ๆ คุณหมอสาวยิ้มให้“นี่เสียงหัวใจค่ะ” เธอบอกภูริวัฒน์มองหน้าภรรยาพร้อมกับบีบมือ ต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ดี มันตื่นเต้นตื้นตันเกินกว่าจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พอตรวจเสร็จคุณหมอสั่งปรินต์รูปอัลตราซาวด์เจ้าตัวเล็กให้ จากนั้นพยาบาลก็นำมาให้พร้อมกับทำความสะอาดหน้าท้องคนไข้ เสร็จแล้วภูริวัฒน์ก็ช่วยพยุงภรรยาขึ้นจากเตียง“ทั้งแม่และเด็กแข็งแรงดีค่ะ” คุณหมอบอก
น้ำตาลยืนเอามือยันกับผนัง ชะโงกหน้าเหนือชักโครกและรอ แต่ไม่มีอะไรสักอย่าง เธอเป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้ว รู้สึกอยากอาเจียน เธอเลยรีบมาที่ห้องน้ำ แต่พอมาถึง โก่งคออาเจียนกลับมีแต่น้ำลายเหนียว ๆ ทำเอาเธอเหนื่อยและเพลียมาก เธออยากให้อาการนี้หายไปสักที สุดท้ายเธอตัดสินใจนั่งลงที่พื้น รู้ว่าถ้ากลับไปนอนพัก อย่างไรเดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีก แต่เมื่อนั่งรอไปได้สักพัก ไม่มีทีท่าว่าจะอาเจียนต่อจึงลุกกลับไปนอน แต่เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้น เธอนึกแปลกใจเพราะว่าตอนนี้ใกล้จะตีสี่เข้าไปแล้ว ใครจะโทรมาเวลานี้ เธอควานมือไปหยิบมือถือขึ้นมาดู หัวใจเธอเต้นแรงทันทีเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เพียงแค่เห็นก็รู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เธอมีอารมณ์อ่อนไหวมากเป็นพิเศษ“พี่ภู”“ตาล พี่ปลุกตาลรึเปล่า” รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลานอนแต่ทนคิดถึงไม่ไหว ทั้งยังตื่นเต้นที่กำลังจะได้เจอ“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงเหนื่อยจนคนฟังจับได้“ตาลไม่ได้นอนอยู่เหรอ เป็น
สองสัปดาห์ผ่านไปที่น้ำตาลภรรยาสุดรักกลับไปหลังจากที่เธอมาหาเขาพร้อมกับข่าวดี ภูริวัฒน์ยังคิดว่าตัวเองฝันไปที่กำลังจะมีลูก เขารู้สึกถึงช่วงเวลาสุดพิเศษ มีความสุข ยิ้มได้ทั้งวัน จนคนรอบข้างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องบอกน้องชายกับแม่เร็ว ๆ นี้ตอนนี้เขากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง เขากับน้ำตาลอยู่ไกลกันคนละจังหวัด เขาเป็นห่วงเธอกับลูก อยากเจอ อยากไปหา ไปดูแล เพราะเธออยู่ในช่วงที่อารมณ์อ่อนไหวและต้องการการดูแลอย่างระมัดระวังที่สุด ผลสอบชิงทุนของน้ำหวานประกาศแล้ว สรุปว่าเธอได้รับทุนสมใจ จึงต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะจัดการเอกสารต่าง ๆ เพื่อที่จะได้เดินทางไปเรียนที่ออสเตรเลียในอีกสี่เดือน เขาไม่อยากให้น้ำตาลอยู่ตัวคนเดียวในช่วงเวลานี้ เพราะเธอยืนกรานว่าจะไม่ย้ายมาอยู่กับเขาก่อนที่น้องจะเดินทาง“พี่ภูไม่ต้องมาหรอกค่ะ ตาลอยู่ได้” เสียงภรรยาตอบกลับเมื่อเขาบอกว่าจะไปอยู่กับเธอ“พี่อยากไปอยู่ใกล้ ๆ ตาลกับลูก”“แ
อาการดีใจของคนที่กำลังจะเป็นพ่อทำให้น้ำตาลน้ำตารื้น เธอรักเขา รักผู้ชายคนนี้ ผลลัพธ์ต่างจากที่เธอคาดเอาไว้มาก“ค่ะ เรากำลังจะเป็นพ่อแม่คน” น้ำตาลหัวเราะกับท่าทางดีใจเกินเหตุของเขาภูริวัฒน์ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นเสยผมแล้วเดินกลับไปกลับมา“พี่จะทำยังไงดีตาล พี่ไม่ยากแยกจากตาลเลย ให้พี่กลับไปพร้อมกับตาลได้มั้ย…”“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบขัด “ใจเย็นแล้วนั่งลงก่อนค่ะ พี่เดินไปเดินมาแบบนี้ตาลเวียนหัวนะ”เขาหันกลับมาแล้วคุกเข่าตรงหน้าเธอ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้าง“ตาลไม่รู้หรอกว่าพี่ดีใจขนาดไหน ตาลทำให้พี่เป็นผู้ชายที่กำลังมีความสุขที่สุดในโลกรู้มั้ย พี่อยากให้ตาลรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง” น้ำเสียงชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจพูดย้ำไปย้ำมาน้ำตาลยิ้ม ยื่นมือออกไปแนบแก้มเขา “ตาลรู้ค่ะ ตาลดีใจที่ข่าวนี้ทำให้พี่มีความสุข”“ตาล พี่รักตาล”เขา