บรรยากาศภายในตำหนักโม่ลี่ฮวา(ดอกมะลิ) ที่เงียบเหงาราวกับวัดร้าง พลันเกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้น เมื่อร่างบอบบางของพระชายาลำดับสี่ในองค์รัชทายาทหยวนซี ซึ่งบรรทมหลับอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามวันสามคืนเต็ม มีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
“องค์หญิงหลี่น่าทรงขยับได้แล้ว!” แม่นมหวงหลาน ซูปี้กับซูลี่นางกำนัลที่ติดตามองค์หญิงน้อยมาจากแคว้นฉงเยว่ ทั้งสามต่างพากันดีอกดีใจ
“ข้าจะไปตามหมอหลวงเฉิง” ซูปี้ขันอาสา
ไม่มีใครรู้สาเหตุที่องค์หญิงหลี่น่าเป็นลมหมดสติ เพราะหลังจากนางถูกองค์รัชทายาทเรียกตัวไปปรนนิบัติที่ตำหนักหนิงเฉิง (ความสำเร็จแห่งสันติสุข) เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม ทหารองครักษ์ประจำพระราชวังไป๋อวี้ (หยกขาว) ก็นำร่างไร้สัมปชัญญะขององค์หญิงหลี่น่ากลับมาส่งที่ตำหนักโม่ลี่ฮวา โดยปราศจากคำอธิบาย
องค์รัชทายาทไม่ได้ย่างกรายมาเยี่ยมเยือนนางแม้แต่ครั้งเดียว มิหนำซ้ำพระองค์ยังมีรับสั่งให้พระชายาหลี่น่าเสวยโอสถรักษาพระวรกายอยู่ภายในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน กล่าวตามตรงก็คือ หยวนซีลงโทษกักบริเวณหลี่น่านั่นเอง
หมอหลวงเฉิงตรวจชีพจรและฝังเข็มเงินกระตุ้นเลือดลมให้พระชายาตัวน้อย ครู่ต่อมาเปลือกตาบางใสที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ กะพริบตอบสนองการมองเห็น
“ทรงฟื้นแล้ว!”
ร่างผอมบางลุกขึ้นนั่งบนเตียง ลีน่าหลียวมองผู้คนแปลกหน้าที่ห้อมล้อมด้วยแววตาสับสนระคนงุนงง เพราะเธอไม่รู้สึกคุ้นเคยกับใครเลย
“นี่เรากำลังฝันเหรอ? เฮ้ย!!” หญิงสาวเอาฝ่ามือปิดปากด้วยความตกใจ ทำไม... ไม่ใช่เสียงของเธอ ?
‘พี่สาว ตอนนี้ท่านอยู่ในร่างองค์หญิงหลี่น่า’ เสียงหวานใส ดังกังวานในโสตประสาทของลีน่า
ลีน่ามองหาคนพูดท่าทางเลิ่กลั่ก เพราะแน่ใจว่าผู้หญิงแต่งตัวโบราณทั้งสามคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ไม่ได้ขยับปาก รึว่านางกำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่น?
ทว่า... สังเกตจากความงดงามอลังการณ์ของวัสดุตกแต่งและเครื่องใช้ภายในห้องหับรโหฐานอันวิจิตรตระการตา รวมถึงเสื้อผ้าแบบโบราณทอจากวัสดุชั้นดีที่ทุกคนสวมใส่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูหรูหราราวกับเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวังต้องห้าม คาดเดาไว้ก่อนว่าต้องเป็นโปรดักชั่นของรายการบันเทิงระดับโลกอย่างแน่นอน
“พระชายาทรงตื่นบรรทมแล้วพะยะค่ะ”
หมอหลวงเกาเฉิงเป็นผู้ตอบ
“ตกลง... ข้าคือองค์หญิงหลี่น่า หรือพระชายาขี้เซากันแน่?” ลีน่ารับมุกไปตามน้ำ นางเริ่มก้าวสู่เส้นทางมายาตั้้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี กระทั่งอายุยี่สิบแปดปีแล้ว พบเจอผู้คนมาทุกรูปแบบ เรื่องทำตัวให้กลมกลืนกับสถานการณ์คือความชำนาญพิเศษ
‘องค์หญิงหลี่น่าคือพระชายาคนที่สี่ขององค์รัชทายาทหยวนซี’
‘เริ่ด! มีสต๊าฟบอกบทผ่านอุปรกรณ์สื่อสารติดตามตัวซะด้วย’ ดาราสาวเจ้าบทบาทคิดในใจ
‘ข้าไม่ใช่อุปกรณ์สื่อสารติดตามตัว ข้าคือวิญญาณขององค์หญิงหลีน่า เจ้าของร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ตอนนี้’
หญิงสาวเอามือลูบคลำบริเวณใบหูซึ่งว่างเปล่าไร้เครื่องประดับ แล้วก้มลงมองร่างกายผ่ายผอมที่มีความเป็นไปได้ว่าคือตัวของเธอเอง พลันดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ด้วยการเมคอัพหรือวิธีศัลยกรรม!
“กระจก... กระจกอยู่ไหน?”
แม่นมหวงชี้ไปที่กระจกทองเหลืองบานยาวที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง
“กระจกส่องเงาอยู่ตรงนั้นเพคะ”
ข้าราชบริพารสี่ชีวิตที่อยู่ในห้อง เหลียวมองหน้ากันไปมาด้วยสายตามีคำถาม เหมือนพระชายาตัวน้อยจะจดจำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่าทางของนางดูแข็งแรงไม่เหมือนคนที่เพิ่งฟื้นจากการหลับใหลเป็นเวลานาน
วิญญาณดาราสาวซึ่งอยู่ในร่างกายของพระชายาหลี่น่ายืนนิ่งประหนึ่งต้องคำสาป ดวงตากลมโตคู่งามเบิกกว้าง ขณะจ้องมองภาพสะท้อนบนกระจกส่องเงาทำจากทองเหลือง ราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด
หมายความว่ายังไง! นี่... เธอตายแล้ว แต่วิญญาณของเธอข้ามมิติมาอยู่ในร่างกายของเด็กสาวยุคโบราณ ใช่ไหม?
นัยน์ตาสีอำพันเจิดจรัสราวกับลูกแก้วเพ่งจ้องมองตอบโต้กับเธออย่างไม่ลดละ มาตรว่าจิตวิญญาณของลีน่าที่เชื่อมโยงกับร่างกายผ่ายผอมนี้ ได้หวนคืนสู่อดีตในวัยเยาว์ของเธอ
น่าทึ่งมาก...
ลีน่าตกใจจนแทบจะเป็นลม เมื่อจู่ๆ ม่านผ้าดิบถูกคนด้านนอกเปิดเข้ามาอย่างพรวดพราด ขณะที่อี๋ชินอ๋องกำลังอุ้มนางแหวกว่ายอยู่ในธารน้ำตกด้วยเรือนร่างที่ไร้อาภรณ์ สายตาหวงแหนที่มองมาทำให้หญิงสาวรู้สึกกระดาก จนต้องขืนกายออกจากวงแขนแข็งแรงที่โอบกอด“ท่านมาเร็วกว่าที่คิด”ซ่งเหยียนหมิงเอ่ยทักทายญาติผู้พี่อย่างไม่รู้สึกร้อนหนาว“ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าทำได้เร็วกว่านี้” ซ่งหยวนซีถอดเสื้อผ้าออกจากร่างอย่างว่องไง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ล้อนจ้อนจะเดินลงไปในธารน้ำตก และว่ายน้ำไปแย่งเอาพระสนมตัวน้อยกลับคืนมา“เหยียนหมิงรังแกเจ้าไปกี่ครั้ง” เขาถามนาง น้ำเสียงหงุดหงิด“ครั้งเดียวเพคะ” เธอไม่กล้าสบตากับชายหนุ่มซ่งหยวนซีไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่พูดพร่ำสิ่งใดให้เป็นการเสียเวลาอีก เขาอุ้มร่างอรชรเดินไปท
ลีน่าถูกเขาเคี่ยวกรำอย่างหนัก เธอสุดจะกลั้นเสียงร้องครวญคราง ร่างอรชรบิดเร่าแอ่นระแน้ด้วยความสยิวทรมาน สาสมใจคนเจ้าเล่ห์“อาา... ข้างในของเจ้าเหมือนสวรรค์ ช่าง... ดี... ดีเหลือเกิน” ซ่งเหยียนหมิงใช้ฝ่ามือใหญ่โอบอุ้มสะโพกผายกลมกลึงเอาไว้ เขาโก่งบั้นท้ายและยกร่างบางขึ้น ก่อนจะกดนางลงพร้อมกับกระแทกกระทั้นแก่นกายแกร่งชูชันใส่ความสาว“อ่ะ! หม่อมฉัน... มะ ไม่ไหวแล้ว อ๊าา...”นางเว้าวอนอย่างน่าสงสาร น้ำเสียงครวญครางกระเส่าสะอื้น ใบหน้างามแดงเรื่อราวกับมีพิษไข้ หากไม่อาจจะหยุดยั้งเรือนกายแกร่งที่เคลื่อนไหวราวกับบ้าคลั่งซ่งเหยียนหมิงประคองสะโพกผายกลมกลึงวางเกยบนขอบบ่อน้ำแร่ร้อน แล้วดันท่อนขาเพรียวสะล้างของนางพับขึ้น ระดับความสูงพอเหมาะช่วยหนุนเนินโหนกอวบอูมลอยเด่นจนเห็นชัดถนัดใจ แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ราวกับจะล
ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือเรือนกายเปลือยเปล่าของซ่งเหยียนหมิง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ลีน่าจะทำใจให้เคยชินกับความบ้าระห่ำเหนือการคาดเดาของเขา“เจ้าอายจนหน้าแดงไปหมดแล้ว” น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ เขาจับข้อเท้าของนางแยกออกจากกัน แล้วพิศมองเนื้อในความสาวความร้อนทำให้ผิวบอบบางบริเวณนั้นแดงก่ำและดูยิ่งโป๊เปลือยชวนให้ขัดเขิน เมื่อตกอยู่สภาพที่ถูกมองเห็นแบบชัดเจนถึงรูขุมขนขนาดนี้แล้ว ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมานอกทรวงอก“พอแล้วเพคะ อย่าจ้องหม่อมฉันแบบนั้น” ลีน่าเอาฝ่ามือปิดบังของสงวนแววตาของซ่งเหยียนหมิงเกือบลุกเป็นไฟ เขาอยากเอาตัวตนที่เหยียดขยายจนแข็งชูชันชำแรกเข้าไปในความสาวสดรัดรึงของนางแทบใจจะขาด แต่ทั้งคู่เพิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำแร่ร้อน หากลงไม้ลงมืออย่างบุ่มบ่ามเขาจะทำให้หลี่น่าเจ็บ“ข้าอยากดื่มน้ำหวานในตัวเจ้า” ซ่งเหยียนหมิงดึงมือเรียวเล็กออกจากเนินเนื้ออวบอูม แล้วก้ม
ซ่งหยวนซีไม่มีความคิดจะเปิดโอกาสให้ซ่งเหยียนหมิงไปพรอดรักกับหลี่น่าสองต่อสอง ท่ามกลางแมกไม้ทัศนียภาพอันงดงามเหมือนสวรรค์เช่นนั้น“ท่านมีฏีกาสำคัญที่ต้องตรวจสอบมิใช่รึ” ซ่งเหยียนหมิงมีสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ดูท่าทางเรื่องนี้คงยากที่ใครสักคนจะยอมแพ้ ลีน่าซึ่งเป็นคนกลางจนปัญญาจะจัดการกับพวกเขาคนใดคนหนึ่ง“หม่อมฉันขอเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ไท่จื่อกับอี๋ชินอ๋องตกลงกันเรียบร้อยแล้วค่อยตามไปทีหลังจะดีกว่าเพคะ” พระสนมตัวน้อยกล่าวตัดสินอย่างเฉียบขาดพลันมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองหนุ่มกับหนึ่งสาวหันมองสบตากัน คล้ายต่างคนต่างมีคำถาม ปกติจะไม่มีใครกล้าบังอาจเข้ามาขัดจังหวะที่ทั้งส
จูเยี่ยนตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อครู่ที่นางเปิดประตูห้องบรรทมของพระชายาหลี่รี่เข้าไปแล้วเห็นภาพบัดสีบนเตียง ยิ่งไปกว่านั้น... ชายชู้ที่นายหญิงนอนเปลือยกายกอดก่ายแนบชิด คือองค์ชายเยว่หัว รัชทายาทแห่งแคว้นตงเยว่ภาพที่ได้เห็นทำให้จูเยี่ยนนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต ยี่สิบปีก่อน... ทหารของแคว้นตงเยว่ลักลอบข้ามเขตชายแดนของแคว้นฉงเยว่เข้ามารุกรานชาวบ้าน ครอบครัวของจูเยี่ยนถูกทหารตงเยว่สังหารอย่างโหดเหี้ยม พวกมันจับนางไปที่ค่าย รุมย่ำยีนางจนสลบและโยนทิ้งลงไปในแม่น้ำ เพราะพวกมันคิดว่านางตายแล้ว แต่โชคดีมารดาของหลี่รี่บังเอิญได้พบร่างของจูเยี่ยนที่ลอยมาติดอยู่ท่าน้ำหลังบ้านและได้ช่วยชีวิตจูเยี่ยนเอาไว้ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จูเยี่ยนถวายการรับใช้สองแม่ลูกด้วยความซื่อสัตย์ภักดี และไม่เคยขัดคำสั่งพวกนาง แม้ว่าพวกนางจะสั่งให้จูเยี่ยนทำเรื่องที่เลวทรามต่ำช้าเพียงใด หรือจะโขกสับเยี่ยงทาส จูเยี่ยนยกย่องเทิดทูนพวกนางสองแม่ลูกประหน
“ข้าก็อยาก...เจ้า แทบจะทนไม่ไหวแล้ว”เยว่หัวขยับนอนท่าถนัด เรือนกายหนาหอบหายใจด้วยอารมณ์พิศวาสรุนแรง สายตาเร่าร้อนจ้องมองสัดส่วนวัยสาวด้วยความหื่นกระหาย เขายกร่างเปลือยเปล่าควบคร่อมเหนือหน้าตัก ดุนดันปลายองคชาติเสียบคาไว้ที่กลีบสวาทของนาง แล้วกดสะโพกผายกระแทกลงมาแรงๆ “อ๊าาา!!!” หลี่รี่ร้องครางเสียงแหลม เมื่อท่อนเนื้อเขื่องแข็งเสียบแทงเข้ามาความสาวจนจุกเสียด ปลายทวนของเยว่หัวหยั่งเข้าไปถึงส่วนลึกของนาง ความใหญ่ยาวของเขาทำให้นางอึดอัดจนต้องอ้าปากระบายลมหายใจ“หลี่รี่ ...เจ้ายอดเยี่ยมที่สุด อาาา...”เยว่หัวสูดปากครางด้วยความสยิว ชายหนุ่มเกร็งบั้นท้ายหมุนคว้านภายในความสาว เข้าไปสัมผัสจุดกระสันที่ซ่อนเร้น แล้วจ้วงแทงเข้าออกในตัวนางอย่างบ้าคลั่ง“องค์ชาย! องค์ชาย!” โฉมสะคราญร่ำร้องขอความเมตตา