หญิงสาวในชุดบุรุษทำหน้างุนงงแล้วยกแขนขึ้นดมกลิ่นกายตัวเอง นางถึงกับทำหน้าแหย เพราะเกรงว่าจะกลับมาไม่ทันเวลา นางถึงกับมุดรอดรูทางหมารอดตรงกำแพงด้านหลังตำหนัก ท่าทางของนางทำให้บุรุษทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะพรืดอย่างไม่เกรงใจ หญิงสาวหันมาขึงตาใส่แต่ดูเหมือนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะนั้นได้ นางจึงเชิดใบหน้าขึ้นยืดแผ่นหลังตรงแล้วเดินอย่างสง่ารีบกลับเรือนของตนเองทันที
บุรุษวัยสี่สิบห้าลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักยอมลดความโกรธเคืองในตัวลูกสาวคนเดียวลง แม้เวลานี้ภรรยาของเขาจะอายุสามสิบหกแล้วและเป็นมารดาของบุตรสามคน ทว่ายังคงใบหน้าอ่อนเยาว์และอ่อนโยนไม่ต่างจากวันวาน
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นสามี นางกลับขึงตาใส่ พาลเอาความโมโหมาลงที่ตัวผู้เป็นบิดาแทน
“เพราะท่านพี่ตามใจนางนัก นางจึงเอาแต่ใจตัวเอง ทำอะไรไม่คิดถึงผู้อื่นเลยสักนิด”
“ได้ๆ เป็นข้าที่ผิดเอง” มือใหญ่หยาบกร้านลูบไหล่ภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ หากใครมาเห็นเข้าคงนึกไม่ถึงว่า ชินอ๋องเฟยเทียนผู้เคยได้ชื่อว่าเป็นครึ่งปีศาจในอดีตนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ยามนี้เขาต้องเป็นฝ่ายง้องอนภรรยาที่ดุราวแม่เสือ
“ท่านพี่ ท่านก็เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮวาเอ๋อร์ได้ใจ” ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าไปมา เพราะในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียว ทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน คนสนิทของนางล้วนมีแต่บุตรชาย รองแม่ทัพหญิงซานม่านหวาและมาร์คัสได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อซาโม่ ส่วนจื่อเหยี่ยนแม้เป็นเพียงบ่าวรับใช้แต่นางให้ความนับถือดุจพี่สาว จื่อเหยี่ยนเป็นภรรยาของชากกี-มือขวารองแม่ทัพ
ซานม่านหวาให้กำเนิดบุตรชายชื่อกันอี๋ ส่วนนางเองให้กำเนิดบุตรฝาแฝดชายหญิงนามซิ่นหลิงและซิ่นฮวา สามปีถัดมาให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กชื่อซิ่นสือ ในบรรดาเด็กทั้งหมดในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาที่เป็นหญิง บิดาจึงรักใคร่เอ็นดูทั้งเอาอกเอาใจ รวมทั้งบ่าวไพร่ก็ยังรักเอ็นดูเด็กหญิงอย่างแท้จริงทว่าเด็กที่เติบโตท่ามกลางคนเอาอกเอาใจนั้นมักเอาแต่ใจตนเอง นางซึ่งเป็นมารดาจึงหวั่นเกรงบุตรสาวจะเสียนิสัย และกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและคนรอบข้างอย่างไม่รู้ตัว นางจึงคอยห้ามปราบลูกสาวสุดกำลัง แต่ทำให้นางกลายเป็นมารดาใจร้าย
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ฮวาเอ๋อร์ยังเด็กนัก”
“เด็กได้อย่างไรกัน ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ตอนที่หม่อมฉันอายุสิบแปดก็สมรสกับท่านแล้ว” พูดเรื่องนี้แล้วก็ใจชื้น ทั้งสองสามีภรรยาคิดตรงกันที่ไม่เร่งรีบให้บุตรสาวแต่งงานออกเรือน ไม่คิดบังคับฝืนใจหรือให้นางแต่งงานด้วยเงื่อนไขต่างๆ ขอเพียงให้บุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่นางรักและรักนางก็เพียงพอ เหตุผลนี้รวมถึงบุตรชายทั้งสองด้วย หรือถ้านางจะไม่แต่งงานออกเรือน ทั้งสองก็ไม่คิดบีบคั้นจิตใจบุตรสาว
แต่ประการหลังนั้น...อาจจะ...หรือเป็นไปไม่ได้ เหตุเพราะนางรู้ดีว่าบุตรสาวมีชายในดวงใจแล้ว แม้บิดาใจกว้างให้บุตรสาวเลือกคู่ครองของตนได้เอง ทว่าผู้ที่บุตรสาวหลงรักอยู่นั้น บิดามิใคร่ชอบพอเท่าไรนัก เพราะชายผู้นั้นคือเทพมังกรดิน!
“เอาเถิดๆ วันนี้ หลงเอ๋อร์ กันอี๋ และซาโม่กลับมาแล้ว เจ้าเป็นมารดาควรดีใจกับพวกเขาถึงจะถูกสิ”
คนเป็นมารดาส่ายหน้าอีกครั้ง “เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน จะกลับบ้านก็ไม่รู้จักเขียนจดหมายส่งข่าวมาบอกก่อน พ่อแม่จะได้เตรียมตัวต้อนรับ”
มือแข็งแกร่งประคองร่างภรรยาเดินออกมาที่ห้องโถง ระหว่างเดินจากเรือนของตนนั้น ว่านหนิงเหมยหวนคิดถึงวันเวลาที่นางให้กำเนิดบุตรชายหญิงฝาแฝดคู่นั้น เด็กทั้งสองมีใบหน้าที่เหมือนกันมาก และด้วยความซุกซน เด็กทั้งสองมักสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันเพื่อให้ผู้อื่นทายไม่ถูกว่าใครหรือซิ่นหลิง ใครคือซิ่นฮวา แม้
ซิ่นหลิงเป็นผู้ชายแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีอย่างไม่ขัดเขิน ซ้ำยังงดงามน่ารักไม่ต่างจากซิ่นฮวาเลยสักนิด เมื่อซิ่นฮวาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษของซิ่นหลิงก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองซุกซนเหลือเกิน ทว่านางรู้ดีว่าลูกๆ เป็นคนจิตใจอ่อนโยน รักความถูกต้องยุติธรรม แม้ทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกันมากแต่นิสัยก็แตกต่างกันมากเช่นกัน ในความซุกซนของซิ่นหลิงมีความเงียบขรึมและสงบนิ่ง ดวงตาคมวาวเช่นเดียวกับบิดา ในขณะที่ซิ่นฮวาดุจนกน้อยร่าเริงและอ่อนหวาน เป็นซิ่นฮวาต่างหากเป็นผู้ชักชวนให้ผู้อื่นเล่นสนุกซุกซนกับนางแต่สิ่งหนึ่งที่ซิ่นฮวาแตกต่างจากซิ่นหลิงอย่างชัดเจนที่สุดคือ นางมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ ตั้งแต่ซิ่นฮวายังเป็นเพียงทารกตัวน้อยดุจก้อนแป้งนุ่ม ดวงตางามคู่นั้นมักมองเลยไปที่ใดที่หนึ่งเสมอ เมื่อนางเริ่มพูดได้ สื่อความรู้เรื่องมากขึ้น ซิ่นฮวามักชี้นิ้วไปที่ใดที่หนึ่งแล้วเรียกว่า ‘พี่ชาย’ หลายคนเข้าใจไปว่า ‘พี่ชาย’ ของซิ่นฮวาคือซิ่นหลิง แต่ผู้แป็นแม่สังหรณ์ใจว่าไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อได้คุยกับลูกสาว พี่ชายที่นางพูดถึงคือบุรุษผู้มีเส้นผมสีเงินยาวสลวย นางจึงเข้าใจได้ในทันที เพราะนางเองก็เคยพบ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ มาก่อน
‘ฮวาเอ๋อร์ เจ้ากลัวเขาผู้นั้นหรือไม่’
‘เหตุใดต้องกลัวด้วยเจ้าคะ ท่านแม่’ เด็กหญิงตัวน้อยในวัยช่างเจรจาเอ่ยถาม
‘มีเพียงเจ้าที่มองเห็นเขาผู้นั้น...’
‘ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่กลัว พี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า ทั้งที่ข้าโบกมือส่งยิ้มให้ตั้งหลายครั้ง’
ผู้เป็นมารดากลั้นหัวเราะแล้วยื่นมือไปลูบผมยาวของลูกสาว ‘เหตุใดเจ้าทำเช่นนั้นเล่า’
‘ก็ทุกครั้งที่ข้าเห็นพี่ชายผมสีเงิน เขามักอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเลย ข้าคิดว่าพี่ชายต้องเป็นเหงาแน่ ข้าเลยอยากทำให้พี่ชายหายเหงา’
‘เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเหงา’ เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักเหงาได้อย่างไรกัน
‘ก็...’ เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดก่อนชี้ที่ดวงตาของตนเอง ‘พี่ชายผมเงินผู้นั้น มีดวงตาหมองเศร้าไม่เหมือนข้าหรือหลิงเอ๋อร์เลยสักนิด พี่ชายผมเงินอยู่ผู้เดียวไม่มีใครเลย เขาต้องเหงาแน่เจ้าค่ะ’
นางมองลูกสาวแล้วส่ายหน้าไปมา เมื่อคราวที่นางได้พบเทพมังกรดินเป็นครั้งแรกนั้น นางอายุเก้าขวบแล้ว แต่นี่ลูกสาวของนางทำเหมือนกับว่าเห็นเทพมังกรดินมาตั้งแต่เกิด เมื่อคิดว่าเทพผู้นั้นที่แวะเวียนมาคงเพราะยังเป็นห่วงนางแต่ไม่ปรากฏกายให้นางเห็น ทว่าซิ่นฮวากลับมองเห็นแต่ซิ่นหลิงเป็นฝาแฝดกลับไม่เห็น เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงกระซิบบอกความลับเกี่ยวกับ ‘พี่ชายผมเงิน’ ให้ซิ่นฮวาล่วงรู้ นั้นคือ ‘ชื่อ’ ของเทพมังกรดิน
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”