ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง
‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’
‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้
‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า
‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’
‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด!
‘พี่ชาย...เป็นนางที่เห็นท่าน มิใช่ข้าทำให้นางมองเห็น’
ถ้อยคำของนางทำให้เทพมังกรดินชะงักเท้า ร่างนิ่งงันไปราวกับเพิ่งได้สติ ก่อนจะหลับตาลงร้องโอดครวญอยู่ในใจ
‘เด็กนั่นที่ท่านพูดถึงคือบุตรสาวของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าหวังใจว่าพี่ชายจะเอ็นดูนาง’
ว่านหนิงเหมยที่เวลานี้นางเป็นชายาของชินอ๋องเฟยเทียน และเป็นมารดาของบุตรทั้งสาม แม้ซิ่นฮวาจะซุกซนจนมีเรื่องให้ผู้เป็นมารดาอย่างนางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแทบทุกวัน แต่เรื่องดีเรื่องเดียวในความซุกซนนี้คือทำให้ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ ผู้แสนเยียบเย็นมีรอยยิ้ม
นางส่ายหน้าไปมา หวังว่า ‘พี่ชาย’ จะรู้ตัวว่าเขายิ้มทุกครั้งที่พูดถึง ‘เจ้าเด็กนั่น’ ของนาง
ความครื้นเครงที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง กว่าห้าปีที่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ออกเดินทางไปร่ำเรียน แม้มีองครักษ์อย่างเจิ้งหู่เจิ้งไฉเดินทางไปด้วย แต่นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของพวกเขาและใช้ชีวิตไกลบ้านเกิด กลับมาครั้งนี้เด็กชายทั้งสามเติบโตขึ้นมาก กลายเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ซิ่นหลิงถอดแบบบุรุษร่างนักรบจากบิดา ในขณะที่กันอี๋ยังคงเป็นบุรุษพูดน้อย ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่เสมอ ส่วนซาโม่รูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาเด็กชายทั้งสาม ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์และไม่ยอมใคร
แม้เจ้าของตำหนักจะเป็นถึงชินอ๋อง แต่เจ้าของตำหนักใคร่สนใจธรรมเนียมเช่นคนในเมืองหลวงนัก ผู้ที่อยู่รวมโต๊ะอาหารเย็นจะเป็นรองแม่ทัพหญิง ทหารผู้ติดตามและหญิงรับใช้ประจำตัวพระชายา ทว่าทุกคนเป็นมิตรสหายคนสนิทที่จริงใจกับเจ้าของตำหนักมากที่สุด จึงทำให้ระหว่างพวกเขาเป็นสหายรัก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ซิ่นฮวาปรากฏกายอีกครั้งในชุดสีชมพูกลีบบัว ใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาดุจหงส์ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ผิวอ่อนบางดุจหยกใส มิอาจกล่าวได้ว่านางเป็นโฉมสะคราญล่มเมือง ทว่าความงดงามที่ประกอบในตัวหญิงสาวนั้นก็ทำให้ผู้คนไม่อาจถอนสายตาได้
ซิ่นฮวาลอบมองมารดา เมื่อเห็นสีหน้าไม่ถือโทษโกรธที่นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักตามลำพังแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางยกมือลูบหน้าอกตัวเองเป็นการปลอบขวัญ ท่าทางของหญิงสาวทำให้แฝดผู้พี่ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจอีกฝ่าย ซิ่นฮวาขึงตาใส่แต่ซิ่นหลิงเพียงไหวไหล่ไม่สนใจ
“เอาละ ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้นานแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกัน ใช้ชีวิตอยู่บนเขาหนางเจียงมานาน วันนี้กินให้อิ่มหน่ำเถิดนะ”
เป็นเสียงจื่อเหยี่ยน บ่าวคนสนิทของพระชายาหนิงเหมยเอ่ยขึ้นมา แม้เป็นหญิงรับใช้แต่ในวันนี้ได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน นางมองลูกชายที่ยามนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หางตาพลันมีน้ำตาซึมออกมา จากชีวิตทาสหนีตายไม่คิดว่าจะได้มีชีวิตมาถึงวันที่ได้เห็นลูกชายเติบใหญ่เช่นนี้ และหากไม่เพราะบุตรชายของนางได้ติดตามซิ่นหลิงไปร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน กันอี๋ของนางคงไม่ได้มีวาสนาเช่นนี้
“เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงวันเก่าๆ ขาดแค่กุนซือปากร้ายผู้นั้น” รองแม่ทัพ
ซานม่านหวาเอ่ยขึ้นพลางหยิบน่องไก่ชิ้นโตส่งให้ลูกชาย นางเป็นหญิงมีนิสัยห้าวหาญ แต่เพื่อ ‘ซาโม่’ บุตรชายของตนแล้ว นางมักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ ภายนอกมาร์คัสเหมือนคนไม่ค่อยพูดจา แต่เมื่ออยู่กับคนที่รู้สึกสนิทใจก็เปิดเผย รอยยิ้ม ลักษณะเด่นทั้งจากมารดาและบิดาหล่อหลอมให้ซาโม่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาล และหากมองดวงตาคู่นี้ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจะเห็นว่าดวงตาคู่นี้เป็นประกายสีแดงร้อนแรง“ก่อนกลับมาบ้าน ข้าได้แวะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเจี่ยงแล้ว พวกเขาสบายดียิ่งและฝากความระลึกถึงทุกคนด้วย” ซิ่นหลิงเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดความว่ากุนซือคนสนิทของบิดาโอดครวญอยากกลับตุนหวงเพียงใด
“ดีจริงพวกพี่ได้เดินทางกันตั้งแต่อายุสิบสอง ข้าสิปีนี้อายุสิบสี่แล้วยังต้องอยู่เฝ้าตำหนักอยู่เลย” ซิ่นสือบ่นขึ้นมาบ้าง
“ก็ใครให้เจ้าเกิดช้าไปตั้งสามปีเล่า” ซิ่นหลิงอดหยอกเย้าน้องชาย ไม่ได้เจอกันห้าปี น้องชายตัวน้อยคนนั้นกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาเสียแล้ว หากได้ฝึกปรือเคี่ยวกรำตนเองอีกสักหน่อย ต้ององอาจไม่แพ้ใครเป็นแน่
“เอาเถิดๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้กินข้าวกันก่อนเถิด” คราวนี้พระชายาเอ่ยปากด้วยตนเอง ทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าซึ่ง
ตระเตรียมเพื่อต้อนรับบุตรชายที่เพิ่งได้กลับบ้านหลังอาหารค่ำผ่านไป เหล่าผู้ใหญ่ต่างปล่อยให้เด็กๆ ได้พูดคุยกันตามประสาพี่น้อง แต่ละคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กันแค่ปีเศษ แม้กันอี๋เกิดก่อนแต่ซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาไม่เคยเรียก ‘พี่’ นำหน้า มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาเป็นเพียง
บุตรชายของบ่าวรับใช้ แต่เพราะความสนิทสนมของพวกเด็กๆ มากกว่าเนื่องจากชินอ๋องเฟยเทียนรักใคร่เอาอกเอาใจบุตรสาวยิ่งนัก ในสวนกระจ่างใจจึงตบแต่งอย่างงดงามราวแดนสวรรค์ บิดาสั่งทำชิงช้างดงามให้บุตรสาวที่รักได้นั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งกลายเป็นมุมโปรดของซิ่นฮวา แม้เป็นยามค่ำคืนแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับประดาตกแต่งงดงามให้ความรู้สึกสว่างสดใส
ร่างบอบบางในชุดสีชมพูกลีบบัวนั่งอยู่ที่ชิงช้าโดยมีกันอี๋ช่วยแกว่งชิงช้าให้อยู่ที่ด้านหลัง เมื่อครั้งที่นางยังเด็ก เขาก็ทำให้เช่นนี้ เพียงแต่ยามนี้เด็กหญิงผู้นั้นกลายเป็นหญิงสาวงดงามที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะทุกครั้งที่สบตา
“พี่จ้าวต้าจะกลับมาทันงานบวงสรวงเทพมังกรดินหรือไม่นะ” ซิ่นสือพึมพำพลางโยนเม็ดถั่วเคลือบน้ำตาลเข้าปาก
‘พี่จ้าวต้า’ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แต่ความจริงนั้นตรงข้าม อาจเป็นเพราะเมื่อยังเป็นเด็ก ‘พี่จ้าวต้า’ เป็นเด็กกำพร้าที่
พระชายาหนิงเหมยซื้อตัวมา ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงว่านหนิงเหมย จ้าวต้าติดตามพระชายาจากเมืองหลวงมาอยู่ตุนหวง แม้จะเป็นเพียงเด็กรับใช้แต่พระชายาให้ความเอ็นดู สนับสนุนให้ร่ำเรียนและมีชากกี-สามีของจื่อเหยี่ยนเป็นครูสอนการต่อสู้ให้ จ้าวต้าเติบโตคอยดูแลเด็กๆ ในตำหนัก พระชายาผู้ไม่ถือยศศักดิ์ให้เด็กๆ เรียก ‘พี่จ้าวต้า’และยังให้เขาเป็น ‘พ่อบ้าน’ ดูแลความเรียบร้อยในตำหนักอีกด้วยยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”