เวลาเกือบเที่ยงคืน รถสปอร์ตสีดำคันสวยของเวลเลโอเคลื่อนผ่านมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่งที่ตติยะเคยเรียนมาถึงสี่ปี ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปมองป้ายชื่อมหาวิทยาลัย และป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ซึ่งผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งมักจะมายืนรอรถเมล์ที่นี่ ถ้าเขาขับรถผ่านก็มักจะพาเธอขึ้นไปด้วย หากเมื่อวานไม่ได้เห็นเธอ การผ่านหน้ามหาวิทยาลัยในวันนี้คงไม่สร้างความรู้สึกคิดถึงจับใจถึงเพียงนี้
‘แซนด์’ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่คบกัน ตติยะสามารถเรียกเธอว่า ‘เพื่อน’ ได้เต็มปาก เพราะเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้ว มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับเขา
“มองอะไรคะทิว”
ภรวีเอียงหน้ามาซบต้นแขนกำยำอย่างออดอ้อนเรียกร้องความสนใจ หลังจากที่รถเลยมหาวิทยาลัยมาไกลแล้วเพราะเห็นว่าเขาหยุดพูดคุยกับเธอ
“ไม่มีอะไรครับ แค่มองที่ที่ผมเคยเรียน”
“จริงด้วย” หญิงสาวยกมือทาบอกที่คอเสื้อกว้างโค้งลงเห็นเนินอวบอย่างจงใจให้เขามองตาม
“วีวี่ก็ลืมไปเลยว่าทิวเคยเรียนที่นี่ก่อนไปอเมริกา วีวี่ขอโทษนะคะที่กวนใจทิว”
“ไม่เลยครับ วีวี่ไม่เคยกวนใจผมเลยสักนิด แต่วีวี่กวน...”
เขาเงียบก่อนส่งสายตาเจ้าเสน่ห์มาที่หญิงสาวอย่างบอกความนัยแล้วหันไปสนใจถนนต่อ
เวลานี้ไม่ใช่เวลารถติดถนนจึงว่างการเคลื่อนที่ของรถสมรรถนะแรงสูงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษก็จริง แต่ใจเขายังคิดว่ามันช้าอยู่ดี เพราะอยากไปให้ถึงคอนโดของภรวีโดยเร็ว ด้วยความหวามไหวจากการเต้นรำเคล้าคลอเสียดสีกันมาก่อนหน้าเรียกร้องความต้องการจนทั้งคู่ตัดสินใจกลับมาที่ห้องของภรวี
“แหม...ทิวน่ะ เซี้ยวจริงเชียว”
ภรวีทำเสียงแง่งอนไม่จริงจัง พร้อมกับตีลงบนอกกว้างเบาๆ แล้วก็ถูกมือหนาคว้าขึ้นมาพรมจูบหนักๆ สร้างความวาบหวาม
“เพราะวีวี่ทำให้ผมอดใจไม่ไหวทุกทีที่อยู่ใกล้น่ะสิครับ” เสียงของเขาเริ่มสั่นพร่า
“คุณต่างหาก ที่หว่านเสน่ห์ใส่วีวี่”
แม้เพียงแค่เขาจูบไล้ที่มือ ก็ส่งผลให้หญิงสาวสั่นทั้งตัวจนเอ่ยเสียงเบาหวิว ตติยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับอารมณ์อย่างที่จงใจสร้างขึ้น แม้จะเหลือเพียงเลยไฟแดงหน้าไปก็จะเลี้ยวเข้าซอยคอนโดมิเนียม แต่ขณะนี้ไฟแดงอยู่ เขาจึงหยุดรถและหันมาหาคนที่คลอเคลียข้างตัว ฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างอวบอัด เมื่อหญิงสาวเบียดตัวเข้าหาและจูบเขาก่อน ตติยะจึงไม่ปฏิเสธที่จะสานต่อทันที
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะกระจกถี่รัวไม่มีหยุดยั้ง ฉุดอารมณ์ที่กำลังลุกโชนของชายหนุ่มหญิงสาวให้ชะงัก ร่างสองร่างซึ่งนัวเนียไม่รู้มือใครเป็นมือใครแยกออกจากกันทันที มือของตติยะกดเลื่อนกระจกลงโดยอัตโนมัติด้วยความหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ ตั้งใจจะโวยกลับคนที่เคาะให้ได้อาย โทษฐานมาแอบดูชาวบ้านทำอะไรกัน ชายหนุ่มหันไปด้านข้างของตัวเอง เมื่อกระจกสีดำเลื่อนลงก็เห็นชัดว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนพูดบางอย่างอยู่ข้างนอก
“นี่คุณ...คิดจะควักจะล้วงอะไรกันก็ไปทำที่อื่นไม่ได้หรือไง ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ รู้ว่าของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ และในรถก็เป็นที่ส่วนตัวของพวกคุณ แต่ต้องไม่ใช่ตรงแยกไฟแดงนี่ เพราะมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เข้าใจไหม”
เธอพูดพร้อมกับชี้ไปที่สัญญาณไฟจราจร
“โน่น...ดูสิ ไฟเขียวจนกำลังจะแดงอีกรอบแล้ว หวังว่าเขียวครั้งต่อไปฉันคงจะได้ไปนะ รอให้คุณไปก่อนตั้งนานก็ไม่ยอมไป บีบแตรแล้วก็เฉย คิดว่าเป็นอะไรซะอีก ที่ไหนได้...”
สีหน้าของเธอบอกชัดว่ารังเกียจก่อนจะถอยออกไป หากไม่ทันไรก็หันกลับมาใหม่แล้วทิ้งท้าย
“ขอโทษที่มารบกวนเวลาแห่งความสุขนะคะ”
พูดประชดจบร่างบางก็เดินจากไป ไม่เปิดช่องให้สองคนได้โต้กลับเลยแม้แต่น้อย
ภรวีได้แต่สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงด้วยความไม่พอใจที่ถูกด่าแต่ทำอะไรไม่ได้ หรือพูดให้ถูกก็คือ ยังปรับอารมณ์หวามให้เปลี่ยนเป็นโกรธไม่ได้ จึงอ้าปากโต้ไม่ทันนั่นเอง
แต่คนที่คิดว่าจะโวยวายตั้งแต่ต้นกลับนิ่งอึ้งตะลึงตาค้าง รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี เมื่อคนที่เอาแต่พูดๆๆ แล้วก็ไปนั้น คือคนที่เขาเพิ่งนึกถึงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
แซนด์...เอื้อมทราย
เขาเห็นหน้าเธอชัดเพราะแสงไฟจากด้านนอกส่องกระทบเข้าใบหน้าสวยหวานพอดี แต่เธอจะจำเขาที่นั่งอยู่ในรถมืดๆ ได้หรือไม่ เขาไม่แน่ใจ
===================
“ไม่น่าเชื่อ” เสียงพึมพำเป็นภาษาอังกฤษดังมาจากริมฝีปากหนาหยักได้รูป
“ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับคุณทิว” จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังตามมา
หมอนใบย่อมลอยละลิ่วปะทะหน้าหล่อของลูกผู้พี่ตติยะอย่างแรง แต่ก็ไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะห้าวๆ นั่นลงได้เลย ปกติหมอนี่ก็ไม่ค่อยจะหัวเราะสักเท่าไหร่ แต่หัวเราะทีไร เขาก็ต้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกสมน้ำหน้าอย่างนี้ทุกทีสิน่า
“หุบปากนายไปซะ ฉันไม่น่าเล่าให้นายฟังเลย ให้ตาย แทนที่จะให้กำลังใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็จิตใจฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นมากเกินไป แต่นายกลับมาหัวเราะเยาะว่าฉันไม่มีน้ำยาพาสาวๆ ขึ้นสวรรค์”
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำ” แต่เรฟก็ยังทำเสียงหัวเราะที่แปลความหมายได้แบบนั้นอยู่
ใบหน้าคมหล่อหันขวับ สายตาคมกริบจับจ้องด้วยอารมณ์กรุ่น ชักอยากยกเท้ายันคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวแบบไม่ต้องหาคำมาบรรยายถึงเหตุผลว่าทำไม
“ไม่พูด แต่การกระทำนายมันบอกชัด รู้ไว้ซะด้วย”
“แต่ใครจะเชื่อว่าคนอย่างคุณทิว จะเสื่อมสมรรถภาพ”
“ฉันไม่ได้เสื่อมเว้ย! ไอ้เรฟ!”
ปากก็พูด มือก็ปาหมอนอีกใบตามไปทันที แต่คราวนี้เรฟรับไว้ได้
“ตอนนั้นฉันไม่มีจิตใจมาคิดถึงเรื่องนั้น แต่...ฉันไม่อยากให้วีวี่คิดว่าฉันไม่สนใจเค้า”
“ก็เลยสนองกลับแบบงั้นๆ แล้วไงล่ะครับ เธอไม่ได้ว่าอะไรคุณไม่ใช่เหรอ”
“วีวี่ไม่ว่า แต่ฉันรู้สึกผิดไงไม่รู้ว่ะ”
คิ้วหนาเหนือดวงตาคมสีอ่อนขมวดมุ่น เมื่อต้องกลับมานั่งระบายเรื่องที่พูดไปแล้วอีกครั้ง หลังจากรีบแล่นมาหาเรฟที่โรงแรมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างด้วยความอัดอั้นตันใจที่เขาสนองตอบอารมณ์ภรวีไม่ดี จนเธอต้องเป็นฝ่ายคุมเกมเองจนจบ...ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย
“แล้วตอนนั้น คุณทิวคิดถึงอะไรอยู่ล่ะครับ”
“ฉันคิดถึง...แซนด์” ปลายเสียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
“พอคิดถึงหน้าแซนด์ที่ด่าฉันตรงสี่แยก อารมณ์มันก็ไม่มีเลย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่ะเรฟ”
“คุณแซนด์คนนี้ที่บอกว่าเป็นเพื่อนสมัยมหา’ลัยน่ะเหรอครับ”
หนุ่มลูกเสี้ยวพยักหน้ารับ
“งั้นผมก็บอกได้แค่ว่า คุณแซนด์มีอิทธิพลต่อจิตใจของคุณทิวมากกว่าคุณวีวี่ หรืออาจจะมากกว่าผู้หญิงทุกคน เพราะในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดคุณวีวี่ร้อนแรงที่สุดแล้ว”
ตติยะมองเพื่อนคนสนิทที่เป็นเหมือนพี่ชายด้วยความอึ้งระคนแปลกใจ ไม่อยากเชื่อใจในสิ่งที่เรฟพูดสักเท่าไร เพราะมั่นใจว่าไม่เคยคิดกับเอื้อมทรายแบบนั้นเลยแม้สักครั้งเดียว
เขายอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทมากที่สุด แต่เอื้อมทรายก็เป็นเพื่อนซี้จริงๆ แบบที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเข้าใกล้และรู้ใจเขาได้มากเท่าเธออีกแล้ว เขาคบเธอตรงจิตใจล้วนๆ ไม่ใช่ผิวเผินทางด้านร่างกายเช่นผู้หญิงทั่วไป และเวลานี้ก็มีคนที่เข้ากับเขาได้ในทุกๆ เรื่องอย่างภรวีแล้ว หากจะกลับไปเจอเพื่อนอย่างเอื้อมทรายอีกครั้งก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันเลยนี่นา
ที่สำคัญกว่านั้นก็เพราะเขากับเอื้อมทรายไม่เคยมีอะไรกันสักนิด จึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับภรวีได้
ตติยะพบกับภรวีเมื่อสามปีก่อนที่อเมริกา ช่วงที่หญิงสาวไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่น แล้วเธอก็กลับมาก่อนเขา แต่ก็ยังบินไปหาอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะมีใครอีกหลายคนแต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่เคยจืดจางลง และยังต่อติดง่ายดายเสมอ
แต่นั่นคือความสัมพันธ์ทางกาย ทว่าความสัมพันธ์ทางใจฉันเพื่อนล่ะ จะต่อติดไหม หากเขากับเอื้อมทรายกลับมาเจอกันอีกครั้ง สัญญาที่เคยให้ไว้เขายังจำได้ แล้วเธอล่ะ ยังจะจำมันได้หรือเปล่า...แต่ถึงเธอจะจำไม่ได้แล้ว เขาก็ยังจะรักษามันไว้อยู่ดี
“ฉันเห็นแซนด์แถวๆ คอนโดวีวี่สองครั้งแล้ว” ตติยะเปรยออกมา
“ครับ?” เรฟถามย้ำ เหมือนไม่แน่ใจว่าพูดกับตนหรือไม่
“แซนด์น่าจะอยู่ไม่ไกลจากคอนโดวีวี่เท่าไหร่ หาให้หน่อยแล้วกันนะ ฉันอยากรู้ว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงต้องย้ายบ้าน”
คราวนี้ตติยะหันมาพูดกับเรฟอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวกว่าทุกครั้ง ซึ่งท่าทางแบบนี้จะมีให้เห็นเฉพาะเวลาทำงานเท่านั้น แต่ถ้าช่วงปกติเขาดูจริงจังนั่นหมายความว่าเป็นเรื่องที่ใส่ใจอย่างยิ่ง
เพราะชายหนุ่มจำได้ว่า บ้านของเอื้อมทรายที่เขาไปส่งตลอดสี่ปีเต็มไม่ได้อยู่แถวนั้น
“ได้ครับ”
“ส่วนรูปฉันไม่มีให้นะ คงต้องกลับไปบ้านกันก่อน เพราะที่นั่นมีรูปที่ถ่ายด้วยกันเก็บไว้อยู่ รอเย็นนี้ เพราะวันนี้ฉันจะเข้าออฟฟิศไปฟังการตกลงของเรากับคนที่จะฟ้องร้องเรื่องรถมีปัญหา”
ฟังตติยะพูดแล้วเรฟก็ถึงกับสะดุ้ง เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“คุณทิวจะกลับบ้านวันนี้เหรอครับ”
“งั้นสิ”
คนตอบยักไหล่กวนๆ ให้อีกฝ่ายที่ได้แต่หน้าจ๋อย ชายหนุ่มจึงถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าคนที่เป็นเหมือนเพื่อนพี่ชายและบอดี้การ์ดส่วนตัวในเวลาเดียวกัน
“เอาน่า...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ป้าอรเขาเกลียดลุงรูเพิร์ท ไม่ได้เกลียดนายสักหน่อย ฉันว่าป้าต้องดีใจมากๆ เลยที่ได้เจอหน้านาย”
คนฟังพยักหน้ารับแต่ก็แอบถอนหายใจ เพราะแม้เรฟอยากจะเชื่อตามที่ตติยะปลอบแต่มันก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี
=====
หลังเอื้อมทรายคลอดลูก ทั้งครอบครัวของตติยะก็ยังพักอยู่ต่อโดยไม่มีใครเดินทางกลับนอกจากแขก เพราะต่างก็เห่อหลานชายสองคนที่น่ารักน่าชังมากๆ แม้แต่คุณอานนท์กับคุณนิตยาเองก็ยังเฝ้าหลานทั้งสองคนไม่ห่าง ทิ้งงานที่โรงพยาบาลไปเลยทีเดียว เนื่องจากคุณนิตยาลงความเห็นว่าหลานตัวน้อยยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปโดนแดดโดนลมทะเลในตอนนี้ ก็เลยเพียงแค่พามาพักที่บ้านพักของตระกูลตติยะเพื่อความสะดวกสบาย และเสียงเด็กๆ จะได้ไม่รบกวนแขกของรีสอร์ต พวกเขาจึงพากันเกงานกันทั้งครอบครัว โดยคุณเจอเซ่สั่งงานผ่านทางวิดีโอคอลกับคนสนิทที่ไว้ใจได้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยทีเดียวส่วนตัวตติยะนั้นเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังแต่งงานจะพักฮันนีมูนเป็นเดือนจึงไม่เดือดร้อน เนื่องจากเคลียร์และกับเลขาอย่างคุณวิชัยเรียบร้อย หากมีอะไรด่วนวิชัยคงติดต่อเขามาเอง ก็กว่าเขาจะได้แต่งงานคนอื่นก็นำโด่งไปไกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว เพราะนับตั้งแต่คืนที่เขาต้องเสียเงินซื้อรถให้น้องทั้งสองคน เอื้อมธารก็ไม่ค่อยจะยอมให้เขาแตะต้องสักเท่าไร แถมก็งานยุ่งเนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่ นานๆ ครั้งถึงจะมีโอกาส ฉะนั้นพอแต่งงานตติยะจึงขอใช้เวลาส่วนตัวก
สองปีต่อมา...“แซนด์ไปไหน คุณหมอเห็นแซนด์หรือเปล่าคะ”ในงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของลูกชายคนโตตระกูลเวลเลโอ ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งบนเกาะซึ่งเจ้าของงานเหมาทั้งรีสอร์ตเพื่อรับรองแขกนั้น ร่างบางของเจ้าสาวชุดสวยหรูราวเจ้าหญิงเดินไปทั่วทั้งบริเวณจัดงาน หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วด้วยใบหน้ากังวล เอื้อมธารถามหมอหนุ่มที่กำลังจะไปนั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนในมุมหนึ่งของรีสอร์ต ทำเอาชายหนุ่มชะงักหันมองอย่างงงๆ เพราะแทนที่จะถามหาเจ้าบ่าวแต่เจ้าสาวกลับถามหาพี่สาว“เปล่าครับ แล้วนี่ซีจะไปไหน น่าจะพักนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”วิศรุตต์พูดโดยไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าบ่าวที่เขาคิดว่ามันคงนั่งร่วมวงอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อยากเป็นคนชี้โพรงให้กระรอกฤกษ์ส่งตัวนั้นมีไปตั้งแต่เมื่อวานที่กรุงเทพฯ เพราะทั้งสองคนแต่งงานที่บ้านสวนแบบเรียบง่าย รดน้ำทำบุญ มีเพียงแขกผู้ใหญ่และคนสนิทจริงๆ ส่วนงานเลี้ยงมาจัดที่เกาะ ซึ่งเป็นความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ก็อำนวยความสะดวกให้กับแขกที่ได้รับเชิญทั้งไทยและเทศอย่างดี ฉะนั้นคู่บ่าวสาวจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตามฤกษ์ ส่วนบ้านพักของตระกูลนั้นตติยะให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเ
เสียงหอบหายใจคละเคล้ากับเสียงเรียกชื่อเขา พร้อมปฏิกิริยาแสนซื่อจากร่างกายของหญิงสาวทำให้คนเจนสนามไหวร่างไม่นับครั้ง สายตาคมจ้องอกอวบสองข้างที่สะท้อนขึ้นลงไว้มั่น ทั้งแรงเสียดสีจากร่างอ่อนนุ่มก็ทำให้กายแข็งแกร่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสูงลิบแตะเพดาน หัวใจหนุ่มเต้นระส่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ชายหนุ่มเองก็ยิ่งส่งตัวเองเร็วชนิดลืมโลก เขาไม่เคยคลั่งแบบนี้มาก่อน ลืมไปด้วยซ้ำว่าคนใต้ร่างเขานั้นเพิ่งครั้งแรก เมื่อไม่สามารถรั้งตัวเองได้ตติยะก็วิ่งชนโครมเต็มตัวไม่ยั้ง กระทั่งร่างของคนทั้งสองสะท้านเยือกขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงใหญ่เกร็งคำรามพร่าในลำคอดัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำบิดเหยเกแหงนเงยมองเพดานห้องเอื้อมธารที่กรีดร้องพร้อมตาเบิกโพลงมองภาพชายหนุ่มตรงหน้าด้วยหัวใจที่กระหน่ำแรงโลด รู้สึกรักเขาและภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด หน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายแม้จะเหมือนทรมานแสนสาหัสแต่เธอรู้เขาสุขสุดๆ เลยเชียวแหละ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลยความรักกับเซ็กส์บางครั้งมันก็แยกกันไม่ออก เธอเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง การได้มีความสุขกับคนที่รักนั้นคือเซ็กส์ที่สุดยอดจริงๆเมื่อปล่อยกายปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนาแล้วตต
ครึ่งชัวโมงผ่านไปร่างบางก็ออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูพันตัวเพราะไม่ได้ถือเสื้อผ้าเตรียมเข้าไป เธอทำใจกล้าก่อนจะมองดูว่าคนตัวสูงใหญ่อยู่ในห้องหรือไม่ เมื่อไม่เห็นก็รีบวิ่งพรวดไปที่ตู้ซึ่งเพิ่งจัดเสื้อผ้าเข้าไปค้นหาของอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ต้องรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนที่ตติยะจะเข้ามาทว่าช้าไปแล้ว เพราะประตูห้องเปิดพรวดในขณะที่ร่างสูงในชุดกางเกงเลกับเสื้อแขนตัดฟิตเปรี๊ยะจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแกร่ง มือใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมก้าวเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักมองคนร่างบางที่หันมามองเขาตาโต ส่วนหญิงสาวก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยทุกอย่างในมือร่วงลงพื้นตาคมสีอ่อนมองร่างสวยตั้งแต่ใบหน้า ผมเปียกที่ถูกขมวดลวกๆ รุ่ยร่ายตกลงมาระลำคอระหง ไหล่บาง เนินอกอวบขาวนวลเนียนก่อนจะถูกผูกทับไว้ด้วยผ้าขนหนู สายตาเขาจึงไล่ลงล่างอย่างรวดเร็ว ขาขาวกลมกลึงที่โผล่จากผ้าผืนเล็กคลุมสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ทำเอาชายหนุ่มกลืนน้ำลายเสียงดังชัดเจน คนที่สบตากับเขาถึงกับตัวสั่นเพราะแววกระหายฉายวาบโชติช่วงอย่างไม่ปิดบัง เอื้อมธารจึงเลี่ยงหลุบตาลงมองเสื้อผ้าแล้วย่อตัวลงหยิบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีส่วนล่อแห
ขณะนั้นตติยะเริ่มขยับลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ทว่าได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ มือหนายื่นไปข้างหน้าเพื่อควานหาคนร่างบาง หากก็ต้องล้มอีกครั้งเพราะความรีบร้อนลุยน้ำและมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ขึ้นไปบนผืนทรายจนได้ เขาขยี้ตาที่ยังแสบแต่ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นจึงได้แต่เดินสะเปะสะปะยื่นมือไปทั่ว“ซี คุณยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมเป็นห่วงคุณนะ ตอบผม ให้ผมได้ยินเสียงคุณหน่อย”หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วยืนมองคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ในการหาเธออยู่พักใหญ่จนแทบจะทนไม่ไหว มือบางก็ยื่นไปข้างหน้าช้าๆ หากก็ตัดใจลดมือลงในที่สุดและยืนนิ่งอย่างรอคอย ใจเต้นแรงลุ้นระทึกแทบจะกลั้นหายใจ ขอเวลาอีกนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น‘ก้าวมาสิ มาหาฉัน’เอื้อมธารร้องเรียกอีกฝ่ายอยู่เพียงในใจ“คุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมซี”ชายหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง พยายามจับทิศทางก่อนจะขยับไปด้านซ้ายมือเพียงสองก้าวแล้วคว้าหมับ ทำให้ร่างเย็นชื้นหากก็นุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาเต็มๆ ปากบางสวยก้มลงจูบข้างขมับเธอพร้อมกระซิบต่อว่าเบาๆ ทั้งที่ใจเขาแทบขาดรอน กลัวไปหมดทุกอย่าง“แกล้งผมทำไมฮึ คุณจะฆ่าผมหรือไง ทั้งที่รู้ว่าผมรักคุณ
“บอกอะไรคะ”ชินานางอดถามไม่ได้“ก็พี่ทิมบอกว่า ผู้ชายถ้าได้มีอะไรกับคนที่รักแล้วจะยิ่งรักมากขึ้น ให้ดูพี่เรฟเป็นตัวอย่าง เพราะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเวลาอยู่กับพี่นา แยมไม่ค่อยเชื่อ เพราะพี่เรฟเขาเย็นชา ชอบทำหน้าเฉยตลอด แต่แยมก็เห็นพี่เรฟมองตามพี่นาตลอดเหมือนกัน ตอนเราเล่นน้ำก็มอง แต่พอเห็นความน่ารักของพี่นาเวลาเขินอย่างนี้แยมเข้าใจเลยค่ะ แยมก็ชอบพี่นานะคะ”เอื้อมธารกับชินานางมองคนที่อธิบายเสียงใสแล้วก็มองหน้ากัน โดยชินานางเป็นฝ่ายเขินหลบไปก่อนขณะที่เอื้อมธารคิดตามคำพูดของสาวน้อย เธอเองก็เห็นด้วยเพราะรู้สึกได้ว่า เรฟแสดงออกว่าห่วงใยรักใคร่ชินานางมากกว่านิสัยปกติของเขา คล้ายกับแววตาที่อานินท์มองพี่สาวของเธอ แถมทั้งสองคนยังมีแผนจะแต่งงานกันในอีกหกเดือนข้างหน้า แต่เอื้อมทรายจะยังอยู่กับเธอโดยที่อานินท์ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยส่วนเมื่อคิดถึงแววตาและการเอาใจใส่ดูแลเธอของตติยะก็ไม่ได้น้อยไปกว่าใคร แถมเขายังดูจะตามใจเธอมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เอื้อมธารรู้สึกน้อยหน้าใครๆ แต่อย่างใด“แล้วพี่เรฟ แบบว่ามีเซ็กส์กับพี่นาบ่อยไหมคะ”สาวน้อยจอมซักยังถามต่อ แม้ใบหน้าสวยของตัวเองจะแดงเรื่อขึ้น