เวลาเกือบเที่ยงคืน รถสปอร์ตสีดำคันสวยของเวลเลโอเคลื่อนผ่านมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่งที่ตติยะเคยเรียนมาถึงสี่ปี ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปมองป้ายชื่อมหาวิทยาลัย และป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ซึ่งผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งมักจะมายืนรอรถเมล์ที่นี่ ถ้าเขาขับรถผ่านก็มักจะพาเธอขึ้นไปด้วย หากเมื่อวานไม่ได้เห็นเธอ การผ่านหน้ามหาวิทยาลัยในวันนี้คงไม่สร้างความรู้สึกคิดถึงจับใจถึงเพียงนี้
‘แซนด์’ เป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่เป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่คบกัน ตติยะสามารถเรียกเธอว่า ‘เพื่อน’ ได้เต็มปาก เพราะเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้ว มีเพียงเธอเท่านั้นที่ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับเขา
“มองอะไรคะทิว”
ภรวีเอียงหน้ามาซบต้นแขนกำยำอย่างออดอ้อนเรียกร้องความสนใจ หลังจากที่รถเลยมหาวิทยาลัยมาไกลแล้วเพราะเห็นว่าเขาหยุดพูดคุยกับเธอ
“ไม่มีอะไรครับ แค่มองที่ที่ผมเคยเรียน”
“จริงด้วย” หญิงสาวยกมือทาบอกที่คอเสื้อกว้างโค้งลงเห็นเนินอวบอย่างจงใจให้เขามองตาม
“วีวี่ก็ลืมไปเลยว่าทิวเคยเรียนที่นี่ก่อนไปอเมริกา วีวี่ขอโทษนะคะที่กวนใจทิว”
“ไม่เลยครับ วีวี่ไม่เคยกวนใจผมเลยสักนิด แต่วีวี่กวน...”
เขาเงียบก่อนส่งสายตาเจ้าเสน่ห์มาที่หญิงสาวอย่างบอกความนัยแล้วหันไปสนใจถนนต่อ
เวลานี้ไม่ใช่เวลารถติดถนนจึงว่างการเคลื่อนที่ของรถสมรรถนะแรงสูงนั้นรวดเร็วเป็นพิเศษก็จริง แต่ใจเขายังคิดว่ามันช้าอยู่ดี เพราะอยากไปให้ถึงคอนโดของภรวีโดยเร็ว ด้วยความหวามไหวจากการเต้นรำเคล้าคลอเสียดสีกันมาก่อนหน้าเรียกร้องความต้องการจนทั้งคู่ตัดสินใจกลับมาที่ห้องของภรวี
“แหม...ทิวน่ะ เซี้ยวจริงเชียว”
ภรวีทำเสียงแง่งอนไม่จริงจัง พร้อมกับตีลงบนอกกว้างเบาๆ แล้วก็ถูกมือหนาคว้าขึ้นมาพรมจูบหนักๆ สร้างความวาบหวาม
“เพราะวีวี่ทำให้ผมอดใจไม่ไหวทุกทีที่อยู่ใกล้น่ะสิครับ” เสียงของเขาเริ่มสั่นพร่า
“คุณต่างหาก ที่หว่านเสน่ห์ใส่วีวี่”
แม้เพียงแค่เขาจูบไล้ที่มือ ก็ส่งผลให้หญิงสาวสั่นทั้งตัวจนเอ่ยเสียงเบาหวิว ตติยะยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับอารมณ์อย่างที่จงใจสร้างขึ้น แม้จะเหลือเพียงเลยไฟแดงหน้าไปก็จะเลี้ยวเข้าซอยคอนโดมิเนียม แต่ขณะนี้ไฟแดงอยู่ เขาจึงหยุดรถและหันมาหาคนที่คลอเคลียข้างตัว ฝ่ามือหนาเริ่มลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างอวบอัด เมื่อหญิงสาวเบียดตัวเข้าหาและจูบเขาก่อน ตติยะจึงไม่ปฏิเสธที่จะสานต่อทันที
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะกระจกถี่รัวไม่มีหยุดยั้ง ฉุดอารมณ์ที่กำลังลุกโชนของชายหนุ่มหญิงสาวให้ชะงัก ร่างสองร่างซึ่งนัวเนียไม่รู้มือใครเป็นมือใครแยกออกจากกันทันที มือของตติยะกดเลื่อนกระจกลงโดยอัตโนมัติด้วยความหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ ตั้งใจจะโวยกลับคนที่เคาะให้ได้อาย โทษฐานมาแอบดูชาวบ้านทำอะไรกัน ชายหนุ่มหันไปด้านข้างของตัวเอง เมื่อกระจกสีดำเลื่อนลงก็เห็นชัดว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนพูดบางอย่างอยู่ข้างนอก
“นี่คุณ...คิดจะควักจะล้วงอะไรกันก็ไปทำที่อื่นไม่ได้หรือไง ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ รู้ว่าของแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ และในรถก็เป็นที่ส่วนตัวของพวกคุณ แต่ต้องไม่ใช่ตรงแยกไฟแดงนี่ เพราะมันทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เข้าใจไหม”
เธอพูดพร้อมกับชี้ไปที่สัญญาณไฟจราจร
“โน่น...ดูสิ ไฟเขียวจนกำลังจะแดงอีกรอบแล้ว หวังว่าเขียวครั้งต่อไปฉันคงจะได้ไปนะ รอให้คุณไปก่อนตั้งนานก็ไม่ยอมไป บีบแตรแล้วก็เฉย คิดว่าเป็นอะไรซะอีก ที่ไหนได้...”
สีหน้าของเธอบอกชัดว่ารังเกียจก่อนจะถอยออกไป หากไม่ทันไรก็หันกลับมาใหม่แล้วทิ้งท้าย
“ขอโทษที่มารบกวนเวลาแห่งความสุขนะคะ”
พูดประชดจบร่างบางก็เดินจากไป ไม่เปิดช่องให้สองคนได้โต้กลับเลยแม้แต่น้อย
ภรวีได้แต่สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรงด้วยความไม่พอใจที่ถูกด่าแต่ทำอะไรไม่ได้ หรือพูดให้ถูกก็คือ ยังปรับอารมณ์หวามให้เปลี่ยนเป็นโกรธไม่ได้ จึงอ้าปากโต้ไม่ทันนั่นเอง
แต่คนที่คิดว่าจะโวยวายตั้งแต่ต้นกลับนิ่งอึ้งตะลึงตาค้าง รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี เมื่อคนที่เอาแต่พูดๆๆ แล้วก็ไปนั้น คือคนที่เขาเพิ่งนึกถึงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
แซนด์...เอื้อมทราย
เขาเห็นหน้าเธอชัดเพราะแสงไฟจากด้านนอกส่องกระทบเข้าใบหน้าสวยหวานพอดี แต่เธอจะจำเขาที่นั่งอยู่ในรถมืดๆ ได้หรือไม่ เขาไม่แน่ใจ
===================
“ไม่น่าเชื่อ” เสียงพึมพำเป็นภาษาอังกฤษดังมาจากริมฝีปากหนาหยักได้รูป
“ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับคุณทิว” จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังตามมา
หมอนใบย่อมลอยละลิ่วปะทะหน้าหล่อของลูกผู้พี่ตติยะอย่างแรง แต่ก็ไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะห้าวๆ นั่นลงได้เลย ปกติหมอนี่ก็ไม่ค่อยจะหัวเราะสักเท่าไหร่ แต่หัวเราะทีไร เขาก็ต้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกสมน้ำหน้าอย่างนี้ทุกทีสิน่า
“หุบปากนายไปซะ ฉันไม่น่าเล่าให้นายฟังเลย ให้ตาย แทนที่จะให้กำลังใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็จิตใจฉันมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นมากเกินไป แต่นายกลับมาหัวเราะเยาะว่าฉันไม่มีน้ำยาพาสาวๆ ขึ้นสวรรค์”
“ผมยังไม่ได้พูดสักคำ” แต่เรฟก็ยังทำเสียงหัวเราะที่แปลความหมายได้แบบนั้นอยู่
ใบหน้าคมหล่อหันขวับ สายตาคมกริบจับจ้องด้วยอารมณ์กรุ่น ชักอยากยกเท้ายันคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวแบบไม่ต้องหาคำมาบรรยายถึงเหตุผลว่าทำไม
“ไม่พูด แต่การกระทำนายมันบอกชัด รู้ไว้ซะด้วย”
“แต่ใครจะเชื่อว่าคนอย่างคุณทิว จะเสื่อมสมรรถภาพ”
“ฉันไม่ได้เสื่อมเว้ย! ไอ้เรฟ!”
ปากก็พูด มือก็ปาหมอนอีกใบตามไปทันที แต่คราวนี้เรฟรับไว้ได้
“ตอนนั้นฉันไม่มีจิตใจมาคิดถึงเรื่องนั้น แต่...ฉันไม่อยากให้วีวี่คิดว่าฉันไม่สนใจเค้า”
“ก็เลยสนองกลับแบบงั้นๆ แล้วไงล่ะครับ เธอไม่ได้ว่าอะไรคุณไม่ใช่เหรอ”
“วีวี่ไม่ว่า แต่ฉันรู้สึกผิดไงไม่รู้ว่ะ”
คิ้วหนาเหนือดวงตาคมสีอ่อนขมวดมุ่น เมื่อต้องกลับมานั่งระบายเรื่องที่พูดไปแล้วอีกครั้ง หลังจากรีบแล่นมาหาเรฟที่โรงแรมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างด้วยความอัดอั้นตันใจที่เขาสนองตอบอารมณ์ภรวีไม่ดี จนเธอต้องเป็นฝ่ายคุมเกมเองจนจบ...ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย
“แล้วตอนนั้น คุณทิวคิดถึงอะไรอยู่ล่ะครับ”
“ฉันคิดถึง...แซนด์” ปลายเสียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
“พอคิดถึงหน้าแซนด์ที่ด่าฉันตรงสี่แยก อารมณ์มันก็ไม่มีเลย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่ะเรฟ”
“คุณแซนด์คนนี้ที่บอกว่าเป็นเพื่อนสมัยมหา’ลัยน่ะเหรอครับ”
หนุ่มลูกเสี้ยวพยักหน้ารับ
“งั้นผมก็บอกได้แค่ว่า คุณแซนด์มีอิทธิพลต่อจิตใจของคุณทิวมากกว่าคุณวีวี่ หรืออาจจะมากกว่าผู้หญิงทุกคน เพราะในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดคุณวีวี่ร้อนแรงที่สุดแล้ว”
ตติยะมองเพื่อนคนสนิทที่เป็นเหมือนพี่ชายด้วยความอึ้งระคนแปลกใจ ไม่อยากเชื่อใจในสิ่งที่เรฟพูดสักเท่าไร เพราะมั่นใจว่าไม่เคยคิดกับเอื้อมทรายแบบนั้นเลยแม้สักครั้งเดียว
เขายอมรับว่าเธอเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทมากที่สุด แต่เอื้อมทรายก็เป็นเพื่อนซี้จริงๆ แบบที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเข้าใกล้และรู้ใจเขาได้มากเท่าเธออีกแล้ว เขาคบเธอตรงจิตใจล้วนๆ ไม่ใช่ผิวเผินทางด้านร่างกายเช่นผู้หญิงทั่วไป และเวลานี้ก็มีคนที่เข้ากับเขาได้ในทุกๆ เรื่องอย่างภรวีแล้ว หากจะกลับไปเจอเพื่อนอย่างเอื้อมทรายอีกครั้งก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกันเลยนี่นา
ที่สำคัญกว่านั้นก็เพราะเขากับเอื้อมทรายไม่เคยมีอะไรกันสักนิด จึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับภรวีได้
ตติยะพบกับภรวีเมื่อสามปีก่อนที่อเมริกา ช่วงที่หญิงสาวไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่น แล้วเธอก็กลับมาก่อนเขา แต่ก็ยังบินไปหาอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเขาจะมีใครอีกหลายคนแต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็ไม่เคยจืดจางลง และยังต่อติดง่ายดายเสมอ
แต่นั่นคือความสัมพันธ์ทางกาย ทว่าความสัมพันธ์ทางใจฉันเพื่อนล่ะ จะต่อติดไหม หากเขากับเอื้อมทรายกลับมาเจอกันอีกครั้ง สัญญาที่เคยให้ไว้เขายังจำได้ แล้วเธอล่ะ ยังจะจำมันได้หรือเปล่า...แต่ถึงเธอจะจำไม่ได้แล้ว เขาก็ยังจะรักษามันไว้อยู่ดี
“ฉันเห็นแซนด์แถวๆ คอนโดวีวี่สองครั้งแล้ว” ตติยะเปรยออกมา
“ครับ?” เรฟถามย้ำ เหมือนไม่แน่ใจว่าพูดกับตนหรือไม่
“แซนด์น่าจะอยู่ไม่ไกลจากคอนโดวีวี่เท่าไหร่ หาให้หน่อยแล้วกันนะ ฉันอยากรู้ว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงต้องย้ายบ้าน”
คราวนี้ตติยะหันมาพูดกับเรฟอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวกว่าทุกครั้ง ซึ่งท่าทางแบบนี้จะมีให้เห็นเฉพาะเวลาทำงานเท่านั้น แต่ถ้าช่วงปกติเขาดูจริงจังนั่นหมายความว่าเป็นเรื่องที่ใส่ใจอย่างยิ่ง
เพราะชายหนุ่มจำได้ว่า บ้านของเอื้อมทรายที่เขาไปส่งตลอดสี่ปีเต็มไม่ได้อยู่แถวนั้น
“ได้ครับ”
“ส่วนรูปฉันไม่มีให้นะ คงต้องกลับไปบ้านกันก่อน เพราะที่นั่นมีรูปที่ถ่ายด้วยกันเก็บไว้อยู่ รอเย็นนี้ เพราะวันนี้ฉันจะเข้าออฟฟิศไปฟังการตกลงของเรากับคนที่จะฟ้องร้องเรื่องรถมีปัญหา”
ฟังตติยะพูดแล้วเรฟก็ถึงกับสะดุ้ง เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“คุณทิวจะกลับบ้านวันนี้เหรอครับ”
“งั้นสิ”
คนตอบยักไหล่กวนๆ ให้อีกฝ่ายที่ได้แต่หน้าจ๋อย ชายหนุ่มจึงถอนหายใจ ก่อนจะตบบ่าคนที่เป็นเหมือนเพื่อนพี่ชายและบอดี้การ์ดส่วนตัวในเวลาเดียวกัน
“เอาน่า...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ป้าอรเขาเกลียดลุงรูเพิร์ท ไม่ได้เกลียดนายสักหน่อย ฉันว่าป้าต้องดีใจมากๆ เลยที่ได้เจอหน้านาย”
คนฟังพยักหน้ารับแต่ก็แอบถอนหายใจ เพราะแม้เรฟอยากจะเชื่อตามที่ตติยะปลอบแต่มันก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ