เสียงทุบโต๊ะดังชนิดที่หากโต๊ะกระจกอย่างหนานี้ไม่เจ็บ คนทุบเองนั่นแหละที่จะเจ็บ ทว่าสีหน้าและอากัปกิริยาของชายหนุ่มลูกผสมซึ่งนั่งอยู่กลางโต๊ะไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นอกเหนือจากคำว่า โมโหสุดขีด
คิ้วเข้มสีน้ำตาลขมวดมุ่น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบทองฉายแววถมึงทึง ริมฝีปากแดงสีสดเม้มจนบางเฉียบ ใบหน้าขาวเนียนราวผิวเด็กเริ่มแดงเพราะความฉุนเฉียว ทำให้ร่างสูงใหญ่หัวโต๊ะดูแทบจะข่มทุกคนให้ตัวเล็กลงไปในพริบตา
หลังจากได้รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีลูกค้าของโชว์รูมรถแห่งหนึ่ง มีปัญหาเรื่องรถไม่ได้มาตรฐานจนถึงขั้นอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แถมยังออกทีวีทุกช่องเป็นข่าวใหญ่โตและกำลังจะทำเรื่องฟ้องร้องอีกด้วย ตติยะก็เข้าสู่โหมดนี้ทันที
“หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าอะไหล่ของเรามีปัญหาน่ะ หา!”
“เราตรวจสอบพร้อมๆ กับช่างที่ทางทนายของเขาพามาแล้วครับ ผลก็คือ อะไหล่ของเราไม่ได้มาตรฐานจริงๆ”
“รถใหม่ป้ายแดงเนี่ยนะ” ตติยะเค้นเสียงถามวิชัยอย่างพยายามสะกดอารมณ์
“ครับ”
เพียงเท่านั้นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของตติยะก็เบนไปทางผู้จัดการฝ่ายนำเข้าและเจ้าของโชว์รูมรถที่มีปัญหาทันที
“ผมขอคำอธิบาย”
“รถคันนั้นไม่ใช่รถนำเข้าครับคุณตติยะ แต่เป็นรถที่เรานำมาประกอบในไทย เอ่อ...คิดว่าช่วงที่ประกอบคงเกิดความผิดพลาด...”
ผู้จัดการฝ่ายนำเข้าบอกแล้วหลุบตาหลบดวงตาสีอ่อนวาววับที่จ้องราวกับกำลังจะแผดเผา ส่วนเจ้าของโชว์รูมได้แต่หน้าซีดพูดอะไรไม่ออก ตติยะจึงเมินหน้าจากคนทั้งสองมาทางเลขา
“อาเมฆรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“คุณเมฆาทราบเรื่องแล้วครับ แต่ตอนนี้คุณเมฆาไปงานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของเราที่ฮ่องกงครับ และคุณเมฆาบอกว่าให้คุณตัดสินใจได้เลยครับ”
ชายหนุ่มฟังแล้วอยากกลอกตา แต่ก็ไม่อยากให้หมดความน่าเชื่อถือ เมื่อเขากำลังอยู่ต่อหน้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา รู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกลอยแพ เพราะเมฆาผู้ที่เคยอยู่ในฐานะของประธานกรรมการในภูมิภาคนี้มาก่อน แล้วเลื่อนขึ้นไปเป็นที่ปรึกษาเนื่องจากเขามาทำหน้าที่นี้แล้ว ไม่อยู่ให้คำปรึกษาตามตำแหน่งใหม่ แต่อย่าคิดว่าคนอย่างตติยะจะหมดทางออก
“ผมไม่สนว่าทำไมมันถึงเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ แต่ผมจะถือว่าทุกคนและทุกฝ่ายมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วยกัน หวังว่าพวกคุณคงเข้าใจ”
เขาพูดแล้วมองไปรอบโต๊ะก่อนจะหันกลับมาที่วิชัย
“เดี๋ยวคุณวิชัยจะคุยเรื่องที่เกิดความผิดพลาดกับพวกคุณอีกครั้ง หลังจากเราแก้ปัญหาเรื่องที่กำลังจะโดนฟ้องศาลเสร็จ”
ทุกคนในนั้นหน้าเสียไปตามๆ กัน เพราะไม่รู้ว่าจะโดนมาตรการลงโทษแบบใดจากเจ้านายคนใหม่ ซึ่งตติยะเพิ่งเข้ามาดูแลบริหารงานในส่วนของภาคพื้นทวีปเอเชียกับออสเตรเลียได้ยังไม่เต็มอาทิตย์ดี ด้วยชายหนุ่มอยู่ในฐานะทายาทเจ้าของ ‘เวลเลโอ’ แบรนด์รถสัญชาติเยอรมันประสิทธิภาพสูงที่มีใช้กันเป็นที่แพร่หลายทั่วโลก
เวลเลโอผลิตจำหน่ายทั้งรถขับขี่บนท้องถนนและรถแข่งในสนาม มูลค่านั้นไม่ต้องพูดถึง หากไม่มีเงินล้านขึ้นไปอยู่ในกระเป๋าไม่มีทางซื้อได้อย่างแน่นอน โดยเจ้าของเป็นชาวเยอรมนีตระกูลเวลเล่ที่มีเชื้อสายอิตาเลียนนั่นคือ เจอเซ่ โรมิโอ เวลเล่ ซึ่งเป็นคุณปู่ของตติยะ
ชายหนุ่มเป็นหลานชายคนโตและคนโปรดของปู่ มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ฐิติกร หรือ ทิม และมีน้องคนสุดท้องเป็นหญิงสาวคือ รติยา หรือที่คนในครอบครัวมักจะเรียกกันว่า แยม ทั้งสองยังเรียนอยู่ โดยฐิติกรนั้นเรียนปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อังกฤษ ส่วนรติยายังอยู่ไฮสคูลปีสุดท้ายที่อิตาลี
ด้วยความที่เป็นทายาทคนโต มิสเตอร์ เจอเซ่ จูเนียร์ เวลเล่ พ่อของตติยะจึงค่อนข้างเคี่ยวเข็นและเข้มงวดกับเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจบังคับให้เขาไปอยู่ที่ต่างประเทศได้ นอกจากตอนไปเรียนต่อปริญญาโทเท่านั้น ทว่าชายหนุ่มกลับไปเรียนที่อเมริกา ไม่ได้ไปอังกฤษบ้านของคุณตาซึ่งย้ายไปอยู่ที่นั่นเมื่อคุณยายเอมอรเสียชีวิตลงในเมืองไทย หรือเยอรมนีที่มีพ่อและแม่ของตนอยู่ หรือกระทั่งที่อิตาลีบ้านพักของปู่กับย่าก็ตาม
ตติยะชอบเมืองไทยซึ่งเป็นบ้านแท้ๆ ของยายตั้งแต่เกิด สมัยเด็กเขาเคยไปเรียนเมืองนอกเพราะทุกคนในบ้านย้ายไปอยู่ที่โน่นหมดเมื่อปู่เริ่มอายุมากขึ้น และพ่อของเขาต้องไปดูแลทุกอย่างเต็มตัวที่สาขาใหญ่พร้อมๆ กับที่คุณยายเสียชีวิตลง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ชอบจึงกลับมาเรียนที่เมืองไทยตอนเข้าม.ปลาย
นั่นทำให้หนุ่มลูกผสม อีตาลี เยอรมนี อังกฤษ และไทย กลายเป็นคนเดียวในตระกูลเวลเล่ที่ติดประเทศไทยมากที่สุด และยังเป็นหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ ทั่วโลกที่ให้โอกาสสาวๆ ในไทยได้ใกล้ชิดมากที่สุดอีกด้วย
“เรานัดคุยกับทนายฝ่ายโน้นหรือยัง” ตติยะถามวิชัยต่อ
“เรียบร้อยแล้วครับ พรุ่งนี้เราจะลองตกลงกับเขาก่อน ถ้าตกลงกันได้ อะไรหลายๆ อย่างก็คงจะง่ายขึ้น”
“พรุ่งนี้กี่โมง”
“แปดโมงเช้าครับ คุณตติยะจะเข้าด้วยหรือเปล่าครับ”
“อาจจะ”
ริมฝีปากบางตอบแล้วแย้มยิ้มนิดๆ ให้ทั้งโต๊ะรู้สึกหลอนไปตามๆ กัน การพูดเป็นนัยบอกให้รู้ว่า เขาสนใจที่จะเข้าร่วมฟังการตกลงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ยอมบอกว่าจะมาหรือไม่นั้น ก็เท่ากับว่าเขาอาจโผล่มาอย่างไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา ฉะนั้นทุกคนจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้คู่กรณีพอใจให้ได้ ก่อนที่เรื่องจะถึงศาล หากใครพลาดให้รู้หรือเห็นล่ะก็...เสร็จแน่
“เอาล่ะ...ไม่มีอะไรแล้ว เอาเป็นว่าผมขอข้อเสนอดีๆ ที่จะคุยกับคู่กรณีจากทุกฝ่าย ส่งให้คุณวิชัยเย็นนี้ แล้วก็ขอให้อย่ามีครั้งหน้า ถ้ามี จะไม่มีการแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น”
ทิ้งระเบิดไว้เรียบร้อย จากนั้นตติยะก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่มองหน้าใคร เรฟที่นั่งเงียบตลอดการประชุมลุกตาม ขณะที่วิชัยเลขาวัยสามสิบห้าค่อยๆ เก็บแฟ้มแต่ละแฟ้มอย่างใจเย็น ส่วนคนอื่นๆ นั้นต่างก็รีบแยกย้ายกันไปทำงานของตนอย่างรวดเร็ว
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ