เขา...ผู้เป็นเหมือนหลักให้ยึดเหนี่ยวเพียงหลักเดียวที่มีอยู่ในชีวิต เธอจึงไม่ปฏิเสธจะที่ไขว่คว้า แม้รู้ดีว่า ‘เขา’ ไม่ใช่คนของเธอ ความรัก...มักจะเข้ามาทักทายโดยที่เรายังไม่ทันตั้งตัวเสมอ ทว่าความรักครั้งนี้ไม่ได้เป็นของเธอตั้งแต่ต้น แล้วเธอจะยึดเขาเอาไว้ให้ทุกอย่างเป็นสิทธิ์ของเธอโดยสมบูรณ์ หรือปล่อยให้เขาจากไป...
View Moreเสี้ยวหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าบังละอองน้ำ ขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้ม ยามสายฝนโปรยปรายทำให้ตติยะตาค้าง ร่างสูงใหญ่หุ่นสมาร์ทกว่ามาตรฐานชายไทยขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ก้าวพรวดตรงไปประตูทางออก แต่ถูกมือบางคว้าต้นแขนเข้าไปกอดไว้ เอนร่างนุ่มนิ่มซบเบียดอกอวบเข้าหาพร้อมกับเอ่ยเสียงหวานจนเขาต้องหันกลับมามอง
“ไปกันโต๊ะโน้นดีกว่าค่ะทิว เพื่อนๆ วีวี่โต๊ะนั้นอยากคุยกับทิวกันทุกคนเลยค่ะ”
เธอออดอ้อนเสียงหวาน ใส่ความเย้ายวนลงไปเต็มที่
ใบหน้าคมมีเค้าของความเป็นเลือดผสมชัดเจนส่งให้โดดเด่นเหนือใครสบตาหญิงสาวชั่วแวบ ก่อนจะหันกลับไปมองยังกระจกด้านนอกอีกครั้ง แต่ก็พบว่าทุกอย่างว่างเปล่า
เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“ทิวคะ...มัวมองอะไรอยู่ รีบไปเร็วสิคะ เพื่อนวีวี่รอนานแล้วนะ”
สาวสวยเด่นในชุดราตรีสั้นรัดรูปสีดำ เว้าแหว่งทั้งหน้าและหลังพยายามยื้อดึงแขนให้เขาตามมา ชายหนุ่มจึงหันมายิ้มรับและเดินไปกับเธอ ทั้งที่อยากวิ่งออกไปตามหาหญิงสาวคนนั้น
คนที่ไม่ได้เจอกันมานานนับห้าปีเต็ม
===================
เย็นวันหนึ่งที่สายฝนพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ร่างสูงซึ่งกำลังวิ่งฝ่าสายฝนเปียกปอน เสื้อนักศึกษาสีขาวที่คล้องด้วยเนกไทและคลายออกจนหลวมชุ่มไปด้วยน้ำแนบผิวเนื้อที่มีมัดกล้ามชนิดที่หญิงสาวคนไหนเห็นก็ต้องเขม้นมองด้วยใจวาบหวิว
แต่เมื่อวิ่งผ่านอาคารของคณะนิติศาสตร์ เพื่อไปยังลานจอดรถด้านหลังมหาวิทยาลัย เม็ดฝนบริเวณรอบตัวเขาก็ห่างหายทั้งที่ฝนยังตกอยู่ ชายหนุ่มชะงักหยุดฝีเท้า ใบหน้าขาวเข้มแบบผสมผสานเชื้อชาติยุโรปกับไทยไว้ได้อย่างลงตัวเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นว่าเหนือหัวเขาถูกบังด้วยผืนร่มสีฟ้าใส พร้อมๆ กับมีเสียงสดใสดังขึ้นข้างตัว
‘จะรีบไปไหนน่ะ ยืมร่มเราไปใช้ก่อนไหม’
สายตาคมสีน้ำตาลอ่อนละจากร่มก้มมองตามเสียง พอสบกับดวงตาสีดำขลับแววฉงนสงสัยก็ฉายชัดในตาคู่คม ทว่ารอยยิ้มสดใสที่ออกมาจากริมฝีปากอิ่มสีสวยธรรมชาติ พร้อมกับความใสซื่อจากใบหน้านวลเนียนและตาคู่สวยหวานทำให้เขานิ่งงัน
‘นายรีบไม่ใช่เหรอ เอาร่มเราไปก่อนสิ เราให้ยืม’ หญิงสาวตรงหน้ายังยิ้มและยืนยันเจตนาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
‘แล้ว...เธอจะไปยังไงล่ะ’ เขาถามกลับเสียงเบา มือหนายกขึ้นเสยผมสีน้ำตาลเข้มของตนเองไปด้านหลัง เพื่อให้หยดน้ำที่เปียกลู่ผมไม่ร่วงลงไปโดนหญิงสาวร่างเล็ก
‘ไม่เป็นไร เราไม่รีบ เดี๋ยวนั่งรอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับบ้านก็ได้ ยิ่งฝนตกอย่างนี้รถเมล์ยิ่งแน่น ออกไปช้าหน่อยก็ได้’ คนพูดทำเสียงให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ก้มลงมองคนตัวเล็กอย่างพิจารณา แล้วก็เห็นแต่ความจริงใจส่งผ่านมาจากหญิงสาวซึ่งสูงเพียงแค่อกเขาเท่านั้น เธอเงยหน้าขึ้นเต็มที่ขณะคุยกับเขา และยิ่งอยู่ในร่มคันเดียวกัน ยิ่งทำให้ต้องแหงนเงยหน้ามากขึ้นกว่าเดิม แถมยังต้องยืดมือขึ้นจนสุดแขนเพื่อกางร่มให้เขาอีก นั่นทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่า เธอคงเมื่อยคอกับแขนน่าดู มือใหญ่หนาเลื่อนมาจับคันร่มเหนือมือบางก่อนจะพูด
‘ไปพร้อมกันเลยดีกว่า เราช่วยถือให้’
คนฟังหน้าเหวอเล็กน้อย อ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่างแต่เขาไม่สนใจ ใช้มืออีกข้างดันแผ่นหลังบอบบางให้ก้าวนำหน้าเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยแล้วเดินตามติดไปในร่มคันเดียวกัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด แต่เมื่อเขายิ้มให้เธอก็ฉีกยิ้มตามแล้วเอ่ยพูดในสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ
‘ขอบใจนะ’
‘ขอบใจทำไม เราต่างหากที่ต้องขอบใจเธอ’
‘ขอบใจที่นายช่วยเราถือร่มไง สบายดี ไม่เมื่อยมือด้วย’
พูดจบก็ยิ้มกว้างให้อีกครั้ง จนชายหนุ่มที่มักจะต้องวางมาดดูดีเป็นสุภาพบุรุษเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวๆ รู้สึกเก้อขึ้นมานิดๆ กับคำพูดที่ออกมาจากใจจริงนั้น
‘บ้านเธออยู่ไหนเหรอ เดี๋ยวเราไปส่งให้’ เขาเอ่ยปากเมื่อมาถึงลานจอดรถและรถของเขาก็อยู่ไม่ไกล
‘อย่าเลย เกรงใจน่ะ บ้านเราอยู่ไกล’
นี่เป็นอีกครั้งที่ได้ยินประโยคซึ่งไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะมันไม่เสแสร้งแกล้งทำให้เขาสนใจ แต่เห็นชัดว่ามันออกมาจากใจผู้พูดโดยไม่ได้กลั่นกรองให้ดูสวยงาม เอาใจเขา หรือว่าเล่นตัวเลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงคนนี้...ชักน่าสนใจแฮะ
‘ไม่เป็นไร ฝนตกยังไงรถก็ติดอยู่แล้ว ถนนที่ไปบ้านเราเป็นอัมพาตแน่เพราะต้องแย่งกันออกนอกเมือง กว่าจะถึงบ้านก็ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไปส่งเธอก็เหมือนได้ขับรถเล่น จะได้ไม่นั่งหงุดหงิดอยู่ในรถคนเดียว’
‘เอ่อ...’
ชายหนุ่มไม่ฟังเสียงปฏิเสธอันใด ถือวิสาสะดันแผ่นหลังของหญิงสาวให้ไปที่รถของตนเองอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ
‘เอาน่า...เราจะไม่บอกไอ้โอมเด็ดขาด ว่าแอบไปส่งแฟนมันถึงบ้าน’
‘บ้า! เรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนโอมนะ!’ เสียงที่เคยสดใสแว้ดขึ้นทันที
ทั้งคู่หยุดยืนเมื่อถึงประตูรถด้านข้างคนขับ ดวงตาสวยหวานวาววับจ้องหน้าเขาเขม็ง แต่เห็นชัดว่าแก้มเริ่มมีสีระเรื่อ คนตัวสูงทำหน้าไม่เชื่อถือ พร้อมกับกดรีโมตเปิดทั้งที่ยังจ้องหน้านวลใสอยู่ ก่อนจะยักไหล่แล้วหันไปเปิดประตู
‘อ้าว...ยังไม่ได้เป็นเหรอ’
เขาเอ่ยขึ้นขำๆ กับท่าทางของคนตัวเล็ก แล้วก็ได้ค้อนกลับมาหนึ่งขวับก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นไปนั่งในรถอย่างกระแทกกระทั้น ชายหนุ่มที่ยังกางร่มอยู่ด้านนอกโน้มลงไปแซวต่อ
‘งั้นถือซะว่า เราซ้อมเป็นว่าที่เพื่อนของแฟนไปส่งแล้วกัน เพราะถ้าเธอตกลงคบไอ้โอมเมื่อไหร่ เราจะได้สนิทกันโดยไม่ต้องปรับตัวอะไรมากไง’
เห็นเธอหน้าแดงแจ๋ขึ้นเขาก็ยิ้ม แล้วยืดตัวขึ้นปิดประตูเดินอ้อมไปด้านคนขับ หุบร่มก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ยื่นร่มให้หญิงสาว เขาไม่คิดจะคืนให้แต่แรกตอนเธอเข้าไปนั่ง ทั้งที่ความจริงไม่กลัวเปียกเพราะยังไงตัวก็เปียกอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าต้องรีบหลบให้พ้นมือเล็กๆ ที่กำแน่นนั่นต่างหากจึงรีบชิ่งถอยออกมาก่อน
และวันนั้นเมื่อเก้าปีที่แล้ว ก็เป็นวันเริ่มต้นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอย่างจริงจังระหว่าง...เขากับเธอ
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ
Comments