Share

บทที่ 2

last update Last Updated: 2025-12-29 15:58:44

“ขอบคุณแม่นางขอบคุณท่านมาก”

เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของหญิงสาว ทั้งหัวหน้าพ่อค้าและฮูหยิน รวมไปถึงผู้ร่วมทางของทั้งสอง ได้มอบสินน้ำใจเล็กน้อยที่หญิงสาวปฏิเสธไปแล้ว ทว่าทั้งหมดก็ยังยัดเยียดให้อยู่ดี กว่าจะกลับมายังกระโจมของคนเจ็บซึ่งกลายเป็นสามีจำเป็นของตน วันวิสาข์ก็แทบจะหอบข้าวของที่ได้รับมาไม่ไหว

คิ้วเรียวขมวดแน่นในยามที่จมจ่อมอยู่กับภวังค์ เสียงถอนหายใจดังขึ้นในยามที่นั่งมองใบหน้าของบุรุษที่ยังคงนอนแน่นิ่ง “วันนี้ช่างเป็นวันที่หนักหนาสาหัสจริงๆ” วันวิสาข์บ่นพึมพำกับตัวเอง

เรื่องที่หญิงสาวหมายถึงนั้น แน่นอนว่าเรื่องแรกคือการกลับมายังแคว้นจ้าวแบบไม่ทันตั้งตัว เรื่องต่อมาก็คือการได้มาเจอบุรุษแปลกหน้าที่ถูกไล่ล่าจนตกลงมาจากสะพานจนชีวิตก็เกือบจะไม่รอด...

หลายปีก่อนหน้านี้....

“หลานรู้ไหมอะไรคือนักเดินทางข้ามเวลา” รินรดาผู้เป็นยายทวดของวันวิสาข์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“นักเดินทางข้ามเวลาหรือคะ” วันวิสาข์ในวัยสิบสี่ปีเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้

“ใช่จ้ะ นักเดินทางข้ามเวลา”

“หมายถึงนักท่องเที่ยวเหรอคะคุณทวด” วันวิสาข์หัวเราะ

“วันวิสาข์ตั้งใจฟังนะหนูเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเราที่สืบเชื้อสายนักเดินทาง หญิงสาวในตระกูลเรา เมื่ออายุครบสิบห้าปีจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป เราจะสามารถเดินทางข้ามเวลาได้โดยที่เราไม่รู้ตัว”

“ข้ามเวลายังไงคะ”

“คือเดินทางไปยังที่อื่น ภพอื่นหรือสถานที่อื่นจ้ะ แต่ละคนจะเดินทางไปคนละแบบ เจอเรื่องราวแตกต่างกันไป และรูปแบบการเดินทางจะไม่เหมือนกัน ตั้งแต่หลานเกิดมาทวดก็รู้แล้วว่านักเดินทางคนต่อไปคือหลาน ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงตั้งสติให้มั่น เพราะเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เมื่อไม่สามารถควบคุมมันได้ก็ได้แต่ต้องพยายามอยู่กับมัน”

“คนเราเดินทางข้ามเวลาไปยังอดีตได้ด้วยหรือคะ”

“ทวดเองก็บอกไม่ได้ว่าการเดินทางของหลานจะเป็นไปในรูปแบบไหน ดังนั้นจำไว้ว่าเราคือนักเดินทางข้ามเวลาที่สักวันหนึ่งก็ต้องกลับมาในที่ของเรา เพียงแต่จะเป็นช่วงไหนตอนไหนเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้าเราเดินทางไปแบบนี้ คนที่นี่ไม่ตามหาแย่หรือคะ”

“นั่นเป็นความลับของห้วงแห่งกาลเวลาจ้ะ หลานจะเข้าใจเมื่อถึงเวลา”

“ความลับของห้วงแห่งกาลเวลาหรือคะ”

“ใช่จ้ะ”

“แล้วคุณทวดเคยไปนานที่สุดนานเท่าไหร่คะ”

“ทวดหรือ” รินรดาเหม่อมองแล้วยิ้ม

“หลานจำตอนที่ทวดย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่กับน้าของหลานได้ใช่ไหม” รินรดาเอ่ยถึงศิลาผู้เป็นหลานชาย ซึ่งเป็นนายแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่

“เอ๋ ตอนที่คุณทวดย้ายไปอยู่กับน้าศิลาหนูเรียนกำลังเรียนชั้นประถมสี่หรือสามน้า” วันวิสาข์พยายามนึก

“การเดินทางครั้งสุดท้ายจากวันที่ทวดไปถึงเชียงใหม่ จนถึงตอนนี้ก็นานเหมือนกันใช่ไหม”

“โอ เกือบหกปีเลยหรือคะ” วันวิสาข์ตาโต

“ศิลารู้เรื่องนักเดินทางทั้งหมด หากวันหนึ่งหลานพบว่าการเดินทางมันเริ่มเนิ่นนานขึ้น หลานอาจจะอยากย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่สักพักก็ได้ จำเอาไว้ว่าให้คนรู้เฉพาะที่จำเป็น เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่จะเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เราเป็น”

“การเดินทางครั้งสุดท้ายของทวดใกล้เข้ามาแล้ว” รินรดาแย้มยิ้มพึมพำออกมาคนเดียว

จำได้ว่านั่นเป็นบทสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างทั้งสองที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี หลังจากนั้นรินรดาก็เดินทางกลับไปเชียงใหม่อีกครั้ง ไม่นานข่าวผู้เป็นยายทวดจากไป ก็ทิ้งไว้แต่ความสับสนและไม่เข้าใจเอาไว้ กระทั่งตอนวันเกิดอายุครบสิบห้าปี เด็กสาวก็เข้าใจว่าทั้งหมดหมายความว่าอย่างไร

วันแรกของการฉลองอายุครบสิบห้า เป็นการเดินทางครั้งแรกของวันวิสาข์ มันเกิดขึ้นในตอนเช้าขณะเดินทางไปทะเลที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์หลังจากเรียนจบมัธยมต้น อยู่ๆ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ที่หน้าชายหาด ภาพต่างๆ รอบตัวก็เปลี่ยนไป กระทั่งเด็กสาวพบว่าตัวเองหลุดเข้าไปยังหมู่บ้านโบราณ ซึ่งมองยังไงก็ไม่ใช่หมู่บ้านของคนไทยแน่นอน

วันวิสาข์สติแตกทันทีและเริ่มแหกปากเรียกหาคนรู้จัก แต่ไม่นานก็นึกถึงคำพูดของผู้เป็นยายทวดที่เคยบอกเอาไว้ ทั้งยังนึกโทษตัวเองว่าเมื่อกลางวันคงจะดูหนังจีนกำลังภายในมากไปหน่อย ทว่าหลังจากเดินไปมาเพื่อสำรวจไปรอบๆ เช่นที่รินรดาบอก ไม่นานภาพต่างๆ รอบตัวก็กลับมาเป็นชายหาดที่ตนกำลังเดินเล่นอยู่

เมื่อการเดินทางอีกครั้งมาถึง ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนที่วันวิสาข์กำลังเรียนอยู่มัธยมปลายปีแรก วันวิสาข์ได้พบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาใช้ชีวิตอยู่บนเขาเพียงลำพัง เขาเห็นทุกอย่างตอนที่วันวิสาข์อยู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้น แต่ตอนที่กำลังจะเริ่มสนทนากันเพียงกระพริบตาเดียวเด็กสาวก็พบว่าตนกลับมายังโลกปัจจุบันแล้ว

ครั้งต่อมาก็ยังคงเป็นหุบเขาลูกเดิม แต่ครั้งนี้บุรุษแปลกหน้าเขาดูจะเข้าใจว่าเด็กสาวคือวิญญาณเร่ร่อน จึงชวนพูดคุย ทั้งยังบอกวันวิสาข์ว่าให้ไปผุดไปเกิด ครั้งนี้เขาต้องตกใจเมื่อสามารถจับต้องตัวเด็กสาวได้ เขาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ด้วยความสนใจ นามของเขาก็คือซูหย่งจื้อ บุรุษผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาเพียงลำพังเพื่อศึกษาและค้นคว้าวิชาแพทย์

เมื่อได้สนทนากันอย่างจริงจัง แนวคิดต่างๆ ของเด็กสาวทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะแม้จะเป็นเพียงเด็กสาววัยสิบหก ทว่าวันวิสาข์กลับเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เด็กสาวทั้งเฉลียวฉลาดและสามารถปรับเปลี่ยนปรับปรุงสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีคนสอน ซูหย่งจื้อเอ่ยถามเมื่อเวลาผ่านไปนาน เนื่องจากเด็กสาวไม่ได้หายไปเหมือนคราวก่อน

วันวิสาข์ตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง ทั้งยังบอกว่าไว้ใจให้เขาเก็บความลับนี้เอาไว้ อีกทั้งไม่ลืมที่จะบอกเขาด้วยว่ากำหนดกะเกณฑ์ไม่ได้ว่าจะไปจะมาตอนไหน ดังนั้นซูหย่งจื้อจึงรับเด็กสาวเป็นศิษย์ ทั้งยังถ่ายทอดวิชาแพทย์ทุกอย่างให้จนจนสิ้นโดยใช้เวลาเพียงเวลาปีเดียว เรียกได้ว่าเด็กสาวได้กลายมาเป็นหมอคนหนึ่ง แม้ว่าจะอายุเพียงสิบหกปีซึ่งวัยวุฒินั้นถือว่ายังไม่มากพอ แต่การฝังเข็มของวันวิสาข์แม้แต่ซูหย่งจื้อผู้เป็นอาจารย์ ยังเอ่ยชมเชยว่าทั้งถูกต้องและแม่นยำ ทว่าไม่นานวันวิสาข์จะหายไปต่อหน้าต่อตาผู้เป็นอาจารย์โดยไม่ได้ล่ำลา

หนึ่งปีของการเดินทางข้ามเวลา แต่กลับพบว่าตนหายไปเพียงแค่นอนหลับในตอนเย็น แล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวเข้าใจถึงความหมายของ ‘ความลับของห้วงแห่งกาลเวลา’ ที่รินรดาเอ่ยถึงคืออะไร “นี่ไม่เท่ากับว่านักเดินทางข้ามเวลาทุกคนจะต้องมีช่วงอายุยาวนานกว่าคนปกติหรอกหรือ” เด็กสาวเคยตั้งคำถามแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ

วันวิสาข์ตัดสินใจว่าระยะเวลาต่อแต่นี้ไปตนนั้นจะเรียนแพทย์ แต่เพราะตนยังเรียนอยู่แค่มัธยมปลาย ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนเจ็บป่วย หนังสือเรียนของแพทย์ และการป้องกันรักษาโรคต่างๆ จึงเป็นหนังสือที่วันวิสาข์ซื้อมาอ่านและศึกษาเอง

แพทย์แผนโบราณกับแผนปัจจุบัน ถูกเอามาปรับเปลี่ยนและศึกษาควบคู่กัน สถานที่ซึ่งเด็กสาวไปบ่อยแทบจะทุกวัน คือถนนไชน่าทาวน์เนื่องจากที่นั่นมีร้านสมุนไพรจีนหายาก และร้านหมอแผนโบราณที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ เงินเก็บและค่าขนมเกือบทั้งหมด เด็กสาวใช้ไปกับการซื้อเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มรักษาเอาไว้พกติดตัว

การเดินทางครั้งที่สามเกิดขึ้นตอนที่ศิลาผู้เป็นน้า ตอนนั้นวันวิสาข์ไปเรียนต่อที่เชียงใหม่ เพราะพ่อกับแม่เห็นว่าบุตรสาวตนหมกมุ่นอยู่กับไชน่าทาวน์มากเกินไปจึงสนับสนุน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่แท้จริงของของนักเดินทางข้ามเวลาอย่างจริงจัง

การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ต่างจากตอนที่เกิดขึ้นตอนที่เจอกับซูหย่งจื้อนัก ครั้งนี้คนที่พบร่างโปร่งใสของวันวิสาข์เป็นชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะอายุราวๆยี่สิบ ทันที่ที่พบวันวิสาข์เขาแหกปากลั่นและวิ่งหางจุกตูดเลยทีเดียว ครั้งนี้ดูจะต่างจากทุกๆครั้งเพราะปรากฏตัวต่อหน้าคนคนเดิมถึงสามครั้งแล้วก็หายตัวจากมา ดังนั้นจึงโทษว่าเขาขี้ขลาดไม่ได้เพราะเป็นใครเจอแบบนี้ก็ต้องคิดว่าเจอผีแน่ๆ

ครั้งที่สี่ที่เจอเขาอีกเกิดขึ้นตอนที่วันวิสาข์กำลังอยู่บนรถไฟใต้ดิน อยู่ๆ ก็มีแสงสีเขียวดูดร่างเล็กเข้าไป พอลืมตาขึ้นมาก็พบชายหนุ่มนั่งคุกเขาไหว้ปรกๆ อยู่กับพื้นด้วยความกลัว ดูท่าเขายังคิดว่าเด็กสาวคือผีจริงๆ ชื่อแซ่ของเขาคือจางหย่วนจิน

จางหย่วนจินเรียกเด็กสาวว่าเทพธิดา ท่าทางโง่ๆเซ่อๆของเขาทำให้วันวิสาข์ไว้ใจเขา ทั้งยังติดตามเขาไปยังหมู่บ้าน เพราะถึงอย่างไรเขาก็คือคนรู้จักเพียงคนเดียว จางหย่วนจินเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ เพียงลำพัง เขาเล่าว่าที่นี่คือหมู่บ้านเซินเจี้ยน ตั้งอยู่แถวชายแดนระหว่างแคว้นจ้าวกับแคว้นหนาน พอมานึกๆ อีกทีเหมือนวันวิสาข์จะไม่เคยถามซูหย่งจื้อเลยว่า หุบเขาที่ตนอาศัยอยู่มาเกือบปีของการเดินทางข้ามเวลาครั้งก่อนนั้น ตั้งอยู่ส่วนไหนของแคว้นจ้าว

จางหย่วนจินเล่าว่าเขาขึ้นไปบนเขาเพื่อเก็บสมุนไพร ทำให้วันวิสาข์รู้ว่าเขาก็คือหมอเช่นกัน ทว่าพอเห็นเขาแยกแยะสมุนไพรต่างๆ แบบมั่วๆ ทำเอาวันวิสาข์โมโหเผลอตัวตบศีรษะเขาไปทีหนึ่ง อย่างที่เคยทำกับน้องชายที่บ้านบ่อยๆ เวลาโดนกวนโมโห

‘หากซูหย่งจื้อรู้ว่ามีหมอกำมะลอแบบนี้อยู่ในโลก มีหวังเขาต้องกระอักเลือดแน่ๆ’ ...นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวคิด

ต่อมาจางหย่วนจินยิ่งให้ความความเคารพนับถือวันวิสาข์มากขึ้น เมื่อรู้ว่าเด็กสาวเป็นหมอ ทั้งยังขอร้องให้รับเขาเป็นศิษย์ ดังนั้นวันวิสาข์จึงกลายเป็นอาจารย์ตั้งแต่อายุเพียงสิบหก ทั้งยังมีลูกศิษย์ที่แสนจะหัวทึบ อายุอานามปาเข้าไปยี่สิบสอง ซึ่งมากกว่าเด็กสาวถึงหกปี แต่ยังถือว่าโชคดีที่เขาขยันและมีใจอยากเรียนรู้

เสียงร้องโหยหวนของจางหย่วนจิน ปลุกวันวิสาข์ขึ้นมาในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง เขากำลังทดลองทำแปลงปลูกพืชสมุนไพร แต่ซุ่มซ่ามล้มลงไปทับจอบที่วางหงายอยู่บนพื้น ต้นขาของเขาเป็นแผลเหวอะหวะน่ากลัว เจอเลือดครั้งแรกวันวิสาข์ตกใจแทบตาย เพราะตั้งแต่ศึกษาวิชาแพทย์มา ยังไม่เคยได้ใช้แบบจริงๆ จังๆ มาก่อน ดังนั้นลูกศิษย์คนแรกผู้น่าสงสารจึงกลายมาเป็นคนไข้คนแรกไปอย่างคาดไม่ถึง

หลังจากฝังเข็มห้ามเลือดและทำความสะอาดบาดแผล ขณะกำลังจะเย็บแผลนั้น เจ้าศิษย์โข่งก็แหกปากลั่นเพราะกลัวเจ็บจึงโดนฟาดอีกรอบ เขาลืมไปว่าเด็กสาวนั้นฝังเข็มรอบบาดแผลไปแล้ว ทำให้บริเวณนั้นไม่มีความรู้สึก

จางหย่วนจินเพิ่มความเคารพนับถือเป็นเทิดทูนบูชาในตัวหญิงสาวยิ่งกว่าเดิม หลังจากที่เห็นการรักษาแบบใหม่นี้ เพราะไม่เคยเห็นการรักษาบาดแผล ด้วยการเย็บผิวหนังด้วยเข็มกับด้ายมาก่อน การเย็บแผลหลังจากฝังเข็มให้เกิดอาการชานี้ คือการนำแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาผสมผสานกับแพทย์แผนโบราณ ซึ่งในยุคนี้นั้นการเย็บบาดแผลที่ผิวหนังยังไม่ปรากฏ ขนาดซูหย่งจื้อผู้เป็นอาจารย์คนแรกก็ไม่เคยเอ่ยถึงเช่นกัน

หลังจากบาดแผลของจางหย่วนจินหายดี กลับปรากฏเด็กสาวคนหนึ่งที่กระท่อมพร้อมกับห่อผ้า นางคือลั่วอิงยี่คนรักของจางหย่วนจิน ซึ่งตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพราะโดนพ่อกับแม่บังคับให้แต่งงานเป็นฮูหยินรองของพ่อค้า  การที่จางหย่วนจินพาเด็กสาวมาซ่อนเอาไว้ที่หมู่บ้าน ทำให้ทั้งสามถูกไล่ล่าจากหัวหน้าตระกูลลั่ว

จางหย่วนจินนำหญิงสาวทั้งสองคนไปซ่อนตัวที่อารามอยู่สุข บนยอดเขาห่างออกมาจากหมู่บ้านหลายร้อยลี้ ซึ่งที่นั่นวันวิสาข์ได้เรียนรู้การใช้พู่กันและยังได้ศึกษาตำราต่างๆมากมาย นักพรตที่พำนักอยู่ที่นั่นเห็นหญิงสาวมีใจใฝ่รู้จึงอนุญาตให้เด็กสาวอ่านหนังสือต่างๆ ของอารามได้ ทั้งยังช่วยสอนการใช้พู่กันจีนด้วย

กระทั่งวันหนึ่งวันวิสาข์ได้มีโอกาสพบกับนักพรตคิ้วขาว สหายที่เดินทางมาเยี่ยมนักพรตที่อารามอยู่สุข เขามองเด็กสาวอยู่นาน ก่อนจะมอบกำไลหยกให้ทั้งยังบอกว่ามันจะนำไปสู่โชคชะตา หลังจากรับมา วันวิสาข์ก็หายวับไปกับแสงสีเขียวต่อหน้าต่อตาทุกคน รวมไปถึงจางหย่วนจินกับลั่วอิงยี่ด้วย วันนั้นเด็กสาวพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่หน้าบ้านของศิลาที่เชียงใหม่ ทั้งยังพบว่ากำไลสีเขียวนั้นถูกสวมที่ข้อมือเล็ก ไม่ว่าจะพยายามถอดเท่าไหร่ก็ถอดไม่ออก การเดินทางข้ามเวลาไปแคว้นจ้าวสองปีของเด็กสาว มันคือการหายจากบ้านไปสองวัน ซึ่งศิลาเพียงยิ้มให้ทั้งยังเอ่ยต้อนรับการกลับมาอย่างอย่างอ่อนโยน

ผ่านไปหนึ่งปีแล้วหลังจากการเดินทางไปพบจางหย่วนจิน ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จนวันวิสาข์กำลังจะจบมัธยมปลายปีแรกและกำลังจะเลื่อนชั้น ถึงตอนนั้นอดคิดไม่ได้ว่าการเดินทางของตัวเองคงหยุดลงไปแล้ว ในใจอดที่จะคิดถึงลูกศิษย์โง่งมของตนเองกับฮูหยินของเขาขึ้นมาไม่ได้ ไหนจะซูหย่งจื้อผู้เป็นอาจารย์อีก

เด็กสาวพบว่าตัวเองนั้นทำตัวให้ชินกับการอยู่กับโลกปัจจุบันที่โหดร้ายยากขึ้นทุกวัน ศิลาจึงแนะนำให้หางานอดิเรกทำจะได้ไม่หมกมุ่น และสิ่งที่วันวิสาข์เลือกก็ทำให้ศิลาหัวเราะลั่น เพราะมันคือการเรียนเทควันโด้ ไอคิโด้ และยูโด

ต่อมาไม่นานศิลาผู้เป็นน้าของวันวิสาข์ ประหลาดใจไม่น้อยที่วันวิสาข์อาสาไปช่วยงานที่คลินิกของตน แต่เมื่อได้ยินว่าหลานสาวเป็นหมอเช่นกันเขา จึงสอบถามเรื่องราวต่างๆ ด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังช่วยสอนสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมให้อย่างเต็มอกเต็มใจ

ระยะเวลาหนึ่งปีของการเรียนรู้แพทย์แผนปัจจุบันกับศิลา บวกกับหนึ่งปีที่เรียนแพทย์แผนโบราณกับซูหย่งจื้อ กับอีกสองปีที่ลองผิดลองถูกศึกษาจากตำราแพทย์กับจางหย่วนจิน ศิลาพบว่าหลานสาวตัวน้อยของเขาคือหมอที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ทว่าบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนรู้กันได้ในเวลาสั้นๆ อย่างเช่นการผ่าตัดใหญ่ซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตคน แต่หากว่าในอนาคตหลานสาวของตนได้เขาไปเรียนอย่างจริงจังแล้ว คิดว่าวันวิสาข์คงจะเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมได้อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นว่าเด็กสาวมีความตั้งใจจริง ทั้งยังมีพรสวรรค์ศิลาจึงอยากจะสนับสนุนดังนั้นเวลาที่เขาออกไปตั้งค่ายอาสาตรวจคนไข้ชาวเขาตามชนบทที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล ศิลาจึงมักจะพาเด็กสาวไปด้วยและให้ช่วยงานเสมอ จนกระทั่งวันวิสาข์เริ่มคุ้นเคยกับคนเจ็บป่วยหลายๆ ประเภท

ช่วงปิดเทอมหลังสอบเสร็จ ศิลาต้องไปออกค่ายแพทย์อาสากับหน่วยทหารตระเวนชายแดน ครั้งนี้จะต้องไปตั้งค่ายพักค้างแรมที่หมู่บ้านบนดอยกับหมอและพยาบาลท่านอื่นๆ กันหลายวัน ศิลาได้มอบชุดมีดผ่าตัดให้วันวิสาข์ชุดหนึ่งเพื่อการฝึกฝน ทว่าเขาเตือนว่าอย่าลองกับคนจริงๆ ห้ามโดยเด็ดขาด วันวิสาข์ดีใจมากกระโดดโลดเต้นไปทั่วบ้าน ทั้งยังหอบมันใส่เป้สนามมาด้วย ด้วยความดีใจเด็กสาวจึงช่วยแบกเป้สนามของทีมหมอที่มีอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าพันแผล สำลี แอลกอฮอล์ พลาสเตอร์ยาทั้งขนาดเล็กใหญ่ รวมไปถึงยาแก้ปวดและยาต่างๆ

ตอนที่กำลังเดินเท้าไปยังหมู่บ้านชาวเขานั่นเอง วันวิสาข์ก็รู้สึกวูบวาบแปลกๆ ที่ข้อมือ มันแผ่ออกมาจากกำไลที่สวมอยู่ กระทั่งต่อมาทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นสีเขียว ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกลงมาจากที่สูง เพียงชั่วพริบตาลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตนอยู่บนตัวของชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งแล้ว

ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองอยู่นาน วันวิสาข์ก็ได้พบกับฮูหยินพ่อค้าที่เดินมาขอบอกขอบใจแบบไม่มีวันสิ้นสุด อีกฝ่ายให้ลูกชายคุกเข่าโขกศีรษะเพื่อขอบคุณวันวิสาข์อีกรอบ เมื่อคิดๆ ดูเด็กสาวเห็นว่าคนพวกนี้ก็เป็นมีน้ำใจไม่น้อย พวกเขาช่วยคนแปลกหน้าขึ้นจากฝั่งแม่น้ำ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือเลว

“แม่นางสามีเจ้าเขาฟื้นแล้ว นายท่านให้ข้ามาตามเจ้า”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ลำนำจอมนาง   บทที่ 5

    “เจ้าเลือกเอง อย่าได้เสียใจทีหลังละกัน” จ้าวเหยียนเจี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ“จะให้พี่ถงซิ่วที่เป็นสตรีตัวคนเดียวนอนคอกม้าได้อย่างไร อีกอย่างถึงอย่างไรเราสองคนก็คนกันเอง ดังนั้นนอนห้องเดียวกันจะเป็นไรไป คิดดูอีกทีจะให้ข้านอนแปลกที่คนเดียวในห้อง ข้าจะนอนได้อย่างไรเล่าน่ากลัวออก”จ้าวเหยียนเจี๋ยเกือบจะเอ่ยถามไปแล้วว่าทั้งคู่เองก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ทำไมดูเหมือนเหยียนหว่านเอ๋อร์ไว้ใจเขานัก นางถึงกับยอมค้างแรมในห้องเดียวกัน“แม่นางข้าน้อยนำน้ำร้อน กับถังน้ำมาให้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อเอ่ยจากด้านนอกประตู จ้าวเหยียนเจี๋ยเป็นคนที่เดินออกมาเปิดประตู เมื่อดูแลให้เสี่ยวเอ้อนำข้าวของเข้ามาในห้องเสร็จ เขาก็ออกไปอยู่ด้านนอกให้เหยียนหว่านเอ๋อร์ได้อาบน้ำหลังอาบน้ำเสร็จทำให้หญิงสาวสบายตัวขึ้นมาก เป็นนานกว่าที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าจ้าวเหยียนเจี๋ยไม่กลับเข้ามาเสียทีจึงได้ออกไปตาม หญิงสาวเจอเขาที่คอกม้าและพบว่าเขากำลังเจรจาซื้อขายอยู่พอดีจึงได้เข้าไปดู “ท่านจะซื้อม้าหรือ”“ข้าจำเป็นจะต้องกลับเข้าไปในเมืองหลวงให้เร็วที่สุด และหากเรามีม้าคิดว่าจะเดินทางได้เร็วขึ้นแต่ว่ามันราคาค่อนข้างสูงทีเดียว”“ทำไมล่ะเงินในถุ

  • ลำนำจอมนาง   บทที่ 4

    ‘งามนัก เจ้าสวมชุดนี้แล้วสวยมากเลยแม่นางหว่านเอ๋อร์’ ฮูหยินพ่อค้าเอ่ยชมจนเหยียนหว่านเอ๋อร์รู้สึกขัดเขิน‘นั่นเพราะชุดที่ท่านให้มาแท้ๆ เลยขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ’‘อย่าได้เกรงใจไปเลย ท่านช่วยรักษาลูกชายของเราแค่นี้ยังน้อยไปวันหน้าหากเจ้าไปที่เมืองจงตูก็แวะไปหาข้าได้ตลอดเลย มาเถอะสายมากแล้วเจ้าและข้าต่างก็สมควรออกเดินทางได้แล้ว’เมื่อเดินเข้ามารวมกับคนอื่นๆ ทุกคนในขบวน ต่างก็มองมาที่เหยียนหว่านเอ๋อร์เป็นตาเดียวกัน พวกเขาเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกัน จ้าวเหยียนเจี๋ยเองก็มองนางด้วยความชื่นชมเขาคิดไว้มิผิดจริงๆ เหยียนหว่านเอ๋อร์เหมาะกับชุดของหญิงสาวแคว้นจ้าว อีกทั้งชุดสีขาวสลับเหลืองช่วยขับให้ผิวเนียนสดใสของนางให้แลดูอ่อนเยาว์ ผมยาวสลวยของนางที่เคยถูกพันไว้ลวกๆ ตอนนี้ครึ่งหนึ่งถูกปล่อยสยายลงมาเต็มบ่า ส่วนอีกครึ่งถูกถักเอาไว้แล้วม้วนเป็นวงยึดเอาไว้กึ่งกลางศีรษะด้วยปิ่นไม้เหยียนหว่านเอ๋อร์เดินยิ้มเข้ามาหาจ้าวเหยียนเจี๋ย ตอนนี้เขาเองก็เปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำตาลเข้มที่ได้รับมาจากพ่อค้าซึ่งมีรูปร่างใกล้เคียงกัน “ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”“สวยมากเลยแม่นาง” ทุกคนเอ่ยในที่สุดก็ถึงเวลาแยกจาก ฮูหยินพ่อค้ายังใจดี

  • ลำนำจอมนาง   บทที่ 3

    “ยินดีด้วยนะเจ้ารีบกลับไปดูเขาเถิด เขาคงอยากจะเห็นเจ้าเป็นคนแรก”“ขอบคุณท่านมาก” วันวิสาข์เดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่มีหัวหน้าพ่อค้านั่งคุยอยู่กับคนเจ็บที่ท่าทางดีขึ้นมาก“ฮูหยินเจ้ามาแล้ว ข้าไม่กวนพวกเจ้าแล้วนะ ข้าก็ต้องไปช่วยคนอื่นๆ เก็บของออกเดินทาง” หัวหน้าพ่อค้าเอ่ย ได้ยินดังนั้นจ้าวเหยียนเจี๋ยเพียงพยักหน้าน้อยๆ“แม่นางขอบคุณอีกครั้ง พวกเจ้าช่างเหมาะสมกันจริงๆ แม้แต่ชื่อยังคล้องกันเลย” ประโยคหลังนั้นวันวิสาข์ได้ยินไม่ค่อยถนัดจึงไม่ได้ใส่ใจ“เป็นเจ้านั่นเองที่พวกเขาเอ่ยถึง เจ้าทำได้อย่างไร”“ท่านหมายถึงอะไรหรือ”“ก็ตอนที่เจ้ามาพร้อมกับแสงนั่น แสงนั่นเปลี่ยนทิศทางลูกดอกออกไปจากตัวข้า แล้วไหนจะการแต่งกายของเจ้าที่ไม่ใช่ของแคว้นจ้าว และการพูดของเจ้า”“มันพูดยาก จะอธิบายอย่างไรดี ที่จริงข้าไม่ใช่คนของที่นี่ข้าชื่อวันวิสาข์ ส่วนเรื่องที่ข้ามาที่นี่ได้ยังไงนั้น ท่านก็เห็นวิธีมาแล้ว แต่มาได้ยังไงนั้นข้าเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน”“แล้วเจ้าเป็นคนแคว้นใดเล่า”“ไม่ใช่แคว้นแต่เป็นอีกที่ ที่ที่ไกลจากที่นี่มาก”“ตอนนั้นเจ้าเอ่ยว่า...อีกแล้ว”“ตอนแรกที่ข้ามายังแคว้นจ้าว เหตุการณ์ก็คล้ายๆ กับตอนเจ

  • ลำนำจอมนาง   บทที่ 2

    “ขอบคุณแม่นางขอบคุณท่านมาก”เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของหญิงสาว ทั้งหัวหน้าพ่อค้าและฮูหยิน รวมไปถึงผู้ร่วมทางของทั้งสอง ได้มอบสินน้ำใจเล็กน้อยที่หญิงสาวปฏิเสธไปแล้ว ทว่าทั้งหมดก็ยังยัดเยียดให้อยู่ดี กว่าจะกลับมายังกระโจมของคนเจ็บซึ่งกลายเป็นสามีจำเป็นของตน วันวิสาข์ก็แทบจะหอบข้าวของที่ได้รับมาไม่ไหวคิ้วเรียวขมวดแน่นในยามที่จมจ่อมอยู่กับภวังค์ เสียงถอนหายใจดังขึ้นในยามที่นั่งมองใบหน้าของบุรุษที่ยังคงนอนแน่นิ่ง “วันนี้ช่างเป็นวันที่หนักหนาสาหัสจริงๆ” วันวิสาข์บ่นพึมพำกับตัวเองเรื่องที่หญิงสาวหมายถึงนั้น แน่นอนว่าเรื่องแรกคือการกลับมายังแคว้นจ้าวแบบไม่ทันตั้งตัว เรื่องต่อมาก็คือการได้มาเจอบุรุษแปลกหน้าที่ถูกไล่ล่าจนตกลงมาจากสะพานจนชีวิตก็เกือบจะไม่รอด...หลายปีก่อนหน้านี้....“หลานรู้ไหมอะไรคือนักเดินทางข้ามเวลา” รินรดาผู้เป็นยายทวดของวันวิสาข์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นักเดินทางข้ามเวลาหรือคะ” วันวิสาข์ในวัยสิบสี่ปีเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้“ใช่จ้ะ นักเดินทางข้ามเวลา”“หมายถึงนักท่องเที่ยวเหรอคะคุณทวด” วันวิสาข์หัวเราะ“วันวิสาข์ตั้งใจฟังนะหนูเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเราที่สืบเชื้

  • ลำนำจอมนาง   บทที่ 1

    เสียงกุบกับของกีบม้าซึ่งควบมาด้วยความเร็วดังสนั่นไปทั้งผืนป่า เนื่องจากคนกลุ่มหนึ่งกำลังโดนโจมตีจากลุ่มนักฆ่าฝีมือดีที่ยังคงซุกซ่อนตัวอยู่ในแนวต้นไม้หนาทึบ ม้าพ่วงพีสีดำลักษณะดีนับได้มากกว่าสิบตัว ห้อมล้อมม้าสีน้ำตาลขนเป็นมันเอาไว้ตรงกลาง มองออกได้โดยทันทีว่าคนผู้นั้นคือเป้าหมายของมือสังหาร ชายหนุ่มถูกอารักขาอย่างแข็งขันจากองครักษ์ที่ฝีมือหาได้ด้วยไปกว่าเหล่ามือสังหาร กระนั้นจำนวนที่น้อยกว่าย่อมเสียเปรียบ พวกเขาจึงทำได้เพียงเร่งเดินทางให้ถึงจุดหมายป้อมเจิ้งจิน ที่พำนักของแม่ทัพใหญ่รักษาชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นหนานอยู่ห่างออกไปไม่ไกลและนั่นคือจุดหมายของกลุ่มคนเหล่านั้นสงครามสองแคว้นเพิ่งจะจบลงไปได้ไม่นาน ดังนั้นสถานการณ์จึงยังตึงเครียด เนื่องจากการทำสงครามระหว่างสองแคว้นที่ยืดเยื้อมานานจบลงด้วยการเจรจาของสงบศึก แคว้นหนานขอยอมแพ้โดยยินยอมที่จะส่งเครื่องบรรณาการมาให้แคว้นจ้าวทุกปี แม้ว่าสงครามจะจบลงทว่าองค์ชายสามแคว้นจ้าว จ้าวเหยียนเจี๋ย ผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน ยังคงรั้งรอเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย ซึ่งนี่คือสาเหตุหลักที่บุรุษผู้ตกเป็นเป้าสังหารต้องเดินทาง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status