LOGIN“ยินดีด้วยนะเจ้ารีบกลับไปดูเขาเถิด เขาคงอยากจะเห็นเจ้าเป็นคนแรก”
“ขอบคุณท่านมาก” วันวิสาข์เดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่มีหัวหน้าพ่อค้านั่งคุยอยู่กับคนเจ็บที่ท่าทางดีขึ้นมาก
“ฮูหยินเจ้ามาแล้ว ข้าไม่กวนพวกเจ้าแล้วนะ ข้าก็ต้องไปช่วยคนอื่นๆ เก็บของออกเดินทาง” หัวหน้าพ่อค้าเอ่ย ได้ยินดังนั้นจ้าวเหยียนเจี๋ยเพียงพยักหน้าน้อยๆ
“แม่นางขอบคุณอีกครั้ง พวกเจ้าช่างเหมาะสมกันจริงๆ แม้แต่ชื่อยังคล้องกันเลย” ประโยคหลังนั้นวันวิสาข์ได้ยินไม่ค่อยถนัดจึงไม่ได้ใส่ใจ
“เป็นเจ้านั่นเองที่พวกเขาเอ่ยถึง เจ้าทำได้อย่างไร”
“ท่านหมายถึงอะไรหรือ”
“ก็ตอนที่เจ้ามาพร้อมกับแสงนั่น แสงนั่นเปลี่ยนทิศทางลูกดอกออกไปจากตัวข้า แล้วไหนจะการแต่งกายของเจ้าที่ไม่ใช่ของแคว้นจ้าว และการพูดของเจ้า”
“มันพูดยาก จะอธิบายอย่างไรดี ที่จริงข้าไม่ใช่คนของที่นี่ข้าชื่อวันวิสาข์ ส่วนเรื่องที่ข้ามาที่นี่ได้ยังไงนั้น ท่านก็เห็นวิธีมาแล้ว แต่มาได้ยังไงนั้นข้าเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน”
“แล้วเจ้าเป็นคนแคว้นใดเล่า”
“ไม่ใช่แคว้นแต่เป็นอีกที่ ที่ที่ไกลจากที่นี่มาก”
“ตอนนั้นเจ้าเอ่ยว่า...อีกแล้ว”
“ตอนแรกที่ข้ามายังแคว้นจ้าว เหตุการณ์ก็คล้ายๆ กับตอนเจอท่าน”
“เจ้าหมายถึงเจ้าออกมาจากแสงสีเขียวนั่นหรือ”
“แค่คล้ายๆ น่ะ ข้าผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลายรอบ จนมีคนคิดว่าข้าเป็นผีเลยวิ่งหนีไป แต่หลังจากเกิดเรื่องแบบนั้นต่อกันสามครั้งเขาก็เริ่มชินกระมัง เลยหยุดคุกเข่าให้ข้าแล้วยังคิดว่าข้าเป็นเทพธิดา เราคุยกันแล้วเขาก็พาข้าไปด้วยก่อนจะเกิดเรื่อง หญิงคนรักเขาถูกบังคับให้แต่งงาน เราสามคนเลยขึ้นไปหลบอยู่ที่อารามอยู่สุขบนภูเขา หลังจากนั้นนักพรตคนหนึ่งก็มอบกำไลนี้ให้ข้า ตอนนั้นพอลืมตามาอีกทีข้าก็อยู่ที่บ้านแล้ว ข้าขอดูกำไลท่านหน่อยนะ” วันวิสาข์จับข้อมือของเขายกขึ้นมา
ดูเหมือนจ้าวเหยียนเจี๋ยจะคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าจับมือตนแบบสนิทสนมเช่นนี้ จึงอดที่จะรู้สึกแปลกๆไม่ได้
“เหมือนกันเลย” หญิงสาวยกกำไลของตัวเองขึ้นให้เขาดู
จ้าวเหยียนเจี๋ยเองก็มองกำไลของหญิงสาวด้วยใบหน้าบ่งบอกถึงความประหลาดใจไม่แพ้กัน “ไม่หรอก กลอนที่อยู่บนกำไลเป็นกลอนคนละบทกัน” เปลี่ยนเป็นเขาที่จับมือหญิงสาวขึ้นเพื่อพิจารณากำไลใกล้ๆ บ้าง “ของเจ้าคือ บางสิ่งที่เกิดมาคู่กันแม้นจะอยู่ห่างไกล ส่วนของข้าสลักว่า โชคชะตาจะนำทางให้พานพบ กลอนสองบทนี้ต่อกัน ” จ้าวเหยียนเจี๋ยมองหญิงสาวตรงหน้านิ่ง พร้อมกับนึกถึงคำพูดของมารดาที่บอกเขาเอาไว้ว่า “เจ้าต้องหาบรรทัดที่สองของโคลงกลอนให้พบ แล้วเจ้าจะพบโชคชะตาของเจ้า”
“หรือว่าโชคชะตาที่ว่าคือนาง” จ้าวเหยียนเจี๋ยพึมพำ
“ข้าว่าการมาของข้าคราวนี้ คงเพราะกำไลนี้แน่ๆ” วันวิสาข์หันมามองเขา “ว่าแต่ท่านรู้วิธีถอดหรือไม่ ข้าถอดมันไม่ได้มาเป็นปีแล้ว”
“มารดาข้าสวมให้และห้ามข้าถอด ตั้งแต่เด็กกระทั่งตอนนี้ข้าก็ไม่สามารถถอดกำไลนี้ เจ้าจะบอกว่าเจ้าเพิ่งใส่แล้วเจ้าจะใส่กำไลเล็กขนาดนี้ได้อย่างไร”
“ก็อย่างที่บอกรู้ตัวอีกทีมันก็สวมอยู่ที่ข้อมือแล้ว จริงสิ เคยได้ยินชื่อจางหย่วนจินหรือไม่ เขาเป็นหมอ เราเคยศึกษาตำราแพทย์ต่างๆ ด้วยกัน บ้านของเขาอยู่ในหมู่บ้านเซินเจี้ยน แถวชายแดนระหว่างแคว้นจ้าวกับแคว้นหนาน ฮูหยินเขาชื่อลั่วอิงยี่” เมื่อได้ยินว่าจุดที่ตนอยู่ใกล้กับชายแดนแคว้นเจ้าและแคว้นหนาน หญิงสาวจึงมีความหวังว่าจะเจอจางหย่วนจิน ผู้เป็นศิษย์อีกครั้ง
“หมู่บ้านเซินเจี้ยนถูกทำลายไปแล้ว สงครามทำให้ชาวบ้านที่นั่นต่างก็แยกย้ายกันออกไปตั้งแต่เริ่มเกิดสงครามแล้ว”
“สองปีเหรอ ก็ปีที่แล้วข้าเพิ่งจะอยู่ที่นั่นอยู่เลย......” หยุดคิดเล็กน้อยเพราะการเดินทางข้ามเวลานั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงเวลา ต่างภพกันอาจจะต่างเวลา อีกทั้งตอนที่ตนอยู่ที่แคว้นจ้าวนี้สองปี กลับพบว่าเวลาจริงเพียงผ่านไปสองวันเท่านั้น “ยังไงข้าก็ต้องตามหาจางหย่วนจินก่อน เขาเป็นคนเดียวที่ข้ารู้จักที่นี่”
“ข้าได้ยินมาว่าคนของหมู่บ้านนั้นส่วนใหญ่ย้ายเข้าไปในเมืองหลวง หากว่าเขาเป็นหมอดังเช่นเจ้าว่า ข้าอาจจะให้คนของข้าสืบหาตัวเขาให้เจ้าได้ไม่ยาก”
“นั่นสินะ ท่านเป็นทหารนี่นา อย่ามามองข้าแบบนั้นน่าพวกพ่อค้าคุยกัน เห็นบอกว่าดูจากมือท่านพวกเขาก็ดูออกว่าเป็นมือที่จับดาบน่าจะเป็นนายทหาร ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอก”
“ไม่ผิดหรอกข้าเป็นนายทหารจริงๆ” เพียงแต่เป็นนายเหนือหัวของนายทหารเท่านั้นเอง เขาเสริมในใจ
“หากเป็นเช่นนั้นท่านจะช่วยข้าหาตัวเขาจริงๆ หรือ”
“เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เพื่อเป็นการตอบแทนข้าสัญญาจะช่วยเจ้าจนถึงที่สุด”
“ขอบคุณท่านมาก”
“แม่นางหว่านเอ๋อร์” ฮูหยินหัวหน้าพ่อค้าเดินมาพร้อมกับมองตรงมาที่วันวิสาข์ หญิงสาวมองมายังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้างงงัน
“ข้าบอกพวกเขาว่านามของเจ้าคือหว่านเอ๋อร์ ข้าคิดชื่อนี้ออกตอนเห็นเจ้าเดินเข้ามาเมื่อครู่ ข้าบอกกับหัวหน้าพ่อค้าไปแบบนั้นเพราะคิดว่าเจ้าควรมีชื่อตามแบบของแคว้นจ้าว จะได้ไม่ดูเป็นคนต่างถิ่น หว่านเอ๋อร์แซ่เหยียน ต่อไปเจ้าก็ใช้ชื่อแซ่ว่าเหยียนหว่านเอ๋อร์ ส่วนนี่คือเสื้อผ้าชุดใหม่ฮูหยินของเขาฝากมาให้ เห็นบอกว่าฝากให้ฮูหยินของข้า”
“โทษข้าไม่ได้นะ กำไลของเราเหมือนกันพวกเขาก็เลยเข้าใจผิด” วันวิสาข์ยักไหล่
“เจ้าไปเปลี่ยนเป็นชุดแบบชาวแคว้นจ้าวเสียสิ”
“ข้าขอเวลาครู่เดียวนะเจ้าคะฮูหยิน” วันวิสาข์เอ่ยกับฮูหยินพ่อค้าแล้วหันหน้ากลับมามองชายหนุ่ม “เหยียนหว่านเอ๋อร์ ข้าชอบชื่อนี้” วันวิสาข์ยิ้มพอใจกับชื่อใหม่ที่เพิ่งได้
“แล้วเรื่องที่หัวหน้าพ่อค้าบอกว่าชื่อคล้องกันเมื่อครู่นั่น...แล้วชื่อของท่าน...”
“เหยียนเจี๋ย ข้าชื่อเหยียนเจี๋ย”
“เหยียนเจี๋ย เหยียนหว่านเอ๋อร์ ข้าชอบนะทั้งชื่อท่านและชื่อข้า ขอบคุณ” วันวิสาข์ยิ้มสว่างไสว โดยที่ไม่รู้เลยว่าแซ่เหยียนของตนเองนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเหยียนคือชื่อรองขององค์ชายทั้งสามพระองค์ของแคว้นจ้าว
“แม่นางเราคงจะต้องออกเดินทางแล้ว อิงสงคงจะออกตามหาเราเช่นกัน”
“อิงสง ท่านคงจะหมายถึงคนที่หน้าบึ้งๆ บนสะพานคนนั้นใช่หรือเปล่า”
“ใช่” จ้าวเหยียนเจี๋ยยิ้มอย่าขบขันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
รอยยิ้มเขาน่ามองชะมัด หญิงสาวคิดในใจ “ว่าแต่ท่านเป็นคนตั้งชื่อข้า อย่าเรียกแม่นางสิ ต่อไปเราสองคนคือเพื่อนกันแล้วนะ”
“เพื่อนหรือ”
“เอ่อ...หมายถึงสหายน่ะ สหายกันก็ต้องเรียกชื่อโอเคนะ”
“อะไรคือ โอเค”
“เอ่อ...ลืมตัวแฮะ...เอาเป็นว่าท่านเรียกชื่อข้าหว่านเอ๋อร์ ข้าก็จะเรียกท่านว่าเหยียนเจี๋ย ว่าแต่ว่าท่านรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือ ท่านเสียเลือดไปมาก”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”
“ขอล่ะ ตั้งแต่เช้าเจอแต่คนขอบอกขอบใจจนตัวข้าจะลอยขึ้นไปแล้ว”
“ได้ยินมาว่าเจ้าช่วยลูกชายคนเดียวของหัวหน้าพ่อค้าเอาไว้ด้วย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่านไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก แต่เปลี่ยนเป็นช่วยข้าตามหาหมอจางก็พอ ตกลงตามนี้” เหยียนหว่านเอ๋อร์เอ่ย และเดินเข้าไปหาฮูหยินหัวหน้าพ่อค้าที่ยังคงยืนรออยู่
จ้าวเหยียนเจี๋ยมองตามร่างอรชรที่เดินห่างออกไปด้วยอารมณ์หลากหลาย หลังจากที่ได้สนทนากับหัวหน้าพ่อค้า ที่เล่าเรื่องราวตอนที่เขาหมดสตินั้น เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ และคิดอย่างไรกับหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ที่มีที่มาไม่ธรรมดา
‘ฮูหยินท่านคงจะรักท่านมากนะ’
‘ฮูหยินของข้า’
‘ใช่ นางไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวคงจะมา ฮูหยินข้าชอบนางมากเลย ทั้งสวยทั้งฉลาด แถมเป็นหมออีกด้วย นี่ฮูหยินข้าถึงขนาดยกชุดนี้ให้ นางรักชุดนี้มากเลยนะนานๆ ครั้งถึงจะใส่ แต่ก็ยอมยกให้ฮูหยินของเจ้า’
‘นางบอกพวกท่านว่าข้าเป็นสามีของนางหรือ’
‘หรือว่าพวกเจ้าเพิ่งจะหนีตามกันมาเลยโดนทำร้ายใช่ไหม เฮ้อน่าเศร้าจริงๆ นี่เจ้าคงจะไปรักกับคุณหนูสูงศักดิ์ละสิ’
‘คือ...ว่า’
‘ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจพวกเจ้า ข้าดูแล้วเจ้าสองคนเป็นคนดีเหมาะสมกันด้วย อีกอย่างดูก็รู้ว่านางรักเจ้ามาก นางดูร้อนใจมาตอนเจ้านอนเจ็บ ข้าก็ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไรแต่นางถึงกับยอมแบ่งลมหายใจให้ท่านเลยนะ’
‘ท่านหมายความว่าอย่างไรที่นางยอมแบ่งลมหายใจให้ข้า’
‘ก็ข้าเจอท่านตอนนั้น ท่านไม่มีลมหายใจแล้ว แต่นางกลับเป่าลมหายใจของนางเข้าไปในปากท่าน ผ่านปากของนางเองเลย ตอนแรกข้านึกว่านางเป็นบ้าไปแล้ว เพราะความเสียใจแต่ที่ไหนได้ หลังจากนางทำแบบนั้น เจ้าก็กลับมามีลมหายใจอีกครั้งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ’
‘จริงหรือ’ เขาแตะริมฝีปากตังเองอย่างลืมตัว
‘ว่าแต่ฮูหยินเจ้าชื่ออะไรเล่าพ่อหนุ่ม ข้าลืมถามนางซะสนิทเลย’
‘ชื่อของนาง...’
‘ใช่ข้าจะได้จำเอาไว้เพราะเมื่อคืนนี้นางช่วยรักษาอาการป่วยของลูกข้าเอาไว้ด้วย’ ทันใดนั้นร่างแบบบางของหญิงสาวที่กำลังเดินใกล้เข้ามาก็ปรากฏขึ้น
‘หว่านเอ๋อร์... ชื่อของนางคือหว่านเอ๋อร์’ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา
‘หว่านเอ๋อร์ ชื่อเพราะสมตัวนาง เจ้าล่ะพ่อหนุ่ม’
‘เหยียนเจี๋ยคือชื่อของข้า’ เขาไม่ได้เอ่ยออกมาทั้งหมดว่าเขาคือองค์ชายจ้าวเหยียนเจี๋ย องค์ชายสามแคว้นจ้าวและแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน เพราะในระหว่างการเดินทางนี้ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เหยียนเจี๋ย นายทหารคนหนึ่งเท่านั้น
‘สองคนทั้งรูปงามนามก็เพราะช่างเหมาะสมกันจริงๆ’
“เจ้าเลือกเอง อย่าได้เสียใจทีหลังละกัน” จ้าวเหยียนเจี๋ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ“จะให้พี่ถงซิ่วที่เป็นสตรีตัวคนเดียวนอนคอกม้าได้อย่างไร อีกอย่างถึงอย่างไรเราสองคนก็คนกันเอง ดังนั้นนอนห้องเดียวกันจะเป็นไรไป คิดดูอีกทีจะให้ข้านอนแปลกที่คนเดียวในห้อง ข้าจะนอนได้อย่างไรเล่าน่ากลัวออก”จ้าวเหยียนเจี๋ยเกือบจะเอ่ยถามไปแล้วว่าทั้งคู่เองก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ทำไมดูเหมือนเหยียนหว่านเอ๋อร์ไว้ใจเขานัก นางถึงกับยอมค้างแรมในห้องเดียวกัน“แม่นางข้าน้อยนำน้ำร้อน กับถังน้ำมาให้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อเอ่ยจากด้านนอกประตู จ้าวเหยียนเจี๋ยเป็นคนที่เดินออกมาเปิดประตู เมื่อดูแลให้เสี่ยวเอ้อนำข้าวของเข้ามาในห้องเสร็จ เขาก็ออกไปอยู่ด้านนอกให้เหยียนหว่านเอ๋อร์ได้อาบน้ำหลังอาบน้ำเสร็จทำให้หญิงสาวสบายตัวขึ้นมาก เป็นนานกว่าที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าจ้าวเหยียนเจี๋ยไม่กลับเข้ามาเสียทีจึงได้ออกไปตาม หญิงสาวเจอเขาที่คอกม้าและพบว่าเขากำลังเจรจาซื้อขายอยู่พอดีจึงได้เข้าไปดู “ท่านจะซื้อม้าหรือ”“ข้าจำเป็นจะต้องกลับเข้าไปในเมืองหลวงให้เร็วที่สุด และหากเรามีม้าคิดว่าจะเดินทางได้เร็วขึ้นแต่ว่ามันราคาค่อนข้างสูงทีเดียว”“ทำไมล่ะเงินในถุ
‘งามนัก เจ้าสวมชุดนี้แล้วสวยมากเลยแม่นางหว่านเอ๋อร์’ ฮูหยินพ่อค้าเอ่ยชมจนเหยียนหว่านเอ๋อร์รู้สึกขัดเขิน‘นั่นเพราะชุดที่ท่านให้มาแท้ๆ เลยขอบคุณท่านมากนะเจ้าคะ’‘อย่าได้เกรงใจไปเลย ท่านช่วยรักษาลูกชายของเราแค่นี้ยังน้อยไปวันหน้าหากเจ้าไปที่เมืองจงตูก็แวะไปหาข้าได้ตลอดเลย มาเถอะสายมากแล้วเจ้าและข้าต่างก็สมควรออกเดินทางได้แล้ว’เมื่อเดินเข้ามารวมกับคนอื่นๆ ทุกคนในขบวน ต่างก็มองมาที่เหยียนหว่านเอ๋อร์เป็นตาเดียวกัน พวกเขาเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกัน จ้าวเหยียนเจี๋ยเองก็มองนางด้วยความชื่นชมเขาคิดไว้มิผิดจริงๆ เหยียนหว่านเอ๋อร์เหมาะกับชุดของหญิงสาวแคว้นจ้าว อีกทั้งชุดสีขาวสลับเหลืองช่วยขับให้ผิวเนียนสดใสของนางให้แลดูอ่อนเยาว์ ผมยาวสลวยของนางที่เคยถูกพันไว้ลวกๆ ตอนนี้ครึ่งหนึ่งถูกปล่อยสยายลงมาเต็มบ่า ส่วนอีกครึ่งถูกถักเอาไว้แล้วม้วนเป็นวงยึดเอาไว้กึ่งกลางศีรษะด้วยปิ่นไม้เหยียนหว่านเอ๋อร์เดินยิ้มเข้ามาหาจ้าวเหยียนเจี๋ย ตอนนี้เขาเองก็เปลี่ยนมาใส่ชุดสีน้ำตาลเข้มที่ได้รับมาจากพ่อค้าซึ่งมีรูปร่างใกล้เคียงกัน “ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”“สวยมากเลยแม่นาง” ทุกคนเอ่ยในที่สุดก็ถึงเวลาแยกจาก ฮูหยินพ่อค้ายังใจดี
“ยินดีด้วยนะเจ้ารีบกลับไปดูเขาเถิด เขาคงอยากจะเห็นเจ้าเป็นคนแรก”“ขอบคุณท่านมาก” วันวิสาข์เดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่มีหัวหน้าพ่อค้านั่งคุยอยู่กับคนเจ็บที่ท่าทางดีขึ้นมาก“ฮูหยินเจ้ามาแล้ว ข้าไม่กวนพวกเจ้าแล้วนะ ข้าก็ต้องไปช่วยคนอื่นๆ เก็บของออกเดินทาง” หัวหน้าพ่อค้าเอ่ย ได้ยินดังนั้นจ้าวเหยียนเจี๋ยเพียงพยักหน้าน้อยๆ“แม่นางขอบคุณอีกครั้ง พวกเจ้าช่างเหมาะสมกันจริงๆ แม้แต่ชื่อยังคล้องกันเลย” ประโยคหลังนั้นวันวิสาข์ได้ยินไม่ค่อยถนัดจึงไม่ได้ใส่ใจ“เป็นเจ้านั่นเองที่พวกเขาเอ่ยถึง เจ้าทำได้อย่างไร”“ท่านหมายถึงอะไรหรือ”“ก็ตอนที่เจ้ามาพร้อมกับแสงนั่น แสงนั่นเปลี่ยนทิศทางลูกดอกออกไปจากตัวข้า แล้วไหนจะการแต่งกายของเจ้าที่ไม่ใช่ของแคว้นจ้าว และการพูดของเจ้า”“มันพูดยาก จะอธิบายอย่างไรดี ที่จริงข้าไม่ใช่คนของที่นี่ข้าชื่อวันวิสาข์ ส่วนเรื่องที่ข้ามาที่นี่ได้ยังไงนั้น ท่านก็เห็นวิธีมาแล้ว แต่มาได้ยังไงนั้นข้าเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน”“แล้วเจ้าเป็นคนแคว้นใดเล่า”“ไม่ใช่แคว้นแต่เป็นอีกที่ ที่ที่ไกลจากที่นี่มาก”“ตอนนั้นเจ้าเอ่ยว่า...อีกแล้ว”“ตอนแรกที่ข้ามายังแคว้นจ้าว เหตุการณ์ก็คล้ายๆ กับตอนเจ
“ขอบคุณแม่นางขอบคุณท่านมาก”เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของหญิงสาว ทั้งหัวหน้าพ่อค้าและฮูหยิน รวมไปถึงผู้ร่วมทางของทั้งสอง ได้มอบสินน้ำใจเล็กน้อยที่หญิงสาวปฏิเสธไปแล้ว ทว่าทั้งหมดก็ยังยัดเยียดให้อยู่ดี กว่าจะกลับมายังกระโจมของคนเจ็บซึ่งกลายเป็นสามีจำเป็นของตน วันวิสาข์ก็แทบจะหอบข้าวของที่ได้รับมาไม่ไหวคิ้วเรียวขมวดแน่นในยามที่จมจ่อมอยู่กับภวังค์ เสียงถอนหายใจดังขึ้นในยามที่นั่งมองใบหน้าของบุรุษที่ยังคงนอนแน่นิ่ง “วันนี้ช่างเป็นวันที่หนักหนาสาหัสจริงๆ” วันวิสาข์บ่นพึมพำกับตัวเองเรื่องที่หญิงสาวหมายถึงนั้น แน่นอนว่าเรื่องแรกคือการกลับมายังแคว้นจ้าวแบบไม่ทันตั้งตัว เรื่องต่อมาก็คือการได้มาเจอบุรุษแปลกหน้าที่ถูกไล่ล่าจนตกลงมาจากสะพานจนชีวิตก็เกือบจะไม่รอด...หลายปีก่อนหน้านี้....“หลานรู้ไหมอะไรคือนักเดินทางข้ามเวลา” รินรดาผู้เป็นยายทวดของวันวิสาข์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นักเดินทางข้ามเวลาหรือคะ” วันวิสาข์ในวัยสิบสี่ปีเอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้“ใช่จ้ะ นักเดินทางข้ามเวลา”“หมายถึงนักท่องเที่ยวเหรอคะคุณทวด” วันวิสาข์หัวเราะ“วันวิสาข์ตั้งใจฟังนะหนูเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเราที่สืบเชื้
เสียงกุบกับของกีบม้าซึ่งควบมาด้วยความเร็วดังสนั่นไปทั้งผืนป่า เนื่องจากคนกลุ่มหนึ่งกำลังโดนโจมตีจากลุ่มนักฆ่าฝีมือดีที่ยังคงซุกซ่อนตัวอยู่ในแนวต้นไม้หนาทึบ ม้าพ่วงพีสีดำลักษณะดีนับได้มากกว่าสิบตัว ห้อมล้อมม้าสีน้ำตาลขนเป็นมันเอาไว้ตรงกลาง มองออกได้โดยทันทีว่าคนผู้นั้นคือเป้าหมายของมือสังหาร ชายหนุ่มถูกอารักขาอย่างแข็งขันจากองครักษ์ที่ฝีมือหาได้ด้วยไปกว่าเหล่ามือสังหาร กระนั้นจำนวนที่น้อยกว่าย่อมเสียเปรียบ พวกเขาจึงทำได้เพียงเร่งเดินทางให้ถึงจุดหมายป้อมเจิ้งจิน ที่พำนักของแม่ทัพใหญ่รักษาชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นหนานอยู่ห่างออกไปไม่ไกลและนั่นคือจุดหมายของกลุ่มคนเหล่านั้นสงครามสองแคว้นเพิ่งจะจบลงไปได้ไม่นาน ดังนั้นสถานการณ์จึงยังตึงเครียด เนื่องจากการทำสงครามระหว่างสองแคว้นที่ยืดเยื้อมานานจบลงด้วยการเจรจาของสงบศึก แคว้นหนานขอยอมแพ้โดยยินยอมที่จะส่งเครื่องบรรณาการมาให้แคว้นจ้าวทุกปี แม้ว่าสงครามจะจบลงทว่าองค์ชายสามแคว้นจ้าว จ้าวเหยียนเจี๋ย ผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน ยังคงรั้งรอเพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย ซึ่งนี่คือสาเหตุหลักที่บุรุษผู้ตกเป็นเป้าสังหารต้องเดินทาง







