“เฮือก!”
หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งพรวดลืมตาตื่นขึ้นในฉับพลัน ใบหน้างามพริ้มเพราซีดเผือดผุดเหงื่อกาฬเต็มหน้า เนื้อตัวสั่นสะท้านมือเรียวเสลารีบยกขึ้นกุมที่ใบหน้าและทรวงอกบริเวณที่โดนดาบแทงทะลุอย่างตกใจสุดขีด
นางตายไปแล้วหรือ...
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนูรอง” เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างกายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลินอวี้เหม่ยรีบหันขวับไปมองสาวใช้ประจำตัวของตนอย่างประหลาดใจ
“เสี่ยวจู!” หญิงสาวตกใจที่ตนเองยังเปล่งเสียงพูดได้ ลิ้นยังอยู่ในปากดีไม่ได้ถูกตัดขาด
“คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
“นี่เจ้ายังไม่ตายหรือเสี่ยวจู...”
“ตาย? คุณหนูรองท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกันเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามใบหน้าเหลอหลา ก็เห็นๆ อยู่ว่านางยืนหัวโด่อยู่นี่
“นี่ข้าฝันไปหรือ...”
มันเป็นเพียงฝันร้าย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกสมจริงเช่นนี้เล่า กระทั่งกลิ่นคาวเลือดในปากยังคงอบอวลไม่หาย
หลินอวี้เหม่ยหัวใจเต้นรัว นางมองไปรอบๆ ห้องนอนที่คุ้นตา ลมหายใจของนางยังไม่สม่ำเสมอ ขณะที่พยายามสงบสติอารมณ์ หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน
ฝันร้ายที่เพิ่งเผชิญนั้นช่างสมจริงจนนางรู้สึกเหมือนว่ามันเคยเกิดขึ้น ภาพในฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ช่วงเวลาที่นางถูกกล่าวหาว่าคบชู้ ช่วงเวลาที่นางถูกลงโทษอย่างโหดร้ายกระทั่งถูกสามีฆ่าตายอย่างทารุณในสุสานร้างนั่น มันชัดเจนเหมือนกับว่านางเพิ่งประสบกับมันมาหยกๆ นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความเศร้าสลดเหมือนในฝัน
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เสี่ยวจูถามอย่างห่วงใย
“เสี่ยวจู ขอคันฉ่องทองเหลืองให้ข้าที”
สาวใช้หน้าซื่อรีบไปหยิบของที่เจ้านายของตนต้องการให้ ครั้นพอหลินอวี้เหม่ยมองเข้าไปในฉันฉ่องทองเหลืองก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามราวกับบุปผาแรกแย้มของตนในวัยสิบหกหนาว พลันนึกถึงคำขอสุดท้ายของตนในความฝัน
หากข้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ขอเลือกเดินทางผิดและลงเอยกับชายโฉดผู้นี้อีก ข้าจะไม่ยอมถูกคนชั่วพวกนี้รังแกฝ่ายเดียวอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว...
นี่เป็นความฝัน หรือนางจะย้อนเวลากลับมาได้จริงๆ ?
แต่จะเป็นเพียงความฝัน หรือนางย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตได้จริง นางก็จะไม่ยอมให้ชีวิตต้องพบจุดจบที่แสนเลวร้ายเช่นนั้นอีกแล้ว
ในฝันร้ายนั่นนางแต่งงานกับหานเจี้ยนจวิ้น ชายคนรักในวัยสิบหกปี จากนั้นอีกเจ็ดปีต่อมาก็ถูกสามีกับน้องสาวร่วมกันสวมเขาและถูกฆ่าตายจมกองหิมะในที่สุด
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ ตอนนี้ใกล้ถึงฤกษ์แล้วรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวก่อนเถอะเจ้าค่ะ ป้าหลี่มาตามสองรอบแล้ว บอกว่าอีกเดี๋ยวเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมารับท่านที่หน้าประตูจวน”
“เกี้ยวเจ้าสาว!” หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วอึดใจ ก่อนกลั้นใจถามออกมา “เสี่ยวจู เจ้าบ่าวของข้าเป็นใครกัน...”
“อะไรกันเจ้าคะคุณหนู ท่านช่างขี้ลืมเสียจริง เจ้าบ่าวของท่านก็คือ...”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวจูจะได้ตอบ ประตูก็พลันเปิดเสียก่อน พร้อมกับร่างอวบอ้วนของป้าหลี่แม่บ้านใหญ่เดินหน้าหงิกเข้ามาเร่งเป็นหนที่สาม
“คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้วทำไมยังไม่รีบแต่งตัวอีกเจ้าคะ ใกล้ถึงฤกษ์แล้ว เกี้ยวเจ้าสาวก็ออกมาแล้ว นายท่านให้ข้ามาเร่งอีกแล้ว”
หลินอวี้เหม่ยหันไปมองดูชุดแต่งงานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี วางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มันเป็นชุดที่ถูกเย็บด้วยผ้าไหมสีแดงสวยงามมาก ด้ายทองถูกปักเป็นลวดลายของนกยวนยางคู่รัก
‘นี่คือชุดที่ข้าต้องสวมเพื่อแต่งงานกับชายที่ข้ารัก… หรืออย่างน้อยข้าก็เคยคิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่หลักประหารเสียมากกว่า’
หลินอวี้เหม่ยรู้สึกสับสน หากทุกอย่างเป็นเหมือนในฝันร้ายนั่นล่ะ หากนั่นไม่ใช่ฝันแต่เป็นการย้อนเวลามาอีกครั้งเล่า การแต่งงานครั้งนี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่จะนำพานางไปสู่ชะตากรรมอันเลวร้าย
นางต้องหยุดยั้งมันก่อนที่จะเกิดขึ้นให้ได้
“คุณหนูเป็นอันใดไปเจ้าคะ ทำไมถึงหน้าซีดเช่นนั้น”
“หน้าซีดหรือ...”
หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองดูเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ใบหน้างดงามของนางยามนี้ซีดเซียวจนเกือบม่วง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่เคยสดใสมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความไม่มั่นคง นางลูบที่แก้มของตนเอง รู้สึกถึงความเย็นของผิวและเหงื่อที่เริ่มไหลซึมออกมาบนหน้าผาก
ข้าต้องหนีจากพิธีแต่งงานนี้ให้ได้!
ในขณะที่นางกำลังพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์ที่น่ากลัวนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ เป็นสาวใช้ที่เข้ามาเตรียมตัวให้กับนางสำหรับพิธีแต่งงาน หลินอวี้เหม่ยหายใจเข้าลึกและพยายามสงบสติอารมณ์
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะช่วยคุณหนูแต่งตัวนะเจ้าคะ”
“ไม่! เอ่อ…ไม่ต้อง ข้าแต่งเองได้” หลินอวี้เหม่ยรีบบอกอย่างตื่นตระหนก ตอนนี้สมองนางกำลังตึงเครียดอย่างหนักเมื่อคิดว่าต้องแต่งงานกับบุรุษสารเลวอย่างหานเจี้ยนจวิ้นนั่นอีกครั้ง จนสุดท้ายต้องมาลงเอยที่ตนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
ไม่! นางไม่อยากตายอนาถเช่นนั้นอีกแล้ว แต่จะทำอย่างไรจึงจะหลบหนีชะตากรรมครั้งนี้ไปได้เล่า ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดไม่ตกนั่นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงหวานดังขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน
“พี่หญิงรอง!”
หลินอวี้เหม่ยสะดุ้งเฮือก เมื่อจำเสียงนกแสกแพศยานั้นได้แม่น พอมองไปที่หน้าประตูก็ต้องผงะ เมื่อเห็นน้องสาวต่างมารดา หลินซูหนิงในวัยสิบห้าหนาวกำลังยืนส่งยิ้มให้นางอย่างสดใสไร้พิษภัย ผิดกับหญิงใจร้ายที่เห็นในความฝัน คนที่กระซิบเย้ยหยันให้นางอย่างใจดำอำมหิต
‘สามีเจ้าข้าจะรับไว้เองแล้วกัน ส่วนเจ้านั้นก็จงไปลงนรกเสียเถิดนังพี่สาวหน้าโง่!’
เพียงคิดใบหน้าของหลินอวี้เหม่ยก็ถอดสี ใครเล่าจะคิดว่าน้องสาวที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาไม่นานของนางจะกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแย่งสามีและทุกอย่างจากพี่สาวในภายหลัง บอกไปใครจะเชื่อ
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะคุยกับพี่หญิงรองของข้าสักครู่”
“แต่คุณหนูสามเจ้าคะ อีกไม่นานเกี้ยวเจ้าสาวก็จะมาถึงจวนแล้ว ไม่อาจยืดยาดได้” เสี่ยวจูทักท้วง
“แค่ครู่เดียวเท่านั้นเอง” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ใครเห็นเป็นต้องเอ็นดูของสาวน้อยตรงหน้าใช้ได้ผลเสมอในยามที่ต้องการอ้อนหวังผลสิ่งใดก็ตาม เมื่อคล้อยหลังทุกคน หลินซูหนิงก็รีบยัดอะไรบางอย่างใส่มือของพี่สาว
“นี่คือ...”
“จดหมายของคุณชายหาน”
“คุณชายหาน!” หลินอวี้เหม่ยอุทานอย่างงุนงง ก็นางกำลังจะแต่งงานกับเขาอยู่นี่แล้ว ทำไมคนผู้นั้นต้องส่งจดหมายลับมาให้อีกล่ะ ไวเท่าใจคิดหญิงสาวรีบเปิดอ่านจดหมายนั่นอ่านทันที
//////////
ภายในเวลาไม่นาน กบฏทั้งหมดก็ถูกปราบจนสิ้นซากหานเจี้ยนจวิ้นถูกทหารเข้ามาจับกุมตัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส อัครเสนาบดีและขุนนางผู้สมรู้ร่วมคิดต่างถูกล้อมจับจนหมดสิ้น ไม่มีทางหนีรอดจากมือแม่ทัพใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว Top of FormBottom of Formท่ามกลางความเงียบสงบในท้องพระโรง บรรยากาศกลับตึงเครียด ใต้เท้าจางในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการกบฏ รวมถึงหานเจี้ยนจวิ้นและบรรดาขุนนางผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินส่วนหลินซูหนิงก็ถูกคุมตัวออกมาจากคุกเพื่อรับโทษประหารโทษฐานสมรู้ร่วมคิด นางถูกตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาของโจรกบฏแซ่หานต้องตายตกไปตามกัน ในวันประหาร มีการแห่งนักโทษรอบเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นจุดจบของคนทรยศต่อแผ่นดินหานเจี้ยนจวิ้นที่ถูกขังกรงในสภาพไร้แขน เนื้อตัวสะบักสะบอมด้วยบาดแผลจากการทรมานจนแทบสิ้นสภาพ ถูกชาวบ้านขว้างปาก้อนหินและเศษผักเน่าใส่ไปตลอดทาง ด้านหลังมีกรงที่ใส่ร่างของอนุภรรยาของเขาตามมาในสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย หลินซูหนิงนอนงอตัวร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได
หลินอวี้เหม่ยมองสามีราวกับเห็นเทพเซียนลงมาปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจที่เต้นระทึกมีความตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นโจรกบฏอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา“โจรกบฏแซ่เซียว!”“ใครกันแน่ที่เป็นโจรกบฏชิงบัลลังก์” เซียวหลงเฉิงก้าวเข้ามายืนเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้เพื่อปกป้องพระองค์จากคนชั่วที่หมายปองร้ายเอาชีวิต และจ้องมองหานเจี้ยนจวิ้นด้วยสายตาดุดันแกมดูแคลนหานเจี้ยนจวิ้นยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างของเซียวหลงเฉิงเข้าใกล้เขาทีละก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองเสียรู้และตกเป็นเหยื่อของแผนการซ้อนแผนนี้“เจ้า...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”เซียวหลงเฉิงแสยะยิ้มเย็นชาและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ“น่าเสียดายที่แผนของเจ้ามันตื้นเขินเกินไปเลยทำอะไรพวกข้าไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงรู้มาตั้งแต่แรกว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแผ่นดินหาใช่ข้าไม่ ราชโองการที่มอบให้เจ้านั้นก็เป็นเพียงกับดักให้พวกเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง”ในเวลานั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสก้องอย่างเยือกเย็น
“นี่เจ้า!”ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตนางกำนัลตรงหน้าอย่างประหลาดพระทัย ก่อนที่จะลดสายพระเนตรมองสิ่งของในพระหัตถ์ ม้วนกระดาษเล็กๆ แต่เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้น นางกำนัลลึกลับผู้นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเสียแล้วฮ่องเต้ทรงเปิดม้วนกระดาษนั้นออกอ่านจนจบ ดวงเนตรที่เคยหม่นหมองพลันสว่างไสวขึ้นอย่างมีความหวัง พระองค์แย้มพระโอษฐ์บางๆทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักของทหารแคว้นเหลียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หานเจี้ยนจวิ้นและอัครเสนาบดีจางเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อมาถึงกึ่งกลางของห้อง เขาทั้งสองมองตรงไปยังราชบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มสะใจ ดวงตาเต็มไปด้วยละโมบทะเยอทะยานในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง“จงไปคุมตัวฝ่าบาทมาที่นี่” อัครเสนาบดีจางหันไปสั่งหานเจี้ยนจวิ้นเสียงเหี้ยมเพียงไม่นานนักฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ถูกทหารกบฏกุมตัวเข้ามาในท้องพระโรง หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปบนพระราชบัลลังก์ก็กลับพบภาพอันน่าตกตะลึง“บังอาจ!”เสียงหัวเราะกังวานก้องของบุคคลที่พระองค์ไม่คาดคิดว่าจะทรยศต่
หลังจากที่มีข่าวว่าแม่ทัพเซียวหลงเฉิงกลายเป็นกบฏไปเข้าร่วมกับศัตรูต่างแคว้น ก็มีข่าวใหม่ว่าตอนนี้แคว้นเหลียงกำลังยกทัพบุกเข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหวังชิงบัลลังก์โดยมีเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำทัพ ข่าวนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้าน หลายคนเคยเป็นโรคระบาดและได้ยาสมุนไพรของจวนแม่ทัพช่วยชีวิตไว้ ทำให้ซาบซึ้งบุญคุณของแม่ทัพใหญ่ จึงไม่อยากจะเชื่อข่าวคราวนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อจึงเกิดคลื่นลมแรงไปทั้งเมืองหลวงลามไปถึงในวังที่พากันอกสั่นขวัญแขวนกันไปถ้วนหน้าฮ่องเต้เรียกขุนนางทุกคนเข้าประชุมหารือเรื่องการรับมือทัพข้าศึกที่มีแม่ทัพยอดฝีมืออย่างเซียวหลงเฉิงนำทัพมา ขุนนางต่างเห็นพ้องกันราวกับนัดหมายว่าให้พระองค์แต่งตั้งรองแม่ทัพสกุลหานให้เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อรับมือกับข้าศึกคราวนี้ โดยมีเบื้องหลังที่ผลักดันอย่างอัครเสนาบดีจางเป็นหัวเรือใหญ่คอยสนับสนุน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้โดยง่ายพระองค์นิ่งเงียบพลางไตร่ตรองอย่างหนัก ขุนนางต่างเฝ้ารอคอยคำตอบด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่แววตาของอัครเสนาบดีจางฉายแววมั่นใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างสนับสนุนอย่างเต็มที่ให
“หลินซูหนิง!”คนถูกเรียกเงยหน้ามองไปที่สามีของตนอย่างเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สมองจะทำงาน“หะ...หานเจี้ยนจวิ้น” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นหานเจี้ยนจวิ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็รีบคลานเข้าไปหาแต่ติดที่ขาทั้งสองถูกล่ามเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำตามใจได้“ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”“เป็นนังอวี้เหม่ยเจ้าค่ะ นางสั่งให้จับข้ามาขังไว้ที่นี่ ฮือๆ ข้าไม่ผิด ข้าถูกนางพี่สาวสารเลวนั่นใส่ความ ข้าไม่ได้มีอะไรกับเจ้าบ่าวรับใช้หน้าโง่นั่น ฮือๆ ไม่มี ไม่ใช่ข้าๆ”หลินซูหนิงฟูมฟายอย่างคนสติแตก จนเผลอหลุดปากออกไป ทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นสามีถึงกับนิ่งงันไป รวมถึงทหารที่อยู่ด้านหลังได้แต่มองกันไปมาเลิ่กลั่กไม่รู้ว่านางกำลังพล่ามอะไรจนกระทั่ง“ท่านพี่ ท่านเป็นสามีของข้า ช่วยข้าด้วย ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ ถ้าท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง จะให้ข้าไปเป็นนางบำเรอของตาเสนาบดีเฒ่านั่น หรือใครก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น ฮือๆ”หานเจี้ยนจวิ้นยืนมองนางอย่างเย็นชา แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจมากกว่าจะเห็นใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพร่ำพูดออกมาอ
“ฮูหยิน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงเอะอะของเสี่ยวจูที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาหน้าตาตื่น ทำให้หลินอวี้เหม่ยรีบเงยหน้าจากบันทึกที่กำลังอ่านอย่างตกใจ“มีอันใดกันหรือเสี่ยวจู”“ทะ...ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” คำนั้นทำให้คนฟังใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม“ทำไมหรือ ท่านแม่ทัพเป็นอะไร”“มีข่าวว่าท่านแม่ทัพเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”“รีบพูดมาเร็ว”“เมื่อกี้ข้าได้ยินข่าวมาว่าตอนนี้ทัพหน้าของเราเพลี่ยงพล้ำให้กับข้าศึก แม่ทัพเซียวถูกข้าศึกจับตัวไป มีข่าวลือว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพยอมจำนนและเข้าร่วมกับทัพข้าศึกแคว้นเหลียงกลายเป็นกบฏแล้วเจ้าค่ะ”“ว่าไงนะ!”หลินอวี้เหม่ยตัวชา พยายามคุมสติให้มั่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจ้องมองไพ่ตายที่ซ่อนความลับสำคัญไว้ สัญญาณที่สามีทิ้งไว้ให้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาบอกให้นางหาทางส่งมันเข้าวังเพื่อให้ถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้เท่านั้นแต่มันจะง่ายปานนั้นหรือ ในเมื่อตอนนี้มีข่าวว่าสามีของนางเข้าร่วมกับศัตรูกลายเป็นกบฏ ฮ่องเต้หรือจะทรงอนุญาตให้ฮูหยินของกบฏอย่างนางเข้าพบได้ง่ายๆ หลินอวี้เหม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่มีเวลาให้คิดแล้วเสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นใกล้ประตูใหญ่ พร้อมเสียงเคร