หลินอวี้เหม่ยมองดูเรือนนอกของจวนแม่ทัพเซียวอย่างหนักใจ หลังจากที่ถูกทิ้งไว้โดยที่ยังไม่ได้ทำพิธีแต่งงานอย่างสมบูรณ์ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวยังคงอยู่บนศีรษะของนาง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในอนาคตที่กำลังรอคอยอยู่
นอกเรือนว่าเก่าแล้ว ภายในเรือนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พื้นไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน ห้องถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเก่าคร่ำคร่าเพียงไม่กี่ชิ้น โต๊ะไม้เล็กตรงกลางห้องมีร่องรอยของการใช้งานมาอย่างยาวนาน เบาะรองนั่งบนเก้าอี้บางตัวมีรอยขาด เหมือนถูกใช้งานจนหมดสภาพ ฟูกนอนในห้องนอนเล็กๆ ข้างในนั้นบางจนแทบไม่รู้สึกถึงความนุ่ม ห้องดูอับชื้นและมีแสงเพียงเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
กลิ่นของไม้เก่าผสมกับกลิ่นอับจากการไม่ได้ใช้งานมานานชวนให้บรรยากาศของเรือนนี้ดูไม่น่าอยู่ และทำให้หลินอวี้เหม่ยรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม หากนี่เหมือนกับในฝัน
ถ้างั้นนางก็ชักจะเข้าใจหลินซูหนิงขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมน้องสาวตัวร้ายนั่นถึงแค้นจนต้องวางแผนใส่ร้ายเจ้าแม่ทัพเฮงซวยนี่ว่าก่อกบฏแล้วหนีไปเป็นอนุของหานเจี้ยนจวิ้นสามีชั่วของนางแทน ก็ดูเขาทำสิ มันน่าไหมล่ะ
นี่นางหนีเสือปะจระเข้หรือไม่นะ
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราควรทำเช่นไรต่อไปดี”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเถอะ พวกเราก็ช่วยกันปัดกวาดให้พอนอนได้พ้นคืนนี้ไปก่อนก็แล้วกันนะ” หลินอวี้เหม่ยเอ่ยอย่างปลงๆ อย่างน้อยอยู่เรือนเก่าๆ ก็ยังดีกว่าต้องโดนฆ่าตายอนาถกลางหิมะในสุสานร้างล่ะน่า
ข้าเคยคิดว่า…เมื่อข้าได้แต่งงานกับแม่ทัพ ข้าจะได้เริ่มชีวิตใหม่ แต่วันนี้ข้ากลับต้องอยู่ลำพัง รอคอยความเมตตาจากคนที่ไร้หัวใจผู้นั้นเนี่ยนะ ไร้เหตุผลสิ้นดี
หลังจากที่ช่วยกันทำความสะอาดห้อง สองนายบ่าวก็แทบหมดแรง หลินอวี้เหม่ยมองออกไปยังหน้าต่างที่ตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทของยามค่ำ
“หรือบางทีนี่อาจเป็นสัญญาณจากสวรรค์ ว่าชะตากรรมของข้าอาจไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าข้าจะพยายามเท่าไร”
“คุณหนู อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ คุณหนูของบ่าวเป็นคนดี ข้าเชื่อว่าสวรรค์ย่อมเมตตาท่าน ท่านเพียงต้องรอท่านแม่ทัพกลับมา…” เสี่ยวจูพยายามปลอบโยน แม้ตัวนางเองก็รู้สึกหมดหวังไม่ต่างกัน
“กลับมางั้นหรือ เมื่อใดล่ะ ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้” หญิงสาวพูดออกมาด้วยความโมโห
“คุณหนู! ทำไมพูดเป็นลางเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ เพ้ยๆ ไม่เอาเจ้าค่ะ ไม่พูดแล้ว”
ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไป ประตูเรือนนอกก็เปิดออกอย่างกะทันหัน บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ
“ท่านแม่ทัพให้ข้านำอาหารมาให้พวกท่านขอรับ” เขาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” หลินอวี้เหม่ยรีบเรียกไว้ “อาหารนี่มาจากที่ใดกัน จวนแม่ทัพ หรือว่าทำที่ครัวของเรือนนี่”
บ่าวผู้นั้นก็เหมือนนายทหารที่มาส่งนาง หน้าตาแข็งทื่อเหมือนไร้ความรู้สึก หากบอกว่าเป็นผีดิบ นางก็คงเชื่อ
“ส่งมาจากด้านนอกขอรับ”
“ที่นี่มีครัวหรือไม่ แล้วปกติพวกเจ้าทำอาหารกินกันอย่างไร”
“ทุกเจ็ดวันจะมีคนเอาอาหารมาส่งให้ขอรับ”
นั่นอย่างไร นางถูกหลอกต้มมาปล่อยเกาะเสียแล้ว
“แต่ด้านหลังเรือนมีแปลงผักขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดก็ให้แจ้งพวกข้าได้ อีกไม่นานท่านแม่ทัพก็คงกลับมารับพวกท่านกลับไปที่จวน”
“กลับมา?” หลินอวี้เหม่ยพึมพำกับตัวเอง “เขาจะกลับมาหรือ?”
นางไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาจริงๆ หรือไม่ หรือคำพูดนั้นเป็นเพียงแค่การหลอกลวงให้นางอยู่ในเรือนแห่งนี้ต่อไป โดยไม่มีโอกาสหนีไปไหน
“ท่านมีอะไรจะสั่งข้าน้อยอีกหรือไม่ขอรับ?” บ่าวรับใช้ถามอย่างสุภาพ
หลินอวี้เหม่ยมองหน้าเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ล่ะ เจ้าออกไปเถอะ”
เมื่อบ่าวรับใช้ออกไปจากเรือน ความเงียบงันก็กลับมาอีกครั้ง เสี่ยวจูมองไปที่ถาดอาหารที่ถูกนำมา อาหารหน้าตาธรรมดาไม่ได้น่ากินเลยสักนิด เทียบกับที่เรือนสกุลหลินแล้วยังห่างชั้นอีกมากนักแม้ว่าที่นั่นก็ไม่ได้มีของกินอะไรดีเด่ก็ตาม
ภายในเวลาไม่นาน กบฏทั้งหมดก็ถูกปราบจนสิ้นซากหานเจี้ยนจวิ้นถูกทหารเข้ามาจับกุมตัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส อัครเสนาบดีและขุนนางผู้สมรู้ร่วมคิดต่างถูกล้อมจับจนหมดสิ้น ไม่มีทางหนีรอดจากมือแม่ทัพใหญ่ได้แม้แต่คนเดียว Top of FormBottom of Formท่ามกลางความเงียบสงบในท้องพระโรง บรรยากาศกลับตึงเครียด ใต้เท้าจางในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการกบฏ รวมถึงหานเจี้ยนจวิ้นและบรรดาขุนนางผู้ร่วมก่อการครั้งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏต่อแผ่นดินส่วนหลินซูหนิงก็ถูกคุมตัวออกมาจากคุกเพื่อรับโทษประหารโทษฐานสมรู้ร่วมคิด นางถูกตราหน้าว่าเป็นอนุภรรยาของโจรกบฏแซ่หานต้องตายตกไปตามกัน ในวันประหาร มีการแห่งนักโทษรอบเมืองให้ชาวบ้านได้เห็นจุดจบของคนทรยศต่อแผ่นดินหานเจี้ยนจวิ้นที่ถูกขังกรงในสภาพไร้แขน เนื้อตัวสะบักสะบอมด้วยบาดแผลจากการทรมานจนแทบสิ้นสภาพ ถูกชาวบ้านขว้างปาก้อนหินและเศษผักเน่าใส่ไปตลอดทาง ด้านหลังมีกรงที่ใส่ร่างของอนุภรรยาของเขาตามมาในสภาพที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย หลินซูหนิงนอนงอตัวร้องครางด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได
หลินอวี้เหม่ยมองสามีราวกับเห็นเทพเซียนลงมาปรากฏตัวตรงหน้า หัวใจที่เต้นระทึกมีความตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นโจรกบฏอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา“โจรกบฏแซ่เซียว!”“ใครกันแน่ที่เป็นโจรกบฏชิงบัลลังก์” เซียวหลงเฉิงก้าวเข้ามายืนเอาตัวบังฮ่องเต้ไว้เพื่อปกป้องพระองค์จากคนชั่วที่หมายปองร้ายเอาชีวิต และจ้องมองหานเจี้ยนจวิ้นด้วยสายตาดุดันแกมดูแคลนหานเจี้ยนจวิ้นยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างของเซียวหลงเฉิงเข้าใกล้เขาทีละก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อรู้ว่าตนเองเสียรู้และตกเป็นเหยื่อของแผนการซ้อนแผนนี้“เจ้า...เจ้าควรตายไปแล้วมิใช่หรือ”เซียวหลงเฉิงแสยะยิ้มเย็นชาและเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ“น่าเสียดายที่แผนของเจ้ามันตื้นเขินเกินไปเลยทำอะไรพวกข้าไม่ได้ และฮ่องเต้ก็ทรงรู้มาตั้งแต่แรกว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นกบฏคิดคดทรยศต่อแผ่นดินหาใช่ข้าไม่ ราชโองการที่มอบให้เจ้านั้นก็เป็นเพียงกับดักให้พวกเจ้าเปิดเผยตัวตนออกมาเท่านั้นเอง”ในเวลานั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสก้องอย่างเยือกเย็น
“นี่เจ้า!”ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตนางกำนัลตรงหน้าอย่างประหลาดพระทัย ก่อนที่จะลดสายพระเนตรมองสิ่งของในพระหัตถ์ ม้วนกระดาษเล็กๆ แต่เมื่อพระองค์เงยหน้าขึ้น นางกำนัลลึกลับผู้นั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปเสียแล้วฮ่องเต้ทรงเปิดม้วนกระดาษนั้นออกอ่านจนจบ ดวงเนตรที่เคยหม่นหมองพลันสว่างไสวขึ้นอย่างมีความหวัง พระองค์แย้มพระโอษฐ์บางๆทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักของทหารแคว้นเหลียงเริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หานเจี้ยนจวิ้นและอัครเสนาบดีจางเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทีเย้ยหยัน เมื่อมาถึงกึ่งกลางของห้อง เขาทั้งสองมองตรงไปยังราชบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มสะใจ ดวงตาเต็มไปด้วยละโมบทะเยอทะยานในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง“จงไปคุมตัวฝ่าบาทมาที่นี่” อัครเสนาบดีจางหันไปสั่งหานเจี้ยนจวิ้นเสียงเหี้ยมเพียงไม่นานนักฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ถูกทหารกบฏกุมตัวเข้ามาในท้องพระโรง หากทว่าเมื่อมองขึ้นไปบนพระราชบัลลังก์ก็กลับพบภาพอันน่าตกตะลึง“บังอาจ!”เสียงหัวเราะกังวานก้องของบุคคลที่พระองค์ไม่คาดคิดว่าจะทรยศต่
หลังจากที่มีข่าวว่าแม่ทัพเซียวหลงเฉิงกลายเป็นกบฏไปเข้าร่วมกับศัตรูต่างแคว้น ก็มีข่าวใหม่ว่าตอนนี้แคว้นเหลียงกำลังยกทัพบุกเข้ามาที่เมืองหลวงเพื่อหวังชิงบัลลังก์โดยมีเซียวหลงเฉิงเป็นผู้นำทัพ ข่าวนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้าน หลายคนเคยเป็นโรคระบาดและได้ยาสมุนไพรของจวนแม่ทัพช่วยชีวิตไว้ ทำให้ซาบซึ้งบุญคุณของแม่ทัพใหญ่ จึงไม่อยากจะเชื่อข่าวคราวนั้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อจึงเกิดคลื่นลมแรงไปทั้งเมืองหลวงลามไปถึงในวังที่พากันอกสั่นขวัญแขวนกันไปถ้วนหน้าฮ่องเต้เรียกขุนนางทุกคนเข้าประชุมหารือเรื่องการรับมือทัพข้าศึกที่มีแม่ทัพยอดฝีมืออย่างเซียวหลงเฉิงนำทัพมา ขุนนางต่างเห็นพ้องกันราวกับนัดหมายว่าให้พระองค์แต่งตั้งรองแม่ทัพสกุลหานให้เป็นแม่ทัพใหญ่เพื่อรับมือกับข้าศึกคราวนี้ โดยมีเบื้องหลังที่ผลักดันอย่างอัครเสนาบดีจางเป็นหัวเรือใหญ่คอยสนับสนุน ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้โดยง่ายพระองค์นิ่งเงียบพลางไตร่ตรองอย่างหนัก ขุนนางต่างเฝ้ารอคอยคำตอบด้วยความกระตือรือร้น ขณะที่แววตาของอัครเสนาบดีจางฉายแววมั่นใจ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างสนับสนุนอย่างเต็มที่ให
“หลินซูหนิง!”คนถูกเรียกเงยหน้ามองไปที่สามีของตนอย่างเลื่อนลอยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่สมองจะทำงาน“หะ...หานเจี้ยนจวิ้น” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าเป็นหานเจี้ยนจวิ้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางก็รีบคลานเข้าไปหาแต่ติดที่ขาทั้งสองถูกล่ามเอาไว้ทำให้ไม่อาจทำตามใจได้“ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”“เป็นนังอวี้เหม่ยเจ้าค่ะ นางสั่งให้จับข้ามาขังไว้ที่นี่ ฮือๆ ข้าไม่ผิด ข้าถูกนางพี่สาวสารเลวนั่นใส่ความ ข้าไม่ได้มีอะไรกับเจ้าบ่าวรับใช้หน้าโง่นั่น ฮือๆ ไม่มี ไม่ใช่ข้าๆ”หลินซูหนิงฟูมฟายอย่างคนสติแตก จนเผลอหลุดปากออกไป ทำให้คนได้ชื่อว่าเป็นสามีถึงกับนิ่งงันไป รวมถึงทหารที่อยู่ด้านหลังได้แต่มองกันไปมาเลิ่กลั่กไม่รู้ว่านางกำลังพล่ามอะไรจนกระทั่ง“ท่านพี่ ท่านเป็นสามีของข้า ช่วยข้าด้วย ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ ถ้าท่านปล่อยข้าไป ข้ายินดีทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง จะให้ข้าไปเป็นนางบำเรอของตาเสนาบดีเฒ่านั่น หรือใครก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น ฮือๆ”หานเจี้ยนจวิ้นยืนมองนางอย่างเย็นชา แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจมากกว่าจะเห็นใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพร่ำพูดออกมาอ
“ฮูหยิน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงเอะอะของเสี่ยวจูที่เปิดประตูพรวดพราดเข้ามาหน้าตาตื่น ทำให้หลินอวี้เหม่ยรีบเงยหน้าจากบันทึกที่กำลังอ่านอย่างตกใจ“มีอันใดกันหรือเสี่ยวจู”“ทะ...ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” คำนั้นทำให้คนฟังใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม“ทำไมหรือ ท่านแม่ทัพเป็นอะไร”“มีข่าวว่าท่านแม่ทัพเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”“รีบพูดมาเร็ว”“เมื่อกี้ข้าได้ยินข่าวมาว่าตอนนี้ทัพหน้าของเราเพลี่ยงพล้ำให้กับข้าศึก แม่ทัพเซียวถูกข้าศึกจับตัวไป มีข่าวลือว่าตอนนี้ท่านแม่ทัพยอมจำนนและเข้าร่วมกับทัพข้าศึกแคว้นเหลียงกลายเป็นกบฏแล้วเจ้าค่ะ”“ว่าไงนะ!”หลินอวี้เหม่ยตัวชา พยายามคุมสติให้มั่นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจ้องมองไพ่ตายที่ซ่อนความลับสำคัญไว้ สัญญาณที่สามีทิ้งไว้ให้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาบอกให้นางหาทางส่งมันเข้าวังเพื่อให้ถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้เท่านั้นแต่มันจะง่ายปานนั้นหรือ ในเมื่อตอนนี้มีข่าวว่าสามีของนางเข้าร่วมกับศัตรูกลายเป็นกบฏ ฮ่องเต้หรือจะทรงอนุญาตให้ฮูหยินของกบฏอย่างนางเข้าพบได้ง่ายๆ หลินอวี้เหม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่มีเวลาให้คิดแล้วเสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นใกล้ประตูใหญ่ พร้อมเสียงเคร