เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข
ตำหนักชิงอวิ๋นยามพลบค่ำ เงาไม้สะท้อนผนังดั่งภาพวาดหมึกจีน กลีบดอกชิงเถิงร่วงโรยเบา ๆ ตามสายลม ภายนอกหิมะโปรยปรายบางเบา โคมไฟหน้าตำหนักเพิ่งจุดใหม่ ๆ แสงอ่อนสีนวลทาบทั่วลาน ไป๋ลี่เยว่นั่งจิบชาเงียบ ๆ ในโถงห้องบรรทม ท่าทางสงบนิ่งแม้ใจยังครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ เหตุใดฮองเฮาจึงให้มาค้างตำหนักนี้เพียงลำพัง…แล้วคืนนี้ยังจะส่งองค์ชายสามมาห้องของนางอีก ใจนางตอนนี้กำลังเต้นโครมคราม ลุ้นว่าเมื่อใดเขาจะเข้ามา แล้วนางต้องกล่าวเช่นไรกับเขา เพื่อไม่ให้เขาคิดว่านางยินดีที่จะให้เขามาร่วมเตียงด้วย นางเหลือบมองถ้วยชาร้อนที่นางกำนัลของฮองเฮานำมาถวาย ชานี้มีกลิ่นหอมแปลกประหลาด “ชาหอมประหลาด…รสชาติละมุนนัก” นางพึมพำกับตนเอง ในขณะที่ลมเย็นโชยผ่านหน้าต่าง กระทบผิวกายจนนางรู้สึกเย็บวาบสลับกับอุ่นร้อนขึ้น…ความรุ่มร้อนได้ปลุกเร้าจากภายใน ร่างกายอันเย็นชากลับรู้สึกแผดเผาต้องการปลดปล่อย ไป๋ลี่เยว่รู้สึกหน้าร้อนวาบ แก้มแดงระเรื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ นางมองถ้วยชาที่เพิ่งจิบหมดอย่างครุ่นคิด เสียงประตูกระทบเบา ๆ เสียงฝีเท้าแน่นหนัก ตามด้วยเงาร่างสูงที่เดินข้ามเขิงประตู …เข้ามา อย่างอ้อยอิ่งราวคนกำลัง