เกิดอีกกี่ชาติถึงจะได้เป็นเมียองค์รัชทายาท ในเมื่อชาตินี้มีโอกาส คนที่ทะลุมิติมาเป็นนกหงส์หยกในตอนกลางวัน กลางคืนเป็นสาวผู้เลอโฉม ธิดาดอยหรือเหมยจึงไม่พลาดโอกาสทอง จับองค์รัชทายาทเป็นผัว เอ๊ย! ไม่ใช่ เป็นเมียองค์รัชทายาทถึงจะถูก
View More1
“เหมย...เหมยตื่นหรือยังลูกเดี๋ยวไปมหาลัยสายนะลูก” จันทร์กระจ่างเคาะประตูเรียกบุตรสาวที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ลุกจากเตียงนอนหรือยัง “ตื่นเถอะลูก สิบโมงแล้วนะ”
คนถูกปลุกงัวเงียลุกขึ้นนั่ง หาววอดยาว ยกแขนขึ้นสูงบิดขี้เกียจ แต่ก็ไม่คิดลุกขึ้นจากเตียง แถมหลับนกอีกต่างหาก น้ำลายไหลหน่อยๆ
ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆ
แต่พอเสียงเคาะประตู ไม่ใช่ๆ มันคือเสียงทุบประตูดังรัวไม่หยุด คนนอนขี้เซาสะดุ้งสุดตัว หน้าตื่นตกใจ มือเรียวสวยเช็ดน้ำลายก่อนกระโดดลงจากเตียง
“ไฟไหม้โว้ย ไฟไหม้” เสียงนั้นดังอยู่หน้าประตูห้อง ธิดาดอยรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วเปิดมันทันที
“ไฟไหม้เหรอ ไหม้ถึงไหนแล้วเฮีย” ธิดาดอยถามพยัคฆ์หรือหลุยส์พี่ชายคนโตที่ยืนเท้าเอวหน้าห้อง ส่วนมารดายืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ
“ไฟไหม้เหรอ ไฟไหม้ที่ไหน” พยัคฆ์ไขสือ
“อ้าว ก็เฮียตะโกนลั่นบ้านว่าไฟไหม้”
“เหรอ...อ้อ จำได้แล้ว เฮียซ้อมเสียง วันนี้ต้องไปร่วมเล่นในรายการนักร้องซ่อนแอบ เลยวอร์มเสียง” พี่ชายสุดกวนตอบกลับ ยักคิ้วให้ ธิดาดอยเพิ่งรู้ว่า พี่ชายแกล้งเธอ
“ที่หลังเฮียปลุกเหมยดีๆ ก็ได้ ปลุกดีๆ เหมยก็ตื่นแล้ว”
“นี่แม่คุณ ม้าเรียกจนปากจะถึงรูหูแล้ว แต่ธิดาดอยก็ไม่ตื่นจากบรรทม นอนอุตุนิยมวิทยาจนตะวันจะตรงหัวแล้ว ตกลงธิดาดอยเกิดมาเพื่อนอนใช่ไหม”
“เลิกเรียกธิดาดอยซะทีได้ไหม มีชื่อเล่นก็เรียกชื่อเล่นสิ เรียกอยู่ได้ธิดาดอย” คนพูดทำหน้างอนใส่
“อ้าว ก็ชื่อธิดาดอยนี่ จะให้เรียกอะไร ธิดาขี้เซารึไง” พี่ชายกวนกลับ
“ม้านะม้า ชื่อมีออกตั้งเยอะตั้งแยะที่ดีกว่านี้ทำไมไม่ตั้ง มาตั้งชื่อธิดาดอย ไม่เข้ากับเฮียเลย เฮียชื่อพยัคฆ์ เจ้ชื่อณัฐระพี แต่ทำไมเหมยถึงได้ชื่อธิดาดอยล่ะ” คนไม่ชอบชื่อจริงของตัวเองหน้างอ
“อย่าเรื่องมาก ชื่อไหนก็เหมือนกันแหละ อีกอย่างชื่อธิดาดอยก็เพราะดีออก ไม่เหมือนใครด้วย” พี่ชายปลอบใจ “ไปอาบน้ำได้แล้ว ป๊ากับม้ารอกินข้าว บาปกรรมแค่ไหนเนี่ยต้องให้พ่อแม่คอยกินข้าว”
ธิดาดอยแลบลิ้นใส่พี่ชาย ก่อนหมุนตัวเข้าไปในห้อง อาบน้ำอาบท่า แต่งชุดนักศึกษาลงมาจากชั้นบน เพื่อทานมื้อเช้าในตอนเกือบสิบเอ็ดโมงพร้อมครอบครัว
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหาร ธิดาดอยหน้ายุ่งเมื่อเห็นเฉิน บิดาเชื้อสายจีนกำลังนั่งหยอกล้ออยู่กับนกหงส์หยกที่บิดาเลี้ยงไว้ แถมยังเอากรงนกมาวางบนโต๊ะ ราวกับว่าให้มันร่วมทานอาหารด้วย
“ว่าไงจ้ะณัชชาของป๊า หิวไหมเอ่ย มามะป๊าจะให้อาหารนะ” เฉินเปิดกรงนก นำอาหารนกไปวางอยู่ในช่องเล็กๆ ที่ใส่อาหารให้นกตัวโปรด ธิดาดอยมองนกหงส์หยกด้วยความอิจฉาที่ชื่อก็เพราะกว่า แถมบิดายังเอาใจอย่างกับลูก
“ป๊า เหมยถามจริงเถอะ ตอนตั้งชื่อเหมย ป๊าเมาหรือเปล่าถึงได้ตั้งชื่อเหมยว่าธิดาดอย แต่ดันตั้งไอ้นกตัวนี้ว่า ณัชชา ชื่อนี้น่าจะเป็นชื่อจริงของเหมยมากกว่านะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ธิดาดอยวีนเรื่องชื่อจริงที่แปลกไม่เหมือนใคร เธอโวยตั้งแต่เพื่อนล้อซึ่งก็ผ่านมาหลายปี อยากเปลี่ยนชื่อก็เปลี่ยนไม่ได้
“ป๊าไม่ได้เมา ป๊ามีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรป๊า”
“ก็ตอนนั้นป๊ากับม้าไปเที่ยวภูกระดึง และที่นั่นทำให้เหมยเกิดมา เหมยเป็นลูกสาวความหมายคือธิดา ภูกระดึงเป็นภูเอามารวมกับธิดาก็เป็นธิดาภู แต่ชื่อธิดาภูมันฟังดูแปลกๆ ป๊าก็เลยตั้งชื่อว่า ธิดาดอยแทน เห็นไหมว่ามีเหตุผล เพราะจะตายไป”
“ใช่ เฮียก็ว่าเพราะออก ไม่ซ้ำใครด้วย” พยัคฆ์พูดขึ้นบ้าง อมยิ้มจนแก้มป่อง
“เฮียก็พูดได้สิ ชื่อจริงเฮียออกจะเพราะ” ธิดาดอยหน้าเง้า “ชื่อไอ้นกบ้ายังเพราะกว่าเหมยเลย”
“เออเว้ย อิจฉาแม้กระทั่งนก” พยัคฆ์พูดติดตลก “มันก็แค่นกที่มีชื่อเพราะกว่า แล้วป๊าก็รักมากกว่า แถมตัวก็สวยกว่า แค่นี้ต้องอิจฉาด้วยเหรอ”
“อิจฉามันตายล่ะ จะจับมันย่างกินสักวัน” ธิดาดอยหันไปพูดใส่กรงนกหงส์หยก และทุกคนที่ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับธิดาดอยก็ต้องหัวเราะออกมา เมื่อนกหงส์หยกแสนฉลาดพูดประโยคหนึ่ง
“ขี้อิจฉา ขี้อิจฉา”
“ไอ้นกบ้าว่าฉันเหรอ เดี๋ยวแม่จับแล่เนื้อซะดีไหม”
คนพูดให้ไปแยกเขี้ยวใส่นกหงส์หยกในกรงที่นับวันจะยิ่งไม่ชอบหน้า ถ้าวันไหนทนไม่ไหวจะจับมันไปปล่อยไกลๆ เฉินรีบย้ายนกตัวโปรดไปไว้บนเก้าอี้ข้างตัวทันที ราวกับกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะทำเช่นนั้นจริงๆ ระหว่างที่ทานอาหาร ธิดาดอยมองนกน้อยของบิดาเป็นระยะ นึกอิจฉาที่ชื่อมันเพราะกว่า อยากจะสลับชื่อกันเสียจริง
นกหงส์หยกชื่อเพราะถูกเฉินเลี้ยงดูเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา วันนั้นนกตัวนี้บินมาหลบฝนอยู่บนเครื่องซักผ้าหลังบ้าน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เฉินวิ่งไปเก็บผ้าที่ตากไว้ เมื่อเห็นนกตัวน้อยเปียกปอนไปด้วยฝน และชื่นชอบนกเป็นการส่วนตัว เฉินจึงเลี้ยงดูนกหงส์หยกตัวนี้เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
และนับตั้งแต่วันแรกที่ธิดาดอยรู้ว่า เฉินตั้งชื่อให้นกเร่ร่อนตัวนี้ว่าณัชชา เธอก็ไม่ชอบมันทันที เวลาไม่มีใครอยู่บ้านหรือทีเผลอ เธอก็มักจะมาแกล้งมันเป็นประจำ ใช้ไม้เขี่ยตามตัวมันบ้าง แกล้งดึงขนมันบาง บางครั้งก็ตบหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ถ้านกณัชชาพูดได้ มีความรู้สึก มันก็คงอยากเอาคืนคนชอบแกล้งบ้าง
62 กลางดึกในคืนไร้จันทร์ เสี้ยวหลานนั่งมองซองยาพิษกับขวดและชามเปล่านิ่ง นางมองอยู่สามชั่วยาม เป็นช่วงเวลานับตั้งแต่องค์รัชทายาทเดินออกไปจากห้องนี้ นั่งมองไปคิดไป ตรึกตรองไปว่า ตนเองจะตัดสินใจเช่นไร จะตายแบบเงียบๆ หรือตายแบบพลุไฟ ไม่ว่าจะเลือกแบบใด นางก็ไม่พ้นความตาย ความตายที่มาจากความโลภ ความอิจฉาริษยา อยากได้ใคร่มีทั้งที่ตำแหน่งที่เสี้ยวหลานนั่งอยู่ถือว่าสูงมาก อีกไม่ถึงเดือนนางก็จะได้เป็นฮองเฮา เป็นตำแหน่งที่มีทั้งอำนาจและบารมี มีคนยกย่องเชิดชูให้ความเคารพ นางนึกย้อนถึงวันนั้น วันที่มารดาของนางมาหาที่ตำหนัก พร้อมกับพูดโน้มน้าวเรื่องผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ หากช่วยเหลืออำมาตย์ซ้าย และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของความโลภ เสี้ยวหลานรู้สึกว่า วันนั้นเป็นวันที่ตนตัดสินใจผิดพลาด มาถึงตอนนี้ก็สายเกินไป มือเรียวสวยสั่นระริกหยิบซองยาขึ้นมา ใช้อีกมือหนึ่งหยิบขวดใส่น้ำผึ้งก่อนเทน้ำผึ้งลงไปในชามเปล่า จากนั้นก็หยิบห่อยาออกมาจากในซอง เทมันลงไปในชามที่มีน้ำผึ้ง ทุกการกระทำของเสี้ยวหลานคือความเจ็บปวด เสียใจ ช้อนเล็กที่วางอยู่ข้างชามถูกหยิบขึ้น
61 จึงมาหาองค์รัชทายาทเพื่อขอความเห็นใจ ละเว้นโทษตายให้เสี้ยวหลาน ทั้งที่รู้ว่าอาจไม่สำเร็จ เพราะรู้กันดีว่า องค์รัชทายาทไม่เคยปล่อยให้คนผิดลอยนวล ไม่ว่าคนผิดจะหน้าไหนก็ตาม“หม่อมฉันอยากให้องค์รัชทายาทละเว้นโทษตายให้เสี้ยวหลานเพคะ” “กระหม่อมขอเหตุผลที่ต้องทำตามพระประสงค์ของพระสนมพ่ะย่ะค่ะ” พระสนมอี้ชิงชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ความผิดที่เสี้ยวหลานทำใหญ่หลวงนัก โทษฉ้อโกงก็ถือว่ามากแล้ว เรื่องปลงพระชนม์ทายาทขององค์รัชทายาทเป็นโทษที่ไม่น่าให้อภัย “หากมีใครสักคนคิดเอาชีวิตลูกของพระสนม พระสนมจะนิ่งนอนใจ ไม่มอบโทษให้ผู้นั้น ปล่อยให้ลอยนวลใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คำพูดประโยคนี้ ทำให้พระสนมอี้ชิงนิ่งเงียบ “กระหม่อมทราบดีว่า เสี้ยวหลานเป็นหลานของพระสนม แต่ความผิดของเสี้ยวหลานมากมายนัก หากไม่มีเรื่องฆ่าลูกของกระหม่อม กระหม่อมยังพอให้อภัยได้ แต่นี่คิดฆ่าลูกของกระหม่อม กระหม่อมคงละเว้นโทษตายให้ไม่ได้” องค์รัชทายาทตรัสความรู้สึกของตนให้อีกฝ่ายรับรู้ “เสี้ยวหลานจะเป็นฮองเฮานั่งเคียงข้างกระหม่อมบนบัลลังก์ ยิ่งไม่สมควรทำเรื่องเช่นนี้ มันเป็นเรื่องร้ายแรงมากพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันรู้ว่ามันร้ายแรง” ดูเหมือนพระส
60 คราวนี้เสี้ยวหลานไม่อาจปิดกั้นความตกใจไว้บนใบหน้า นางไม่คิดว่า องค์รัชทายาทจะรู้เรื่องนี้ เรื่องแรกว่าร้ายแรงแล้ว เรื่องที่สองร้ายแรงและมีโทษหนักกว่า นางรีบปรับสีหน้าและสภาวะทางอารมณ์ให้เป็นปกติ ทว่าคงช้าเกินไป เขาเห็นความตกใจของเสี้ยวหลานทั้งทางสีหน้าและแววตา “หม่อมฉันไม่รู้ว่า เสด็จพี่ไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร แต่ขอบอกเสด็จพี่ไว้ตรงนี้เลยว่า หม่อมฉันไม่เคยคิดทำตามที่เสด็จพี่ตรัส หม่อมฉันไม่เคยคิดทรยศเสด็จพี่เพคะ” เสี้ยวหลานแก้ตัว “คนที่ให้ข่าวเสด็จพี่คงต้องการให้เสด็จพี่กับหม่อมฉันผิดใจกัน และลงโทษหม่อมฉันในความผิดที่ไม่ได้กระทำ ขอให้เสด็จพี่ทบทวนเรื่องที่รับรู้มาด้วยเพคะ” “เจ้าก็รู้ว่า ข้าไม่ใส่ร้ายใครถ้าไม่มีหลักฐาน โดยเฉพาะคนผิดเป็นเจ้า ข้ายิ่งต้องเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น” องค์รัชทายาทตรัสเสียงเรียบ ใบหน้าไม่มีความโกรธ “อย่างที่บอกเจ้าไป ก่อนที่ข้าจะมาหาเจ้า ข้ามีหลักฐานและพยาน หลักฐานคือสมุดหลายเล่มตรงหน้าเจ้า ส่วนพยานข้าจะพาเข้ามาในห้องนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้เห็นหน้าพยานของข้าด้วยตัวเอง” หมิงหยางเต๋อพยักหน้าให้หลิวกงกงที่รู้หน้าที่ รีบเดินอ
59“ขันทีจิวมาบอกนายหญิงมู่ฮัวกับหลิงหลีว่า องค์รัชทายาทให้ทั้งสองคนไปเอาของสำคัญให้พระชายาเพคะ แต่หม่อมฉันไม่รู้ว่าไปเอาของที่ไหนเพคะ” นางกำนัลรับใช้ตอบ“งั้นรึ” พระชายาใหญ่เสี้ยวหลานทำเสียงรับรู้ แต่ก็ยังมีความสงสัย “แล้วทำไมมู่ฮัวไม่มาบอกข้าก่อน ปกติสองคนนี้ไปไหนมาไหนจะบอกข้าเสมอ”“นายหญิงมู่ฮัวก็อยากมาบอกพระชายาเพคะ แต่ขันทีจิวบอกไม่ต้องเพคะ ให้รีบไปเอาของเพราะองค์รัชทายาทรออยู่เพคะ นายหญิงกับหลิวหลีจึงรีบไปเพคะ” นางกำนัลรับใช้มีคำตอบให้ทุกคำถาม“งั้นเจ้าออกไปได้ แล้วไม่ต้องให้ใครเข้ามาจนกว่าข้าจะเรียก” เสี้ยวหลานสั่ง “อ้อ...ถ้ามู่ฮัวกับหลิวหลีกลับมา ให้เข้ามาหาข้าเลยนะ”“เพคะพระชายา”คนรับคำสั่งเดินถอยหลังสามก้าว ก่อนหมุนตัวเดินออกไปจากห้องบรรทมพระชายาเสี้ยวหลานติดใจเรื่องที่องค์รัชทายาทให้ขันทีจิวมาตามให้นางกำนัลคนสนิททั้งสองไปเอาของ มันผิดแปลกไปจากที่ผ่านมา ปกติหากองค์รัชทายาทมีของกำนัลมาให้ตน หรือประทานอาหารพิเศษหรืออะไรก็แล้วแต่ คนที่นำมาให้คือหลิวกงกง หรือไม่ก็เป็นขันทีคนใดคนหนึ่ง มีไม่กี่ครั้งที่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาที่นี่ มอบของให้ด้วยตัวเอง ไม่มีสักครั้งที่เรียกมู่ฮัวกับ
58 “ท่านพ่อ เราจะทำยังไงกันดี” หลี่ลี่จิงถามบิดาที่มีสีหน้าคิดหนัก “ถ้าเราไม่คิดทำอะไร มีหวังถูกตัดหัวแน่” หลี่หมิงเถากลัวตายขึ้นมาทันใด “ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังคิดอยู่” อำมาตย์ซ้ายดุลูกชาย สมองก็คิดหาทางออก แต่ดูเหมือนว่าสมองเขาจะตันขึ้นมาทันใด “พระชายาใหญ่ก็กำลังแย่ เราจะหาใครช่วยดี” เฒ่าเจ้าเล่ห์คิดหนัก หาทางออกไม่ได้ พวกพ้องของตนต่างถูกจับกุมอยู่ในห้องขังข้างๆ จะให้ช่วยเหลือตนก็ไม่ได้ ความหวังเดียวอย่างพระชายาใหญ่เสี้ยวหลานก็กำลังแย่ ในหัวของเขาคิดหาตัวช่วยอื่นไม่ได้เลย “ถ้ามีการไต่สวน พวกเราต้องยืนกรานว่าไม่ได้ทำ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น” คงมีทางเดียวที่พอทำได้ตอนนี้ “เราไม่เคยทำอะไรมีหลักฐาน ข้าเชื่อว่าไม่มีใครเอาผิดเราได้” “แต่ข้าว่ามันแปลกนะท่านพ่อ” หลี่ลี่จิงเอ่ย “แปลกยังไง” คนเป็นพ่อถามกลับ “มันแปลกตรงที่ว่า เราไม่เคยทิ้งหลักฐานไว้มัดตัว แล้วทำไมเราถึงถูกจับมาไว้ที่นี่ การที่องค์รัชทายาทสั่งจับพวกเรา นั่นหมายความว่า ต้องมีหลักฐานแน่นหนาที่จะทำให้เราจนมุม ข้าอยากรู้จริงๆ ว่า องค์รัชทายาทเอาหลัก
57องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงพระตำหนักในยามไห (ไฮ่) ใบหน้าเขาเคร่งเครียด คล้ายคนกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ หากเขาไม่ทุกข์และไม่เครียดนั่นคือเรื่องแปลก มีเรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจ เป็นการตัดสินใจที่ต้องคิดให้รอบคอบ ถี่ถ้วน เนื่องจากการตัดสินใจของเขาอาจส่งผลกระทบหลายอย่างตามมา ก่อนที่องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับตำหนัก เขาได้ไปสถานที่หนึ่ง สถานที่ที่จะให้คำปรึกษาในเรื่องที่ตนกลัดกลุ้มและพยายามหาทางออกให้ดีที่สุด ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้เขาเบาใจและหนักใจในเวลาเดียวกัน สถานที่ที่เขาไปคือ ตำหนักนอกวังที่ฮ่องเต้กับพระสนมอี้ชิงพักอยู่ “เรื่องมันเป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ ลูกเลยมาขอคำชี้แนะจากเสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ให้ฮ่องเต้รับรู้ อีกฝ่ายหลับตาพรางใช้ความคิด “เรื่องขุนนางฉ้อฉลมีทุกสมัย มันเริ่มต้นตั้งแต่ราชวงศ์ไหนไม่มีใครรู้ เจ้าปราบยังไงก็ไม่หมด มันจะผุดขึ้นมาอีก การแก่งแย่งชิงดีของเชื้อพระวงศ์ก็เช่นกัน ไม่มีวันหมดไป อำนาจ บารมีเป็นสิ่งหอมหวานที่ทุกคนอยากหยิบยื่นมาดอมดม ข้าเคยผ่านช่วงเวลาลำบากใจเหมือนเจ
Comments