หน้าหลัก / โรแมนติก / วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม / ตอนที่ 1 ตัวฉัน...ในร่างใหม่ 

แชร์

ตอนที่ 1 ตัวฉัน...ในร่างใหม่ 

ผู้เขียน: MoonDust
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-16 20:29:34

"เฮือก!" 

ฉันลืมตาขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แสงไฟจ้าบนเพดานทำให้ต้องหรี่ตา กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโชยเข้าจมูก ฉันพยายามสำรวจรอบตัว พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงในห้องสีขาว ที่แขนมีสายน้ำเกลือ  

เกิดอะไรขึ้น? ที่นี่ที่ไหน? ฉันพยายามรวบรวมความคิด ความทรงจำสุดท้ายของฉันคือการปะทะกับกลุ่มค้าอาวุธเถื่อน ก่อนที่จะถูกยิงที่หน้าอก แถมยังฝันประหลาดอย่างเหลือเชื่อว่าฉันได้ไปเยือนปรโลกและเกือบต่อยกับยมทูต ฉันคลำที่หน้าอกตัวเองและพบว่ามันปกติดี ไม่เจ็บปวด

นี่ฉันหลับไปนานขนาดไหนจนแผลหายเนี่ย? 

"วี…ลูกแม่"  

เสียงสะอื้นของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นข้างเตียง เธอกุมมือฉันแน่น น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า 

วี? ใครคือวี? ฉันก้มมองตัวเอง สวมชุดคนไข้สีฟ้าซีด สลับกับมองผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังร้องไห้พร่ำเรียกชื่อของใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก พลางเข้ามาจับตามตัวฉันอย่างทนุถนอมราวกับกลัวฉันจะแตกสลาย 

ฉันชื่ออลิสา แต่ผู้หญิงตรงหน้าเอาแต่เรียกชื่อ ‘วี’ 

นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย? 

“เอ่อ...ฉันว่าคุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่ใช่วีหรอกค่ะ” ฉันบอกไปตามความจริง เธอชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะร้องไห้หนักกว่าเดิมก่อนจะกดปุ่มเรียกพยาบาล 

“วี…ลูกเป็นอะไรไป? นี่ลูกจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ? นี่แม่เอง แม่แพรวไงลูก” เธอว่าพลางปาดน้ำตา ฉันที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  

แม่? ฉันไม่เคยมีแม่! 

อย่างที่บอก ฉันชื่ออลิสา เป็นสายลับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยจู่โจมของหน่วยลับพิเศษ ฉันโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ จนกระทั่งหัวหน้าหน่วยเห็นแววและรับฉันเป็นลูกบุญธรรม

ว่าแต่…ทำไมฉันถึงได้ตื่นขึ้นมาในห้องรวมล่ะ ปกติแล้วหน่วยของเราจะมีโรงพยาบาลพิเศษสำหรับสมาชิกของหน่วยเท่านั้นนี่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมทุกอย่างดูแปลกประหลาดอย่างนี้นะ?

“คนไข้ฟื้นแล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ” หมอหนุ่มที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะนอนไม่พอเท่าไหร่เอ่ยถามฉันตามขั้นตอนการรักษา 

“ก็เพลีย ๆ ค่ะ ว่าแต่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่คะ?” 

“หนึ่งวันเต็ม ๆ ครับ”

หนึ่งวัน? ฉันคลำหน้าอกตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเสื้อเพื่อส่องดูข้างใน 

“คนไข้ทำอะไรครับ!?” หมอหนุ่มร้องด้วยความตกใจ คงไม่คิดว่าอยู่ ๆ คนไข้หญิงจะเปิดเสื้อส่องดูหน้าอกตัวเองต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจยิ่งกว่าก็คือ... 

ไม่มีแผลถูกยิง.... ไม่มีแม้แต่ร่องรอย 

เป็นไปไม่ได้ 

“ฉัน... ไม่มีแผลเลยเหรอคะ?” 

หมอขมวดคิ้ว “แผล? คนไข้ไม่ได้มีบาดแผลอะไรนะครับ แค่หมดสติไปเท่านั้น” 

หมดสติ? ฉันถูกยิงแท้ ๆ แต่นี่ไม่มีแม้แต่รอยกระสุน... 

ฉันมองทุกคนอีกครั้ง ไล่ไปตั้งแต่หมอที่ทำหน้างุนงง ผู้หญิงชื่อแพรวกำลังร้องไห้และเอาแต่เรียกฉันว่าวี 

“ฉัน...ขอเข้าห้องน้ำหน่อยค่ะ” ไม่รอคำตอบ ฉันเดินลากสายน้ำเกลือไปหาห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด  

ฉันเดินไปที่กระจกบนผนัง มือสั่นเทาแตะที่ผิวกระจก

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?”

ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาช่างแปลกประหลาด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกเล็กๆ และริมฝีปากบาง ไม่มีอะไรเลยที่คุ้นเคย ไม่มีแม้แต่แผลเป็นเหนือคิ้วซ้ายที่ฉันได้มาจากภารกิจแรก ยิ่งดูยิ่งสมจริง ฉันลองหยิกที่ต้นแขนของตัวเองและพบว่ามัน...เจ็บ คราวนี้ลองตบหน้าตัวเอง เจ็บ...แถมยังเป็นรอยแดงที่แก้มซ้าย หรือนั่นไม่ใช่ความฝัน! ฉันได้ไปเยือนปรโลก เจอยมทูต และถูกส่งมาเข้าร่างใหม่! 

ฉันพยายามควบคุมลมหายใจ ไม่ให้ตัวเองตื่นตระหนกเกินไป ตอนนี้ฉันต้องหาข้อมูลก่อน ถ้าฉันฟื้นขึ้นมาในร่างของใครสักคน แสดงว่าร่างเดิมของฉัน... ตายไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม? 

ฉันหมุนตัวออกมาจากห้องน้ำและเดินกลับไปที่เตียง คนชื่อแพรวและหมอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คงออกไปคุยกันเรื่องอาการของฉัน 

ฉันทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง และกวาดตามองรอบๆตัว พบเข้ากับกระเป๋าสตางค์ใบเล็กวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูและพบกับบัตรประชาชน 

ชื่อ วราลี พาณิชย์วงศ์ ...... นี่คือชื่อของเจ้าของร่างสินะ เธอคงมีชื่อเล่นว่า วี...

ดูท่าว่านี่จะไม่ใช่ความฝันจริงๆ ฉันตาย...โดยที่ดวงยังไม่ถึงฆาต ยมทูตเอาวิญญาณฉันไปผิด และชดเชยด้วยการให้ฉันตื่นมาในร่างของคนอื่น  

"เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉันจริงๆเหรอเนี่ย..." ฉันพึมพำ ไม่นานผู้หญิงที่ชื่อแพรวก็กลับเข้ามา เธอเดินมานั่งข้างๆเตียง กุมมือฉันแน่นและลูบๆไปตามตัวฉันอย่างห่วงใย  

“เป็นยังไงบ้างลูก หมอบอกว่าอาจจะเป็นภาวะความจำเสื่อมชั่วคราว ไว้เดี๋ยวเรามาตรวจอย่างละเอียดอีกทีนะลูกนะ” 

“เอ่อ...ค่ะ ขอโทษค่ะ หนู…วีจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ” ฉันจำต้องเล่นบทความจำเสื่อมไปก่อน มันง่ายกว่าการที่ฉันจะดึงดันบอกว่าตัวเองไม่ใช่วราลี แบบนั้นแทนที่จะได้สืบเพิ่มคงไม่พ้นโดนส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชแทน  

สรุปว่าแม่ (เธอคงต้องเป็นแม่ฉันแล้วล่ะ) ออกไปคุยกับหมอเกี่ยวกับอาการของฉัน หมอบอกว่าอาจจะมีภาวะความจำเสื่อมชั่วคราว สาเหตุไม่แน่ชัด แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือฉัน ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้ความจำเสื่อม มันคือเรื่องเหนือธรรมชาติต่างหาก  

หมอเข้ามาตรวจร่างกายฉันอีกครั้งและไม่พบปัญหาใด ๆ จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ระหว่างที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ฉันก็เจอบางสิ่งแปลก ๆ ที่ต้นคอ  

มันเหมือนมีรอยมือบีบ... 

แม้จะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ฉันมั่นใจว่ามันคือรอยมือแน่ ๆ เมื่อกดลงไปยังรู้สึกถึงความปวดอยู่ 

นี่เป็นสิ่งที่กวนใจฉัน ดูท่าว่านี่จะไม่ใช่การหมดสติธรรมดา ๆ 

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แม่รอฉันอยู่แล้ว พวกเราเดินออกมาหน้าโรงพยาบาล มันคือโรงพยาบาลรัฐในเมืองที่ฉันก็รู้จัก หมายความว่าฉันยังอยู่โลกเดิมงั้นเหรอ? ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ก็มาจอดเทียบหน้าโรงพยาบาล คุณลุงวัยไล่เลี่ยกับแม่ลงมาช่วยขนสัมภาระ หน้าตาเขาดูใจดีและเป็นมิตรมากทีเดียว ฉันได้ยินแม่เรียกว่า ‘พี่ชม’ แต่ดูมีระยะห่างพอสมควร ฉันเดาว่านี่ไม่ใช่พ่อของฉัน ลุงชมถามไถ่อาการฉันอย่างเป็นห่วง พลางพูดว่า ‘น่าสงสาร ๆ ทำงานหนักสินะ ต้องพักให้หายเครียดบ้าง’ ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น 

กว่าพวกเราจะถึงบ้านก็เกือบค่ำแล้ว จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่ามันใหญ่กว่าคำว่าบ้านไปมาก  คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โคโลเนียลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สวนกว้างถูกจัดแต่งอย่างดี แต่บางส่วนเริ่มทรุดโทรม  

"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงตวาดดังมาจากระเบียงชั้นลอยของชั้นสองทันทีเราสองแม่ลูกก้าวเข้าบ้าน ชายวัยกลางคนในชุดลำลองดูราคาแพงยืนกอดอกมองลงมา 

ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างบน ใบหน้าเข้มงวดและแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา 

"คุณพิชิต..." แม่ก้มหน้างุด "ยัยวีกลับมาแล้วค่ะ"  

เขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง สีหน้าไม่บอกอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะหันไปสั่งเสียงห้วน “ไปเตรียมข้าวเย็นได้แล้ว” 

"ค่ะ..." แม่ตอบเบาๆ พลางพาฉันเดินอ้อมไปทางประตูหลัง ฉันว่าฉันพอจะเดาสถานะของเจ้าของร่างนี้ออกแล้วล่ะ.... 

ก่อนจะเดินออกมา ฉันสังเกตเห็นเงาผู้หญิงคนหนึ่งแอบมองอยู่จากหน้าต่างชั้นสอง ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะผละหายไปในความมืด 

แม่พาฉันเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ด้านหลังครัว "ลูกเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ แม่จะไปต้มน้ำขิงมาให้" 

เมื่อได้อยู่ตามลำพัง ฉันรีบสำรวจห้อง เป็นห้องเล็ก ๆ ที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มีเตียงเดี่ยว โต๊ะเล็ก ๆ และตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ บนโต๊ะมีหนังสือและสมุดบัญชีวางอยู่หลายเล่ม 

ฉันเปิดดูสมุดบัญชี พบว่ามีการจดบันทึกรายรับรายจ่ายของโรงสีอย่างละเอียด พร้อมวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไขไว้จนเต็มสมุด นี่คือสิ่งที่คนรับใช้ควรมีงั้นเหรอ?  

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ฉันรีบวางสมุดคืนที่เดิม แม่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำขิง 

"ดื่มให้หมดนะลูก" เธอยื่นถ้วยให้ "แล้วพักผ่อนเถอะ" ฉันรับถ้วยน้ำขิงมา เป่านิดหน่อยก่อนจะจิบมัน 

"แม่คะ..." ฉันลองถาม “เรา…เป็นคนใช้ในบ้านนี้เหรอคะ?” 

แม่ชะงัก ดวงตาฉายแววเศร้า "ใช่แล้วล่ะ.." เธอกลืนน้ำลาย "พวกเราเป็นแค่คนรับใช้ในบ้านนี้" 

"แล้วผู้ชายคนนั้น..."  

"คุณพิชิต... อันที่จริง...เขาเป็นพ่อของลูก แต่ลูกต้องจำไว้นะ เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร เราต้องอยู่ในฐานะคนรับใช้เท่านั้น" 

ฉันพยักหน้า เริ่มเข้าใจสถานการณ์ วราลี…ลูกนอกสมรสที่ถูกบังคับให้อยู่ในฐานะคนรับใช้ และอาจมีคนปองร้ายเธออยู่ 

เสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาดังแว่วมา ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองซ้อนทับกับภาพด้านนอก ใบหน้าแปลกหน้าที่ต้องทำความคุ้นเคย ร่างกายใหม่ที่ต้องเรียนรู้ และชีวิตใหม่ที่ฉันต้องดำเนินต่อ

ฉันลองคิดอีกที

หรือว่านี่จะเป็นโอกาสให้ฉันได้ใช้ชีวิตธรรมดากันนะ?

ตอนนี้ฉันไม่ใช่อลิสาแล้ว ไม่มีภารกิจ ไม่มีการฝึก ไม่ต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป...

ฉันควรจะหนีออกไปเลย แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ในแบบที่อยากเป็น

แต่รอยที่คอของวราลีมันกวนใจฉันเหลือเกิน สัญชาตญาณบอกว่ามันเหมือนจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่

อีกอย่าง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะให้ฉันออกไปแบบไร้จุดหมายก็คงไม่ดีเท่าไหร่

ฉันถอนหายใจอย่างยอมจำนน เอาเป็นว่าคืนนี้นอนก่อนแล้วกัน...

แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านผ้าม่านเก่า ๆ เข้ามาในห้องเล็ก  ฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ มวลรอบตัวที่ไม่คุ้นชินย้ำเตือนว่า นี่ไม่ใช่ชีวิตเดิมของฉันอีกแล้ว ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงขนาด 3 ฟุตในห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงผ้าห่มบาง ๆ ปกคลุมร่าง 

"เรื่องจริงแฮะ..." ฉันส่องกระจกสำรวจใบหน้า ยังคงเป็นผิวเนียนละเอียด ไม่ใช่ผิวที่ผ่านการฝึกหนักมาหลายปีของอลิสา 

เมื่อสมองเริ่มทำงาน ฉันต้องหาข้อมูลให้มากที่สุด ต้องรู้ว่าใครพยายามทำร้ายหรือฆ่าวราลี และทำไม อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการทวงความยุติธรรมให้เธอ ก่อนที่ฉันจะออกไปจากบ้านนี้

ฉันแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มและเสื้อขาวเรียบ ๆ ที่แม่เตรียมไว้ให้ ซึ่งเป็นเครื่องแบบคนรับใช้ในบ้าน แล้วย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ สัญชาตญาณเก่าทำงานทันที ฉันสังเกตทุกมุม ทุกประตู ทุกหน้าต่าง วิเคราะห์เส้นทางหนีทีไล่และจุดอับสายตา 

บ้านยังเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกร้องแว่วมาจากสวน ฉันเดินสำรวจชั้นล่าง ผ่านห้องรับแขกหรูหราที่เริ่มมีร่องรอยของความทรุดโทรม แม้จะถูกทำความสะอาดอย่างดีจนไม่มีฝุ่น แต่บางที่เก่าและใกล้พัง กลับไม่ได้รับการซ่อมแซม 

ฉันเดินมาหยุดที่หน้าภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่บนผนัง นายพิชิตในชุดสูทยืนสง่า ข้างกายคงเป็นภรรยาในชุดผ้าไหมไทยหรูหรา และเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับวราลีในชุดราตรีสีชมพู ไม่มีวราลีในภาพ  

ขณะที่กำลังจดจ่อกับภาพ ประสาทสัมผัสที่ถูกฝึกมาอย่างดีส่งสัญญาณเตือนภัย มีการเคลื่อนไหวจากด้านหลัง... เงาดำพุ่งเข้าใส่ศีรษะ! 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 15 คุณไอรีน

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนอนงง ๆ อยู่บนเตียง หัวตึ้บ ร่างปวกเปียก และโลกทั้งใบหมุนวนเบา ๆ แบบไม่จบไม่สิ้น“วี ตื่นหรือยังลูก แม่เอาซุปแก้แฮงค์มาให้”“อื้อ...เข้ามาเลยค่ะ…”ประตูเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปขิงลอยมาแตะจมูก แม่วางถาดไว้ข้างเตียง ฉันยันตัวลุกนั่งอย่างยากลำบาก“เมื่อคืน...วีกลับมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “วี...จำไม่ค่อยได้เลย”“ก็คุณภูริน่ะสิ เป็นคนอุ้มวีมาส่ง” แม่พูดเรียบ ๆ พลางยกถ้วยซุปมาให้“หา?” ฉันแทบสำลักอากาศ“ใช่ อุ้มเข้ามาส่งถึงห้องนอนเลยล่ะ” แม่ส่ายหัวเบา ๆ “ดื่มน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องรู้จักพอประมาณเข้าใจไหมลูก”ฉันพึมพำอะไรไม่เป็นภาษาก่อนจะยกซุปขึ้นซด ในหัวเริ่มมีภาพบางอย่างแวบกลับมา…ฉัน...อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นเบา ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้แค่คืบตอนนั้นฉัน...เอื้อมมือไปแตะหน้าเขา แล้วพูดว่า…“หล่อจัง… เห

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 14 ฉลองดีลร้อยล้าน

    วันถัดมา พี่พรมาบอกฉันแต่เช้าถึงเรื่องงานเลี้ยงบริษัทที่จะจัดเย็นนี้ ไม่ใช่งานสังสรรค์ของพนักงานทั่วไป แต่มันคืองานฉลองปิดดีลโครงการร่วมทุนมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาได้สำเร็จเมื่อไม่นานดีลใหญ่นี้หมายถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของบริษัทในปีหน้า และที่สำคัญ เป็นดีลที่ภูริเป็นคนเจรจาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบช่วงเย็น ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของลงกระเป๋า ภูริพูดกับฉันก่อนออกจากออฟฟิศว่า“คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ ถือว่าตอนนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว”ฉันพยักหน้ารับ แต่รีบบอกต่อ“แต่ขอไม่ไปกับคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย ฉันไปกับพี่พรได้ไหม?”เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเรียบ ๆ “ครับ ตามสบาย”เมื่อมาถึงร้าน ฉันนั่งกับพนักงานฝ่ายการตลาดกับแผนกบุคคล บรรยากาศสนุกและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่างจากโต๊ะของภูริที่ดูสุขุมเรียบร้อยแบบชนิดที่ฝ่ายบริหารทุกคนตรงนั้นนั่งตัวตรง พูดกันเบาๆ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ ไม่ใช่

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 13 เด็กฝึกงานเอนกประสงค์

    ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 12 เด็กเส้น

    เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 11 ตั้งใจมาหา

    คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 10 ไวเหมือนแมว [2/2]

    เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status