ฉันหลบโดยสัญชาตญาณ ร่างกายใหม่อาจไม่แข็งแรง แต่ความว่องไวยังอยู่ครบ ฉันก้มหลบและหมุนตัวกลับในจังหวะเดียว ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กเอาไว้
"กรี๊ด!" เสียงกรีดร้องดังขึ้น หญิงสาวในชุดนอนผ้าไหมสีครีมเซถลาเพราะถูกฉันคว้าข้อมือไว้อย่างแรง
"แก! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!"
"เฮ้ย...นี่มันใครกันล่ะเนี่ย?" ฉันยืนนิ่ง ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองรูปครอบครัวและหันกลับมามองใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังโกรธจัด
"อ้อ...คงจะเป็นคุณลูกสาว" ฉันปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
"หุบปาก!" เธอตวาด ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ "แกคิดว่าแกเป็นใคร!? ถึงได้ทำท่าทีจองหอง!"
"ฟังให้ดีนะ อีลูกเมียน้อย" หญิงสาวขู่ เสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
'ใจเย็น อลิสา ใจเย็น' ฉันบอกตัวเอง
ฉันเห็นช่องทางโจมตีมากมาย จุดอ่อนที่สามารถจู่โจมได้... แค่สองก้าวฉันก็จะถึงตัว แค่หมัดเดียวก็จะทำให้คนตรงหน้าสลบ...
'ไม่ได้!' ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดนั้น
"อย่าคิดว่าแกจะได้อะไรมากไปกว่านี้" เธอยังคงพ่นคำพูดใส่หน้าฉัน "แกเป็นแค่ลูกคนใช้ที่พ่อเผลอพลาด แกไม่มีสิทธิ์ในตระกูลนี้!"
ฉันกัดฟันกรอด เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ ฉันเคยซ้อมนักเลงทั้งแก๊งมาแล้ว แค่เด็กสปอยล์คนเดียวจะเป็นอะไรไป...
"ฉันแค่กำลังทำความสะอาดค่ะ" ฉันก้มหน้า พยายามข่มอารมณ์ แม้ว่าอยากจะกระแทกหน้าสวย ๆ นั่นเข้ากับผนัง
"ตอแหล!" เธอขยับเข้ามาใกล้ "แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง ว่าแกแอบช่วยพ่อทำบัญชี แอบให้คำปรึกษาเรื่องโรงสี แกคิดว่าแกฉลาดนักใช่ไหม!?"
นี่คือสาเหตุที่มีคนพยายามฆ่าวราลีหรือเปล่า? ฉันคิด ไม่ได้ตอบโต้อะไร
"คุณหนูพลอยไพลิน!" เสียงเรียกดังมาจากในห้องทานอาหาร "อาหารเช้าเสร็จแล้วค่ะ" พลอยไพลิน...นั่นคงเป็นชื่อของเธอ หญิงสาวเชิดหน้า
"แกโชคดีที่ฉันยังไม่ว่างจัดการแก" เธอหมุนตัวเดินจากไป ส้นรองเท้าแตะกระทบพื้นหินอ่อนดังกึก ๆ
ฉันยืนนิ่ง มือกำแน่น พยายามสูดหายใจเข้าออกเพื่อให้ใจเย็นลง ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมมีคนต้องการกำจัดวราลี... แต่คำถามคือ ใครกัน และทำไปด้วยเหตุผลอะไร?
ฉันมองตามร่างของพลอยไพลินที่เดินจากไป สมองเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว
เด็กสาวที่ถูกตามใจมาตลอดชีวิต ไม่เคยถูกปฏิเสธ คาดว่าอายุราว 25 ปี การเดินบ่งบอกว่าเคยเรียนบัลเลต์ แต่ท่าทางระหว่างตบมีจังหวะที่ไม่มั่นคง แสดงว่าไม่เคยต่อสู้จริงจัง เป็นแค่การระบายอารมณ์... อันตราย แต่ไม่ถึงตาย
ทันใดนั้น ภาพความทรงจำก็ถาโถมเข้ามา...
หนึ่งปีก่อน
"อีกาลกิณี!" เสียงพลอยไพลินดังก้องในห้องครัว มือเรียวจิกผมวราลีอย่างแรง "แกกล้าดียังไงถึงได้ไปนั่งที่โต๊ะอาหารของพวกเรา!?"
"ฉัน... ฉันแค่เก็บจาน..." วราลีพยายามอธิบาย น้ำตาคลอ
"แกคิดว่าแกเป็นใคร!?" พลอยไพลินกระชากร่างบางลงกับพื้น เสียงหัวกระแทกพื้นดังตุบ "คนอย่างแกไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะจับจานที่พวกเรากิน!"
คนรับใช้คนอื่น ๆ ยืนก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะมอง บางคนรีบเดินหนีออกไป แม้จะอยากช่วยแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดใจลูกสาวเจ้าของบ้าน
"ขอโทษค่ะ... ขอโทษ..." วราลีพูดเสียงสั่น เลือดเริ่มซึมที่มุมปาก
"ขอโทษ?" พลอยไพลินหัวเราะเยาะ "แกคิดว่าแค่ขอโทษแล้วจะลบล้างความผิดที่แกเกิดมาได้หรือไง?"
เธอคว้าแจกันดอกไม้บนโต๊ะ สาดน้ำใส่หน้าวราลี
"นี่แหละที่ที่เหมาะกับแก... พื้น! อย่าให้ฉันเห็นแกทำตัวลืมตัวอีก"
วราลีนอนคุดคู้บนพื้นเปียก ไม่กล้าขยับ ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้เสียงดัง ได้แต่กัดริมฝีปากจนเลือดซึม
"คุณหนูคะ" เสียงนางแพรววิ่งเข้ามา "ไปทานของหวานเถอะค่ะ"
พลอยไพลินเชิดหน้า เตะน้ำที่พื้นใส่วราลีอีกครั้งก่อนเดินจากไป
นางแพรวรีบเข้ามากอดลูกสาว น้ำตาไหลอาบแก้ม "ลูกแม่... ขอโทษนะที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย"
"ไม่เป็นไรค่ะแม่" วราลีกระซิบ พยายามฝืนยิ้ม "หนูชิน... ชินแล้วค่ะ"
แต่ในใจลึก ๆ เธอไม่เคยชิน... ไม่มีวันชินกับการถูกทำร้ายเพียงเพราะการเกิดมา
ภาพตัดไปอีกครั้ง กลายเป็นฉากใหม่
วราลีกำลังถูพื้นหน้าทางขึ้นชั้นสอง พลอยไพลินกลับบ้านมาในสภาพเมามายทั้ง ๆ ที่เพิ่งหัวค่ำ
“ฮึก...พี่แบงค์ทำแบบนี้กับพลอยได้ยังไง” เธอร้องไห้คร่ำครวญราวกับคนอกหัก เมื่อสายตาเจอเข้ากับวราลี สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้ามากระชากผมเธออย่างแรง
“โอ๊ย! คุณหนู อะไรกันคะ!?” วราลีร้องอย่างเจ็บปวด ทว่ากลับถูกกระชากแรงขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงเธอลงกับพื้น และตามลงไปตบตี
“แกมองอะไรอีลูกเมียน้อย!? แกมองอะไร!? แกสมเพชฉันใช่มั้ยที่เห็นฉันเป็นสภาพแบบนี้! แกสมเพชฉันใช่มั้ย!?” ฝ่ามือของพลอยไพลินยังคงกระแทกหน้าหญิงสาวใต้ร่างซ้ำ ๆ วราลีพยายามยกมือขึ้นป้องกันแต่ไม่สามารถตอบโต้ได้
“แกไม่มีสิทธิ์มองฉันแบบนั้น! คนแบบแก! คนแบบแก!”
ปึง!
ภาพความทรงจำจางหาย ฉันเผลอชกกำแพงโดยไม่รู้ตัว ฉันยืนนิ่ง มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความเจ็บปวดของวราลีกลายเป็นความโกรธที่พุ่งพล่านในตัวฉัน
ความเกลียดชังที่ฝังรากลึก... เพียงเพราะเธอเลือกเกิดไม่ได้
ฉันมองภาพครอบครัวบนผนังอีกครั้ง รอยยิ้มสวยงามของพลอยไพลินในภาพช่างดูเสแสร้ง
"เธอจะไม่มีวันได้ทำแบบนั้นกับวราลีอีก" ฉันพูดเบา ๆ
เมื่อตัดสินใจจะอยู่ต่อเพื่อทวงความยุติธรรมให้วราลีแล้ว…ฉันก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่ง
‘การทำงานบ้าน‘ คืองานประจำของวราลีคนเก่า และถ้าฉันจะรับบทบาทของเธอต่อให้แนบเนียนที่สุด ฉันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงมันได้
สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องธรรมดา แค่กวาด ถู ซัก ล้าง ใคร ๆ ก็ทำได้
แต่สำหรับฉัน…ที่เคยฝึกยิงปืนแทนการจับไม้กวาด เคยซ้อมหลบระเบิดแทนการซักผ้าด้วยมือมันคือการฝึกใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ศูนย์และที่แย่กว่านั้นคือ...ต้องเรียนรู้ทั้งหมดนี้ภายใต้สายตาจับผิดของ “ป้าแป้น" หนึ่งในแม่บ้านรุ่นเก๋าของบ้านที่เหมือนเป็นแม่บ้านผสมครูฝึกหน่วยคอมมานโด
“ถังน้ำนี้มันหนักผิดมนุษย์ไปแล้วแน่ ๆ”
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะพยายามยกถังน้ำจากครัวไปยังมุมล้างพื้น ข้อมือแทบหลุด บ่าแทบหลุดตามไปด้วย และเพียงแค่เดินไปไม่กี่ก้าว...ฉันก็สะดุดขาตัวเอง ทำน้ำหกกระจายเต็มพื้นเหมือนฉันกำลังราดน้ำมนต์ล้างซวยกลางบ้าน
“แม่คุณเอ๊ย! ให้ถูบ้านโว้ย ไม่ใช่ล้างบ้าน!”
เสียงป้าแป้นดังขึ้นจากมุมห้อง เธอเดินกะเผลกมาอย่างแคล่วคล่อง พร้อมถือไม้ถูพื้นในมือตบพื้นเปียกเบา ๆ
“ไอ้หนูวีเอ๊ย ตั้งแต่ฟื้นมาก็ขยันจังเลยนะ...แต่ทำไมทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!”
ฉันยิ้มเจื่อน “ก็หนูความจำเสื่อมไงคะป้า...”
“ความจำเสื่อมแล้วสกิลงานบ้านมันเสื่อมด้วยเรอะ!?” ป้าแป้นเท้าเอวมองฉันเหมือนจะกินหัว
“เมื่อก่อนถูบ้านลื่นไหลอย่างกับแม่บ้านมือโปร เดี๋ยวนี้...เช็ดโต๊ะยังงก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนเด็กหัดจับไม้กวาด”ฉันก้มหน้าก้มตาเช็ดโต๊ะด้วยท่าทางระมัดระวัง หัวเราะแห้ง ๆ แบบเถียงไม่ได้
ฉันสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง แล้วตั้งหน้าตั้งตาใช้ไม้ถูพื้น...ซึ่งเปียกชุ่มเกินปกติจนน้ำยาแทบนองพื้น
“เออ! เอา! วันนี้มันต้องมีคนลื่นหัวแตกจนได้ข้าว่า!” ป้าแป้นตีไม้ถูพื้นกับพื้นเสียงดังจนฉันสะดุ้ง
“หนูจะพยายามให้เต็มที่ค่ะป้า...”
หลังจากที่ฉันทำงานบ้านตั้งแต่เช้า จนเข้าสู่ช่วงบ่าย รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวเหมือนได้กลับไปฝึกอีกครั้ง ป้าแป้นบ่นน้อยลงนิดหน่อย แต่ฉันก็ดันทำเธอโมโหขึ้นอีกเพราะเผลอใส่ผงซักฟอกลงในเครื่องเยอะไปจนฟองฟอดเต็มพื้นหลังบ้าน ทำเอาป้าแป้นถอนหายใจแบบปลงตก ก่อนจะไล่ให้ฉันออกไปซื้อของที่ตลาดแทน
ฉันรับรายการของจากป้าแป้นแล้วรีบออกไป อย่างน้อยคงทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นบ้าง....
เย็นวันนั้น ฉันกลับถึงบ้านในช่วงเย็น มือหอบข้าวของพะรุงพะรัง ขณะที่ฉันกำลังเดินไปยังห้องครัว ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
"เดี๋ยวก่อน" เป็นหญิงวัยกลางคนในชุดหรูหรายืนอยู่บนขั้นบันได ใบหน้าแม้มีริ้วรอยตามกาลเวลาแต่ยังมีเค้าความงาม ดวงตาและริมฝีปากเชิดหยิ่งนั้นกำลังมองตรงมาที่ฉัน นี่คงจะเป็นคุณทับทิมภรรยาของนายพิชิต คุณนายใหญ่ของบ้านนี้
ฉันไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็ตวาดขึ้นด้วยความโมโห
"แกคิดว่าแกกำลังทำอะไร!"
"ดิฉันออกไปซื้อของมาค่ะ"
“แล้วกลับมาเอาป่านนี้เนี่ย! นี่แกแอบไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาใช่ไหมฮะ!” โอ้โห อย่างกับตัวร้ายในละครเลย แม่ลูกถอดแบบกันมาเป๊ะๆ
“ดิฉันออกไปซื้อของแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงรวมเวลาเดินทาง รถเมล์สาย34 ใช้เวลาเดินทางไปถึงหน้าตลาดประมาณ 20 นาที เดินซื้อของอีกประมาณ 15 นาทีเพราะซื้อไม่กี่อย่าง จากนั้นก็รอขึ้นรถเมล์หน้าตลาดประมาณ 5 นาที นั่งรถกลับมาใช้เวลา 15 นาทีเพราะรถไม่ติด ตอนดิฉันออกไปเป็นเวลา 4 โมงเย็น ตอนนี้ 5 โมงเย็น ไม่น่าจะมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นนะคะ จะเช็คกล้องดูก็ได้ค่ะถ้าไม่เชื่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวไปช่วยแม่เตรียมมื้อเย็นนะคะ" ฉันหมุนตัวกลับไปจะเดินต่อ ทำให้หญิงวัยกลางคนรีบรุดเดินลงบันไดมา
“มันพล่ามอะไรของมัน? เดี๋ยว! ใครอนุญาตให้แกเดินหนีฉันฮะ! ฉันยังพูดไม่จบ....." เธอคงหมายจะจิกหัวฉัน แต่สิ่งที่คว้าได้คือความว่างเปล่า เมื่อเสียหลัก ทำให้เธอล้มลงไปที่พื้นทันที
"คนบ้านนี้...พูดกันดี ๆ ไม่เป็นสินะ" ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนมีไฟลุกในอก ในหัวคิดวิธีทรมานได้ 108 วิธี แต่ต้องสงบใจไว้
ฉันนั่งลงตรงหน้าคุณนายและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างดุดัน
เมื่อมองเห็นความหวาดหวั่นที่เริ่มก่อตัวขึ้น ฉันแสร้งยกมือขึ้น ทำให้เธอกรีดร้องลั่น
"คุณแม่! เกิดอะไรขึ้นคะ แก! อีลูกเมียน้อย แกทำอะไรคุณแม่ฮะ!" พลอยไพลินทิ้งถุงชอปปิ้งมากมายและวิ่งถลาเข้ามาจากหน้าบ้าน ประคองร่างสั่นเทามารดาให้ลุกขึ้น
"ฉันถามว่าแกทำอะไรคุณแม่ไง!" เธอตะโกนซ้ำ
"ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ ใช่ไหมคะ....คุณนาย" ฉันหันกลับไปมองคุณนายที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาฉัน
‘อะไรกัน...ดูท่าจะเก่งแต่ปาก' ฉันยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอี้ยวหลบฝ่ามือของพลอยไพลินที่พุ่งเข้ามา
"เห็นๆอยู่ว่าแกจะตบคุณแม่ แล้วแกจะหลบทำไมนักหนาฮะ!" หญิงสาวตะโกนด้วยความโมโห ที่เธอไม่สามารถเข้าใกล้ฉันได้เลย
"ตบมั่วซั่วแบบนี้มันจะไปโดนได้ยังไงกันคะ" ฉันคว้าข้อมืออีกฝ่ายบิดไพล่หลังก่อนจะผลักเธอไปทางคุณนาย ทำให้สองคนแม่ลูกล้มลงไปกับพื้น
"กรี๊ด! แกทำบ้าอะไรฮะ!" พลอยไพลินตะโกนอย่างเดือดดาล
"ป้องกันตัวไงคะ" ฉันปรายตาไปยังสองแม่ลูก “แล้วก็จะสู้กลับด้วย ถ้าพวกคุณยังคิดจะรังแกฉันกับแม่อีก”
ฉันหมุนตัวกลับ หยิบถุงใส่ของ
“เฮอะ! เพ้อเจ้ออะไร มันก็สมควรแล้วที่แกจะโดน อีลูกเมียน้อย!”
ฉันถือว่าเตือนแล้วนะ...
หันกลับไปหมายจะสั่งสอน แต่เสียงหนึ่งที่ทรงอำนาจก็ดังขึ้นก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เป็นพิชิต ประมุขของบ้านพานิชย์วงศ์ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง สายตาของเขาจ้องเขม็งมายังฉันราวกับคาดโทษ
“วราลี...แกไปพบฉันที่ห้องทำงาน เดี๋ยวนี้!”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนอนงง ๆ อยู่บนเตียง หัวตึ้บ ร่างปวกเปียก และโลกทั้งใบหมุนวนเบา ๆ แบบไม่จบไม่สิ้น“วี ตื่นหรือยังลูก แม่เอาซุปแก้แฮงค์มาให้”“อื้อ...เข้ามาเลยค่ะ…”ประตูเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปขิงลอยมาแตะจมูก แม่วางถาดไว้ข้างเตียง ฉันยันตัวลุกนั่งอย่างยากลำบาก“เมื่อคืน...วีกลับมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “วี...จำไม่ค่อยได้เลย”“ก็คุณภูริน่ะสิ เป็นคนอุ้มวีมาส่ง” แม่พูดเรียบ ๆ พลางยกถ้วยซุปมาให้“หา?” ฉันแทบสำลักอากาศ“ใช่ อุ้มเข้ามาส่งถึงห้องนอนเลยล่ะ” แม่ส่ายหัวเบา ๆ “ดื่มน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องรู้จักพอประมาณเข้าใจไหมลูก”ฉันพึมพำอะไรไม่เป็นภาษาก่อนจะยกซุปขึ้นซด ในหัวเริ่มมีภาพบางอย่างแวบกลับมา…ฉัน...อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นเบา ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้แค่คืบตอนนั้นฉัน...เอื้อมมือไปแตะหน้าเขา แล้วพูดว่า…“หล่อจัง… เห
วันถัดมา พี่พรมาบอกฉันแต่เช้าถึงเรื่องงานเลี้ยงบริษัทที่จะจัดเย็นนี้ ไม่ใช่งานสังสรรค์ของพนักงานทั่วไป แต่มันคืองานฉลองปิดดีลโครงการร่วมทุนมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาได้สำเร็จเมื่อไม่นานดีลใหญ่นี้หมายถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของบริษัทในปีหน้า และที่สำคัญ เป็นดีลที่ภูริเป็นคนเจรจาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบช่วงเย็น ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของลงกระเป๋า ภูริพูดกับฉันก่อนออกจากออฟฟิศว่า“คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ ถือว่าตอนนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว”ฉันพยักหน้ารับ แต่รีบบอกต่อ“แต่ขอไม่ไปกับคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย ฉันไปกับพี่พรได้ไหม?”เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเรียบ ๆ “ครับ ตามสบาย”เมื่อมาถึงร้าน ฉันนั่งกับพนักงานฝ่ายการตลาดกับแผนกบุคคล บรรยากาศสนุกและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่างจากโต๊ะของภูริที่ดูสุขุมเรียบร้อยแบบชนิดที่ฝ่ายบริหารทุกคนตรงนั้นนั่งตัวตรง พูดกันเบาๆ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ ไม่ใช่
ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม
เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ