หลังจากพูดคุยกันพอสมควร คุณหญิงสมศรีก็ตามผู้ดูแลให้มาพาเธอขึ้นไปเอนหลังยามบ่ายตามประสาของคนชรา ภาวินท์ออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนภูริก็ขอตัวขึ้นไปเอาหนังสือที่ห้องสมุดบนชั้นสองของบ้านใหญ่ ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันนั่งรออยู่บริเวณโถงรับแขกเพียงลำพัง
ระหว่างมองสำรวจรอบ ๆ บ้านเพลิน ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“ดูคุณน้องวราลีเข้ากับคุณย่าได้ดีนะคะ” พาขวัญยืนกอดอก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตานั้นตั้งใจดูแคลนฉันอย่างเต็มที่
“รู้วิธีประจบประแจง เอ๊ย...เข้าหาผู้ใหญ่ อย่างว่าแหละเนอะ แม่คงสอนมาดี”
ฉันเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบ ก่อนจะเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องมารยาท ท่านย้ำนักแหละค่ะว่าให้สงบปากสงบคำ อย่าพูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด เพราะบางทีมันอาจทำให้เราดูโง่โดยไม่รู้ตัว”
แววตาของพาขวัญแข็งกระด้างขึ้นนิดหนึ่ง
“ฉันรู้นะว่าพวกเธอคบกันเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์...ไม่งั้นคนแบบเธอน่ะเหรอ หึ...ภูริคงไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ”
“อย่างน้อยฉันก็มีประโยชน์สำห
หลังจากพูดคุยกันพอสมควร คุณหญิงสมศรีก็ตามผู้ดูแลให้มาพาเธอขึ้นไปเอนหลังยามบ่ายตามประสาของคนชรา ภาวินท์ออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนภูริก็ขอตัวขึ้นไปเอาหนังสือที่ห้องสมุดบนชั้นสองของบ้านใหญ่ ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันนั่งรออยู่บริเวณโถงรับแขกเพียงลำพังระหว่างมองสำรวจรอบ ๆ บ้านเพลิน ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง“ดูคุณน้องวราลีเข้ากับคุณย่าได้ดีนะคะ” พาขวัญยืนกอดอก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตานั้นตั้งใจดูแคลนฉันอย่างเต็มที่“รู้วิธีประจบประแจง เอ๊ย...เข้าหาผู้ใหญ่ อย่างว่าแหละเนอะ แม่คงสอนมาดี”ฉันเพียงยิ้มบาง ๆ ตอบ ก่อนจะเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ“ค่ะ โดยเฉพาะเรื่องมารยาท ท่านย้ำนักแหละค่ะว่าให้สงบปากสงบคำ อย่าพูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด เพราะบางทีมันอาจทำให้เราดูโง่โดยไม่รู้ตัว”แววตาของพาขวัญแข็งกระด้างขึ้นนิดหนึ่ง“ฉันรู้นะว่าพวกเธอคบกันเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์...ไม่งั้นคนแบบเธอน่ะเหรอ หึ...ภูริคงไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ”“อย่างน้อยฉันก็มีประโยชน์สำห
กลางดึกคืนนั้น หลังจากให้การกับตำรวจ และตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภูริก็ขับรถพาฉันกลับมายังบ้าน ท่ามกลางความเงียบของถนนในยามค่ำคืน ฉันรู้ว่าข่าวเรื่องนี้คงไปถึงบ้านก่อนตัวฉันแล้ว เพราะระหว่างที่รอผลตรวจอยู่ที่โรงพยาบาล เขาเป็นคนโทรแจ้งคุณพิชิตด้วยตัวเองทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ฉันก็เห็นทุกคนในบ้านนั่งอยู่พร้อมหน้าในห้องนั่งเล่น ความเงียบที่อบอวลอยู่ในอากาศบอกฉันได้ทันทีว่าทุกคนรู้หมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อแม่เห็นฉัน แม่รีบวิ่งเข้ามากอดฉันแน่น เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ ปากพร่ำบอกขอโทษฉันไม่หยุด"แม่ขอโทษ...แม่ไม่รู้เลยว่าวีต้องเจออะไรแบบนั้น แม่..."ฉันกอดแม่แน่น ลูบหลังเธอเบา ๆ แทนการปลอบประโลม“ไม่เป็นไรค่ะแม่ วีไม่เป็นอะไรแล้วนะ”คุณพิชิตเพียงพูดขึ้นเบา ๆ“ปลอดภัยก็ดีแล้ว" ก่อนจะหันไปพูดกับภูริ “ขอบคุณภูริที่ช่วยวราลีไว้นะ”เขาไม่ใช่คนที่แสดงความอ่อนโยนบ่อยนัก แต่ครั้งนี้ฉันเห็นแววความห่วงใยเจืออยู่ในสีหน้าและน้ำเสียงภูริพยักหน้ารับเงียบ ๆพลอยไพลินกับทับทิมในชุดนอนนั่งอยู่ห่
“แก…แกเป็นใครกันแน่!?” อาทิตย์ละล่ำละลั่ก“เป็นผีมาทวงคืนความยุติธรรมให้วราลี”“อีบ้า! เพ้อเจ้อ!”“เอ้า พอบอกไปก็ไม่เชื่อซะงั้น” ฉันลุกขึ้น เดินไปรอบ ๆ ช้า ๆ อย่างสบายใจ“เอาล่ะ ขั้นตอนต่อไปฉันจะเรียกตำรวจมาจับแก” ก่อนจะหมุนตัวไปเผชิญหน้า และใช้ปลายมีดเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา“และสิ่งที่แกต้องทำ…คือสารภาพกับตำรวจให้หมดเปลือกว่าแกเคยทำอะไรเลว ๆ กับวราลีไว้บ้าง ถึงฉันจะอัดเสียงแกไว้หมดแล้วก็เถอะ แต่แกก็ต้องสารภาพด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่งั้น…”ฉันกระชับมีดให้แน่น ก่อนจะเงื้อมือขึ้นในท่าแทง อาทิตย์เบิกตากว้างร้องลั่น ฉันแทงมีดลงมาอย่างแรง แต่ทว่าจงใจหยุดมือให้ปลายมีดคมปลาบอยู่ห่างจากดวงตาเขาแค่เซนติเมตรเดียว ฉันจ้องใบหน้าของอาทิตย์ที่กำลังกลัวสุดขีด เขาคงไม่คิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรมาเป็นแบบนี้ได้ฉันลดมีดลง เดินอ้อมไปข้างหลังเก้าอี้ ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงตรงมือที่ถูกมัดไว้ของอาทิตย์“อันนี้เป็นค่ามัดจำ”“อะไร!? แกจะทำอะ
ในสายตาคนภายนอก อาทิตย์คือชายหนุ่มแสนดี สุภาพ เรียบร้อย และเอาใจใส่ทุกคนเขายิ้มเก่ง พูดจาไพเราะ เป็นที่รักของผู้ใหญ่ และมักได้รับคำชมเสมอว่า อบอุ่นน่าคบ แต่ไม่มีใครรู้...ว่าเบื้องหลังของรอยยิ้มนั้นมีอะไรซ่อนอยู่อาทิตย์แอบชอบวราลีมานาน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอเดินผ่านสวนข้างบ้านในชุดคนใช้ ผมยาวสีน้ำตาลที่มักถักเปียหลวม ๆ นั่นสะดุดตาเขา และดวงตาคู่นั้น…ที่มีทั้งความดื้อรั้นและความเศร้าในเวลาเดียวกัน เขาตัดสินใจในวันนั้นเลยว่า ต้องได้เธอมาเขาเริ่มตีสนิทกับเธอ ใช้ความเนียนและความ ‘ดูดี’ เข้าหาอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่เธอมักหลบสายตา ไม่กล้าเผชิญหน้า เขากลับมองว่านั่นคือความเขินอายที่น่ารักไม่มีใครรู้ว่าในตอนกลางคืน อาทิตย์เคยแอบย่องเข้าไปในห้องของวราลีไม่มีใครเห็นว่าเขานั่งลงข้างเตียงเธอ จ้องมองใบหน้าหวานขณะเธอหลับ และกระซิบคำว่า "ฝันดีนะวี" เบาๆ ข้างหูเธอ...หลายต่อหลายครั้งแม้เธอจะตื่นขึ้นด้วยความตกใจ หวาดกลัวจนตัวสั่น เขาก็เพียงยิ้ม และบอกว่า“ก็แค่อยากบอกฝันดี...แค่นั้นเอง ไม่เ
หลังจากซื้อของกันเสร็จ เขาพาฉันไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียน ริมแม่น้ำ บรรยากาศอบอุ่น แสงไฟประดับอ่อนนุ่ม และเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบา ๆ ระหว่างอาหาร เรายังคุยกันเรื่องโน่นนี่นั่น ทั้งเรื่องงานในบริษัท โรงสี ชีวิตระหว่างเรียนของเขา ไปจนถึงเรื่องเรื่อยเปื่อยอย่างสัตว์ที่ชอบและอยากเลี้ยง ฉันเหลือบมองเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น“ฉันสงสัยมานานแล้วค่ะ…”เขาเงยหน้าจากจานมองฉัน เลิกคิ้วเล็กน้อย“ทำไมคุณถึงไม่มีรูปหลุดออกมาเลยสักครั้ง? เป็นสิบ ๆ ปีแล้วนะคะที่สื่อแทบไม่เคยได้ภาพคุณเลย นอกจากรูปคุณถือไม้ลูกชิ้นเมื่อสิบปีก่อนน่ะ”ภูริหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะตอบเรียบ ๆ“ผมไม่ชอบถูกจับตามอง”“ถ้าใครจะรู้จักผม ผมอยากให้รู้จักเพราะ ‘ผลงาน’ มากกว่า ‘ใบหน้า’ หรือ ‘ชีวิตส่วนตัว’ ”ฉันเลิกคิ้วนิด ๆ“แต่ยุคนี้นะคะ…คนดังในวงการธุรกิจ ยังไงก็ต้องมีภาพหลุดบ้างสิ อย่างน้อยเวลาไปงานอีเวนต์ หรือเซ็นสัญญาอะไรใหญ่ ๆ ก็ต้อง
เช้าวันเสาร์ฉันมีนัดกับคุณภูริช่วงบ่าย ๆ เพื่อไปเลือกแหวนคู่ เอามาสวมจะได้ดูเป็นคู่รักเนียน ๆเขาว่าแบบนั้นน่ะนะ...ภูริเป็นคนเสนอเองว่าจะมารับที่บ้าน และฉันตั้งใจจะถือโอกาสนี้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยแต่งานที่ล้นมือช่วงนี้ทำให้ร่างกายของฉันแทบไม่ไหว หลังจากอ่านสรุปรายงานประจำสัปดาห์ช่วงเช้า ฉันแวะเข้าไปที่ห้องสมุดเงียบ ๆ ระหว่างรอเวลาหนังสือที่เปิดค้างอยู่บนตักเป็นนิยายแฟนตาซีกำลังภายในที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม...แต่ฉันยังไม่ทันได้อ่านบทนำจบ เปลือกตาก็หนักอึ้งลงอย่างห้ามไม่ไหวไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเบา ๆ ใกล้ตัว...และเมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือภาพของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามภูริเขากำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ เขาหล่อขึ้นกว่าเดิมอีกหรือเปล่านะ?เมื่อเห็นฉันตื่น เขาก็เพียงเหลือบตามามองแล้วยิ้มบาง ๆ“สวัสดีครับ”ฉันหน้าร้อนผ่าว รู้สึกกระดากใจที่ตัวเองเผล