ผ่านไปแล้วสามวัน...
ภูริยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด แม้เครื่องช่วยหายใจจะถูกถอดออกแล้ว สัญญาณชีพจรกลับมาคงที่
...แต่ดวงตาคู่นั้น ยังไม่ลืมขึ้นมาเลย
ฉันมาที่นี่ทุกวัน นั่งตรงมุมเดิม จับมือเขาข้างเดิม
มือของเขาใหญ่ อุ่น และนิ่ง เฝ้ารอให้เขาตื่นขึ้นมาทุกวัน
วันนี้ก็เช่นกัน
ฉันนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเตียง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
ฉันหันไป ประตูก็เปิดออกช้า ๆ
ภารัชเดินนำเข้ามา ลินาตามหลัง สีหน้าทั้งคู่ดูสงบและเรียบเฉย
“สวัสดี” เขาเอ่ยเรียบ ๆ
“สวัสดีค่ะ” ฉันพยักหน้า
“เขาดูดีขึ้น” ภารัชมองน้องชาย พลางเดินเข้าไปใกล้
“หมอบอกว่าอาการทรงอยู่ค่ะ...แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้น”
ฉันตอบ น้ำเสียงเรียบพอ ๆ กับเขา
“ก็ดีแล้วที่ไม่แย่ลง พวกเรากำลังหาตัวคนร้ายอย่างเต็มที่อยู่” เขาว่าพลางขยับมือนวดขมับเบา ๆ สีหน้าเหมือนพี่ชายทั่วไป
...แต่กับผู้ชายคนนี้ ต่อให้เขายิ้มให้ ฉันก็ไม่วางใจ
ลินาทำเพียงยืนมอง ไม่พ
ผ่านไปแล้วสามวัน...ภูริยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด แม้เครื่องช่วยหายใจจะถูกถอดออกแล้ว สัญญาณชีพจรกลับมาคงที่...แต่ดวงตาคู่นั้น ยังไม่ลืมขึ้นมาเลยฉันมาที่นี่ทุกวัน นั่งตรงมุมเดิม จับมือเขาข้างเดิมมือของเขาใหญ่ อุ่น และนิ่ง เฝ้ารอให้เขาตื่นขึ้นมาทุกวันวันนี้ก็เช่นกันฉันนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเตียง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นฉันหันไป ประตูก็เปิดออกช้า ๆภารัชเดินนำเข้ามา ลินาตามหลัง สีหน้าทั้งคู่ดูสงบและเรียบเฉย“สวัสดี” เขาเอ่ยเรียบ ๆ“สวัสดีค่ะ” ฉันพยักหน้า“เขาดูดีขึ้น” ภารัชมองน้องชาย พลางเดินเข้าไปใกล้“หมอบอกว่าอาการทรงอยู่ค่ะ...แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้น”ฉันตอบ น้ำเสียงเรียบพอ ๆ กับเขา“ก็ดีแล้วที่ไม่แย่ลง พวกเรากำลังหาตัวคนร้ายอย่างเต็มที่อยู่” เขาว่าพลางขยับมือนวดขมับเบา ๆ สีหน้าเหมือนพี่ชายทั่วไป...แต่กับผู้ชายคนนี้ ต่อให้เขายิ้มให้ ฉันก็ไม่วางใจลินาทำเพียงยืนมอง ไม่พ
เสียงสัญญาณรถพยาบาลยังคงดังก้องในหัวฉัน แม้มันจะเงียบไปแล้วก็ตามฉันนั่งนิ่งอยู่หน้าแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ชุดยังเปื้อนเลือดของเขา…ภูริ…“ญาติรอข้างนอกก่อนนะคะ คนไข้เสียเลือดมาก ต้องทำการผ่าตัดด่วน”เสียงพยาบาลดังแว่วคล้ายกลืนกับลมหายใจฉันที่แทบขาดช่วงฉันพยักหน้าช้า ๆ แต่ขาเหมือนไร้น้ำหนักนั่งลงที่เก้าอี้สีหม่นข้างฝาผนัง มือของฉันยังสั่นไม่หยุด แม้ผ่านมาหลายนาทีแล้ว กลิ่นคาวเลือดยังติดปลายนิ้ว…เป็นเลือดของเขาฉันเคยเห็นเลือดมามากมายในฐานะสายลับบางคนเจ็บ บางคนตายคาตา ฉันเคยเฉยชา...แม้ในวันที่มือเปื้อนเลือดคนแต่ครั้งนี้...มันต่างออกไปเพราะเลือดที่เปื้อนมือตอนนี้ ไม่ใช่ของเป้าหมาย ไม่ใช่ของศัตรูแต่มันคือเลือดของคนที่ฉันรัก…ประตูห้องฉุกเฉินปิดสนิทแผ่นป้ายสีแดงติดไว้ว่า ‘กำลังผ่าตัด'ใจฉันแทบระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็เร่งเข้ามาคุณดารกากับคุณเตโชมาถึงพร้อมกัน สีหน้าซีดเผือดไม่ต่างจากฉ
ฉันหันขวับไปหาเขา แววตาแทบสะท้อนคำว่า ช็อกเขายิ้มมุมปากเล็กน้อยฉันสะอึก รู้ทันทีว่า...โดนจับได้ฉันกำลังจะเถียงกลับอะไรสักอย่างแต่เขาพูดต่อทันที“ล้อเล่นครับ” เขายิ้มเล็กน้อย มุมปากกระตุกอย่างเจ้าเล่ห์ประสาจิ้งจอก...ให้ตายฉันหลุดกลอกตาในใจ ไม่แน่ใจว่าควรโล่งหรือควรหงุดหงิดกันแน่ แต่ฉันรู้ ว่าเขาไม่ได้พูดเล่นทั้งหมดภูริกำลังวัดใจฉันและเขาทำมันได้ดีเกินไป“กลับบ้านกันเถอะ”เขาพูดเสียงเรียบหลังจากหยอกเล่นเสร็จ ก่อนจะหันหน้ากลับไปขับรถอย่างนิ่งสนิท รอยยิ้มมุมปากเมื่อครู่หายไปแล้ว ฉันหันไปมองหน้าของเขาเงียบ ๆไม่พูดอะไรอีกเลย…ตั้งแต่นั้นสามวันถัดมาฉันไม่แน่ใจว่าเขายุ่ง หรือกำลังโกรธ แต่ความเงียบของเขามันบีบแปลก ๆเราแชตกันน้อยลงผิดปกติ บางทีฉันส่งไปว่า “กินข้าวหรือยังคะ”เขาตอบแค่ “กินแล้วครับ”ไม่มีอีโมจิ ไม่มีคำถามกลับ ไม่มีแม้แต่สติกเกอร์ที่เข
เฮือก...เสร็จแน่เรา!ฉันรีบหันไปมองเขาแล้วแสร้งหัวเราะเบา ๆ“คุยกับคุณพ่อเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงของฉันดูปกติอย่างมืออาชีพ“คือ…ฉันแค่เดินดูบ้านไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ แล้วบังเอิญเห็นห้องนี้เปิดแง้มอยู่เลยลองเข้าไปดูนิดหน่อย...แต่ดันทำต่างหูหล่น เลยก้มหาอยู่น่ะค่ะ”“ต่างหู?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย“ค่ะ! นี่ไง เจอแล้ว”ฉันรีบหยิบต่างหูขึ้นมาจากพื้นอย่างแนบเนียน…ของที่เตรียมไว้เผื่อสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้วเขาเลิกคิ้วนิด ๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวลมหายใจของฉันสะดุด จังหวะหัวใจเริ่มรัวเหมือนกลองสัญญาณเตือนภัยฉันถอยหนึ่งก้าว แต่หลังดันชนเข้ากับโต๊ะทำงาน ร่างเอนเล็กน้อยจนสุดท้ายก็ต้องนั่งลงบนนั้นอย่างเสียไม่ได้“ถ้าไม่เชื่อ...จะค้นตัวดูก็ได้นะคะ” ฉันเงยหน้ามองเขา ดวงตาสบกันตรง ๆ แบบไม่ยอมแพ้เขายิ้มมุมปาก เจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเป็นมือข้างหนึ่งยกขึ้น…ฉันนึกว่าจะลูบผม แต่กลับเลื่อนลงแตะต้นคอเบา ๆสัมผัสอุ่นจากมือแทรกผ่
ชนกันต์ยื่นกล่องเล็ก ๆ สีดำด้านให้ฉันขนาดเท่ากล่องแหวนแต่งงาน แต่เบากว่ามาก“นี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด ขนาดเล็ก เสียงคมชัด ติดตั้งแล้วแทบมองไม่เห็น”เขาว่าเสียงเบา ขณะยื่นมาให้ฉันรับมันมา เปิดดูในมือข้างในมีอุปกรณ์ดักฟังขนาดเล็กเพียงปลายนิ้ว กับแผ่นรองแม่เหล็กจิ๋วสำหรับแนบติดฉันปิดกล่อง แล้วเก็บลงกระเป๋า ก่อนจะมองเขานิ่ง ๆ แล้วเอ่ยเสียงชัด“ชนกันต์…ห้ามบอกใครเรื่องตัวตนจริง ๆ ของฉัน…แม้แต่คนในทีมนาย”เขาพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดนาน“รู้ครับพี่…เรื่องแบบนี้เชื่อง่ายมากมั้ง”ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันคืนนั้น ฉันนั่งมองกล่องอุปกรณ์ที่วางอยู่บนเตียง ในใจมีเพียงความคิดเดียว…“จะติดอุปกรณ์นี้ยังไง?”จากที่เห็น ภารัช...ดูเป็นคนระวังตัวสูง ไหนจะลินา ภรรยาของเขาที่โคตรจะไม่ชอบหน้าฉันอีก การเข้าไปใกล้เขาโดยไม่มีข้ออ้าง จะดูผิดปกติเกินไปฉันทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ตามองเพดาน ในหัวครุ่นคิด...แล้วหยุด
สองวันถัดมา ภูริพาฉันออกไปทานข้าว และพูดถึงสิ่งที่เขาสืบเจอคนที่ดักทำร้ายฉันวันนั้น...ตายหมดแล้วถูก ‘เก็บ’ อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรอด ไม่มีพยาน ไม่มีคำสารภาพ เหลือแค่ศพในโกดังร้างภูริบอกว่า...สภาพศพบางรายดูเหมือนถูกทรมานก่อนสิ้นใจ วิธีลงมือก็ไม่ใช่ของมือสมัครเล่นมันชัดเจนเกินไป ว่าคนที่ ‘เก็บ’ กลุ่มนั้น...มีฝีมือ และมีเหตุผลบางอย่างฉันไม่ได้พูดอะไรขณะนั่งฟังเขาเล่าเรื่องนั้นฉันยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง หรือจะสื่ออะไรแต่ที่แน่ ๆ ...ฉันรู้แล้วว่าเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่คาดไว้มากถึงอย่างนั้น…ฉันก็ไม่มีเวลาพอจะมานั่งกลัว หรือวิเคราะห์ให้ครบทุกเสี้ยวยังมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้าคืนนี้...ฉันมีนัดกับชนกันต์ที่โรงยิม มีบางอย่างที่ต้องถาม และบางอย่างที่ฉันสงสัย เสียงรองเท้ากระทบพื้นยางดังเบา ๆ ในโรงยิมที่เงียบวังเวง มีเพียงแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวจาง ๆ จากเพดานที่ยังติดอยู่บางดวง กับกลิ่นเหงื่อและฝุ่นจาง ๆ จากอุปกรณ์ฝึกที่วางเรียงอยู่ตามมุมห้องสถานที่ที่ชวนให้คิดถึง สมัยที่อลิสามักมาฝึกซ้อมกับสมาชิกในทีมบ่อย ๆฉันยืนรออยู่กลางลานว่างของโรงยิม ใส่เสื้อฮู้ดสีเทาคลุมหัว