ฉันตื่นก่อนนาฬิกาปลุก หัวสมองแล่นเหมือนคนเพิ่งวางแผนแทรกซึมเข้าองค์กรลับ…ทั้งที่วันนี้ ฉันต้องไปนั่งกินข้าวกับ ‘ว่าที่สามีในนาม’ ของตัวเอง
เอาเข้าจริง ฉันไม่เคยเตรียมตัวไปเดทเลยในชีวิต
แต่เรื่อง ‘ภารกิจ’ น่ะ…ฉันเชี่ยวชาญและวันนี้ก็คือหนึ่งในภารกิจนั้น
การดูตัวกับชายที่ถูกขนานนามว่า ‘จิ้งจอก’ แห่งวงการธุรกิจหลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันสวมเดรสสีครีมจากตู้เสื้อผ้าของพลอยไพลิน จากนั้นก็หยิบนามบัตรที่พลอยไพลินยื่นมาให้เมื่อวันก่อน
‘พี่ชิน เมคอัพอาร์ติสต์’ ช่างแต่งหน้าที่เหล่าเซเลบเรียกใช้งานมากที่สุดในรัศมีห้ากิโลเมตรแน่นอน ฉันโทรไปนัดตั้งแต่เมื่อวาน และเขาตอบรับเพราะชื่อของ ‘พลอยไพลิน’ คือพาสเวิร์ดผ่านประตูสวรรค์
สถานที่คือร้านเสริมสวยหรูระดับพรีเมียม พอฉันเดินเข้าไป เขาก็หรี่ตาเล็กน้อยแล้วถาม
“คุณวราลีใช่ไหมคะ? โอ้โห หน้าสวยอยู่แล้ว แต่น้องพลอยสั่งมาให้ปังที่สุดเลยค่ะ วันนี้ต้องปังยืนหนึ่ง!”
ก่อนฉันจะได้อ้าปากตอบ พี่ชินก็ลากฉันไปที่เก้าอี้ แต่งหน้า ทำผม เซ็ตลอน เสริมแสง แต่งคิ้ว ไฮไลต์แก้มจนฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน ‘โปรพลัส’
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่ชินก็หมุนเก้าอี้ให้ฉันเผชิญหน้ากับกระจก
ฉันตาโตขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
โอเค…ไม่คิดว่าเธอจะสวยได้ขนาดนี้นะ วราลี
แก้มเนียน ดวงตากลมโตรับกับจมูกและริมฝีปากจิ้มลิ้มเข้ารูป เส้นผมสีน้ำตาลม้วนลอนอย่างมีคลาส ผิวผ่องแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์ฉันจ้องตัวเองในกระจกพลางยิ้มจาง ๆ
ตอนเป็นอลิสา ฉันไม่เคยต้องแต่งหน้าอะไรขนาดนี้ ชีวิตอยู่กับเหงื่อ กลิ่นดินปืน และภารกิจลับมากกว่ากระเป๋าแบรนด์เนมหรู
แต่ตอนนี้...ในร่างวราลี หญิงสาวที่สวยอยู่แล้วก็เหมือนถูกขัดเงาจนแวววาว
โอเค...ฉันพร้อมแล้ว
มาลองกันสักตั้งเถอะ...
ลุงชมเป็นคนขับรถไปส่งฉันที่โรงแรมหรูในเครือทรัพย์ไพศาลอนันต์ ทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าสู่โถงล็อบบี้ของโรงแรม ฉันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมราคาแพงและการปรับอากาศที่เย็นกำลังดี แชนเดอเลียขนาดมหึมาห้อยลงมาจากเพดานหรูระยับ แสงไฟอบอุ่นไล้ผิวเฟอร์นิเจอร์สีทองนวลอย่างบรรจง พื้นหินอ่อนขัดมันสะท้อนเงารองเท้าของฉันจนฉันเผลอก้มดูว่าเดินเหยียบอะไรผิดไปหรือเปล่า
นี่สินะ...โลกของพวกเขา
พนักงานต้อนรับหญิงในชุดยูนิฟอร์มสีกรมท่าดูเรียบแต่แพง รีบก้าวออกจากเคาน์เตอร์มาต้อนรับทันทีที่เห็นฉัน
“สวัสดีค่ะ คุณพลอยไพลินใช่ไหมคะ?”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
“ทางร้านอาหารบนชั้นรูฟท็อปได้เตรียมโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญทางนี้เลยนะคะ”
เธอยิ้มสุภาพแบบคนที่ผ่านการเทรนมาอย่างหนัก และเดินนำฉันไปยังลิฟต์แก้วที่ตกแต่งด้วยลวดลายทองประดับเล็ก ๆ พอให้รู้สึกเหมือนขึ้นลิฟต์ในปราสาทของเจ้าหญิง
ระหว่างทาง พนักงานอีกคนหนึ่งเดินตามมาถือกระเป๋าให้...โดยที่ฉันยังไม่ได้ร้องขอ
มืออาชีพจริง ๆ... สมกับเป็นที่ของเขา
ขณะยืนอยู่ในลิฟต์ที่ค่อย ๆ ไต่ขึ้นสู่ชั้นบนสุด ฉันมองภาพกรุงเทพฯ ที่ค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำด้านหลังผ่านกระจกใส
แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทอดผ่านกลางเมือง ตึกสูงสลับซับซ้อนดูเหมือนโมเดลเลโก้ขนาดยักษ์
ดูตัวในสถานที่แบบนี้มันไม่ธรรมดาเลยนะ... แล้วคนที่ฉันจะเจอ จะธรรมดาได้ไหมล่ะ?
“ถึงแล้วค่ะ” พนักงานหญิงส่งยิ้ม ก่อนเปิดประตูกระจกบานสูงนำทางฉันเข้าสู่ห้องอาหารบนรูฟท็อป
เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู ฉันก็ต้องหยุดชะงัก
ห้องอาหารทั้งชั้นถูกจัดไว้อย่างประณีต กระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวแม่น้ำระยิบระยับสะท้อนแสงอาทิตย์ยามกลางวัน ไม่มีแขกคนอื่น ไม่มีเสียงจอแจ มีเพียงเสียงเปียโนบรรเลงเบา ๆ จากลำโพงมุมห้อง
ร้านอาหารระดับนี้ ไม่มีแขกเลยสักคนเดียว?
ฉันมองรอบห้อง บรรยากาศสงบเกินเหตุ โต๊ะทุกตัวว่างเปล่า ยกเว้นโต๊ะริมกระจกที่พนักงานเชิญฉันไปนั่ง ก่อนเธอจะโค้งให้อย่างสุภาพ
“ขอให้คุณพลอยไพลินมีช่วงเวลาที่ดีนะคะ”
ฉันนั่งลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามควบคุมสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนมืออาชีพในภารกิจสายลับ ทั้งที่ในใจคือ…
ทำไมเงียบขนาดนี้เนี่ย!ตอนนี้มีแค่ฉันคนเดียวที่นั่งอยู่ในพื้นที่ที่ควรใช้เลี้ยงแขกระดับรัฐมนตรีได้สักโหล
ฉันเช็คนาฬิกา อีกห้านาที…
สามนาที… หนึ่งนาที…แล้วประตูก็เปิดออก
ฉันหันไปตามเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวเข้ามา ก่อนจะ…นิ่งค้าง
พระเจ้า…
ผู้ชายที่เดินตรงเข้ามาในชุดสูทเข้ารูปสีเทากราไฟต์เรียบหรูราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง
ร่างสูงโปร่งนั่น...มองด้วยตาเปล่าน่าจะราว ๆ 185 เซ็นติเมตร
ผิวเนียนขาวราวกับสกินแคร์ของเขาผสมทองคำ เส้นผมดำขลับถูกจัดทรงอย่างมีรสนิยม และที่สำคัญคือ ดวงตาคมกริบสีดำที่เหมือนมองทะลุทะลวงทุกอย่างนี่มันห่างไกลจากคำว่าน่าเกลียดมากนะ...
พนันได้เลยว่าตอนพระเจ้าปั้นเขา คงตั้งใจน่าดู
หล่อ…ไม่ใช่หล่อธรรมดา
หล่อแบบ...ใครโกหกว่าน่าเกลียดจะโดนฟ้องได้นั่นน่ะเหรอ...ภูริ? จิ้งจอก?
เขาเดินมาตรงหน้า หยุดอยู่แค่ไม่กี่ก้าว
“พลอยไพลิน?” เสียงเขานุ่ม ลึก และเรียบนิ่ง
ฉันลุกขึ้นยืน รับมือกับอาการค้างเล็กน้อย
“...สวัสดีค่ะ” ฉันพยายามตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคงที่สุด
เขายิ้มเล็กน้อย “สวัสดีครับ...ดีใจที่ได้เจอ”
เรานั่งลง พนักงานเข้ามารับออเดอร์ ฉันจิ้มสั่งสเต็กที่เป็นชื่อแรกบนเมนู เขาสั่งไวน์และเนื้อริบอายสเต็กด้วยท่าทางเคยชิน
เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี จึงตัดสินใจ…ยิงตรงก่อน
“เอ่อ…ก่อนอื่น ฉัน…ไม่ใช่พลอยไพลินค่ะ”
ภูริเงยหน้าขึ้นจากการรินไวน์พอดี แววตาของเขาไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน
“ผมรู้”
ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง “รู้…?”
“อืม” เขาพยักหน้านิ่ง ๆ สีหน้าไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย
“คนอย่างพลอยไพลินไม่มีวันยอมมาเจอผมเองหรอกครับ” เขาว่าพลางยิ้มมุมปาก ราวกับรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ฉันจะมานั่งตรงนี้ ไม่ใช่พลอยไพลินคนที่ทุกคนคิดว่าเป็นเจ้าสาวในแผน
“งั้น…ทำไมคุณถึงยังมา?” ฉันถามอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน รอยยิ้มบางคลี่ที่มุมปาก พร้อมคำตอบที่เรียบง่าย แต่ทำเอาฉันชะงักอีกครั้ง
“เพราะอยากเจอ”
สั้น...ง่าย...แต่น่ากลัวเพราะไม่มีคำขยาย
อยากเจอเพราะอะไร? เพราะเขารู้ว่าฉันไม่ใช่พลอยไพลิน? หรือเพราะอะไรที่มากกว่านั้น?
ฉันพยายามควบคุมสีหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ร้านนี้เงียบจังนะคะ”
“ผมจองไว้ทั้งชั้นครับ...ทั้งวันด้วย” เขาตอบราวกับพูดว่า ‘วันนี้อากาศดีนะ’
“...ทั้งวันเลยเหรอคะ”
“อืม ก็ไม่รู้ว่าจะคุยนานแค่ไหน”
ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะถามให้ชัดเจนตรงนี้เลย
“คุณภูริคะ...” ฉันสูดลมหายใจลึก “ทำไมคุณถึงตกลงมาดูตัวครั้งนี้คะ?”
เขามองฉันนิ่ง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะ…ยิ้มอีก
“แล้วคุณล่ะ?” เขาถามกลับแทนคำตอบ “ทำไมถึงยอมมา?”
ฉันไม่ลังเล “เพราะครอบครัวค่ะ”
เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ
“โรงสีของบ้านฉันมีปัญหา ถ้าการแต่งงานนี้จะช่วยให้มีเงินทุนหมุนเวียนกลับมา ฉันก็ยอม... และถ้าแต่งงานแล้วมันมีประโยชน์ ฉันก็จะทำค่ะ”
ภูริพยักหน้าช้า ๆ สายตาเขาดูเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างในตัวฉัน แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จนฉันไม่ทันตั้งตัว
“ว่าแต่...ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ ทำไมคุณถึงเรียกผมว่า ‘คุณภูริ’ อยู่ได้?”
“...คะ?”
“เมื่อก่อนเรียกผมว่า ‘พี่ภู’ ไม่ใช่เหรอ...น้องวี?”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนอนงง ๆ อยู่บนเตียง หัวตึ้บ ร่างปวกเปียก และโลกทั้งใบหมุนวนเบา ๆ แบบไม่จบไม่สิ้น“วี ตื่นหรือยังลูก แม่เอาซุปแก้แฮงค์มาให้”“อื้อ...เข้ามาเลยค่ะ…”ประตูเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปขิงลอยมาแตะจมูก แม่วางถาดไว้ข้างเตียง ฉันยันตัวลุกนั่งอย่างยากลำบาก“เมื่อคืน...วีกลับมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “วี...จำไม่ค่อยได้เลย”“ก็คุณภูริน่ะสิ เป็นคนอุ้มวีมาส่ง” แม่พูดเรียบ ๆ พลางยกถ้วยซุปมาให้“หา?” ฉันแทบสำลักอากาศ“ใช่ อุ้มเข้ามาส่งถึงห้องนอนเลยล่ะ” แม่ส่ายหัวเบา ๆ “ดื่มน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องรู้จักพอประมาณเข้าใจไหมลูก”ฉันพึมพำอะไรไม่เป็นภาษาก่อนจะยกซุปขึ้นซด ในหัวเริ่มมีภาพบางอย่างแวบกลับมา…ฉัน...อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นเบา ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้แค่คืบตอนนั้นฉัน...เอื้อมมือไปแตะหน้าเขา แล้วพูดว่า…“หล่อจัง… เห
วันถัดมา พี่พรมาบอกฉันแต่เช้าถึงเรื่องงานเลี้ยงบริษัทที่จะจัดเย็นนี้ ไม่ใช่งานสังสรรค์ของพนักงานทั่วไป แต่มันคืองานฉลองปิดดีลโครงการร่วมทุนมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาได้สำเร็จเมื่อไม่นานดีลใหญ่นี้หมายถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของบริษัทในปีหน้า และที่สำคัญ เป็นดีลที่ภูริเป็นคนเจรจาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบช่วงเย็น ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของลงกระเป๋า ภูริพูดกับฉันก่อนออกจากออฟฟิศว่า“คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ ถือว่าตอนนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว”ฉันพยักหน้ารับ แต่รีบบอกต่อ“แต่ขอไม่ไปกับคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย ฉันไปกับพี่พรได้ไหม?”เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเรียบ ๆ “ครับ ตามสบาย”เมื่อมาถึงร้าน ฉันนั่งกับพนักงานฝ่ายการตลาดกับแผนกบุคคล บรรยากาศสนุกและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่างจากโต๊ะของภูริที่ดูสุขุมเรียบร้อยแบบชนิดที่ฝ่ายบริหารทุกคนตรงนั้นนั่งตัวตรง พูดกันเบาๆ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ ไม่ใช่
ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม
เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ