เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ฉันกับอาทิตย์ก็แยกกันตรงทางเข้าด้านหลัง เขาหันมามองฉันราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
"ขอโทษนะ...เรื่องที่พูดไปก่อนหน้านี้ วีไม่ต้องคิดมากนะ"
ฉันเลิกคิ้ว คงหมายถึงที่เขาบอกว่าชอบฉันก่อนหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก...ฉันแค่...ทำตัวไม่ถูกน่ะ” ฉันว่าพลางส่งยิ้มจาง ๆ
อาทิตย์พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินแยกไป ฉันมองแผ่นหลังเขาที่ค่อยๆ ไกลออกไป แล้วก็หันกลับมาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
อีกสองวัน...ฉันต้องไปกินข้าวดูตัวกับภูริ
สามีในนามที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากัน
และถ้าโชคดี...ก็คงไม่ต้องเห็นกันนานนัก
ฉันกลับเข้าบ้านอย่างเงียบ ๆ แล้วเดินตรงไปยังห้องของพลอยไพลิน
ไม่ใช่ว่าฉันอยากเข้าหาเธอหรอกนะ แต่ถ้าจะไปเจอคนระดับทายาททรัพย์ไพศาลอนันต์ ฉันก็จำเป็นต้องแต่งตัวให้ไม่อับอายใคร ถึงร่างวราลีจะหน้าตาดีอยู่แล้วก็เถอะ แต่เสื้อผ้าคนใช้ในตู้ฉันตอนนี้ไม่มีชุดไหนรอดเลยสักชุด
"ขอใช้เวลาแค่สิบนาที พูดให้สุภาพหน่อยก็...ขอยืมชุดแพง ๆ ไปทำหน้าที่เจ้าสาวเธอแทนนั่นแหละ" ฉันพึมพำก่อนจะเคาะประตู
พลอยไพลินเปิดประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด เมื่อเห็นว่าเป็นฉัน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว…เป็นหงุดหงิดขั้นสุด
“แก...มีอะไร?”
“ฉันต้องไปกินข้าวกับคุณภูริในวันมะรืน ขอชุดใส่หน่อย” ฉันพูดเข้าประเด็น
“…เอ๊ะ?” เธอเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งได้ยินคำพูดแปลกประหลาด
แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็ยิ้มกว้าง…แบบน่ากลัว
“แน่ใจนะว่าจะใส่ของฉัน?”
“ก็ถ้าไม่รังเกียจให้ฉันใส่ของเธอ” ฉันยักไหล่
“งั้นเอาเลย เลือกไปเลย จะชุดไหนก็ได้”
ฉันกำลังจะประหลาดใจอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่พูดต่อ
“เพราะแค่คิดว่าคนอย่างแกต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชายหน้าตาเหมือนไจแอนท์ผสมปีศาจค้างคาวแทนฉัน ฉันก็สะใจจะตายแล้วล่ะ!”
...โอเค อันนี้สิค่อยสมเป็นเธอหน่อย
“แล้วนี่ นามบัตรของพี่ชิน ช่างแต่งหน้าประจำฉัน” เธอยื่นกระดาษเรียบหรูมาให้ “บอกชื่อฉันไป เดี๋ยวเขาลดให้...ไม่สิ เดี๋ยวฉันจ่ายให้เลย”
“ขอบใจ”
“ตามมาสิ ฉันจะให้ดูห้องเสื้อผ้าของฉัน”
ห้องเสื้อผ้าของพลอยไพลินคือภาพสะท้อนของการช้อปปิงไร้สติบนบัตรเครดิตพ่อ ขนาดห้องไม่แพ้ห้องนอนใหญ่แต่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ เรียงเป็นแถวยาวจนคิดว่าเดินเข้าโชว์รูมแบรนด์หรูในปารีส
“แกจะเลือกตัวไหนก็ได้นะ” พลอยไพลินกอดอก ยิ้มสะใจ “แต่อย่าเลือกตัวโปรดฉันล่ะ ถ้าแกใส่แล้วทำมันพัง จะต้องชดใช้ราคาตามจริง”
ฉันกวาดตามองชั้นเสื้อผ้า มีชุดเดรสเปิดไหล่ ชุดกางเกงสูทเข้ารูป ชุดผ้าไหมอิตาลีที่ยาวจนลากพื้น เอาจริง ๆ ฉันไม่มั่นใจว่าใส่แล้วจะเดินยังไงไม่ให้สะดุดตายก่อนถึงโต๊ะกินข้าว
“ชุดนี้เป็นไงบ้าง?” ฉันหยิบเดรสครีมเรียบ ๆ แต่มีลูกเล่นหน่อย ๆ ขึ้นมาดู มันไม่หวือหวาเกิน แต่ก็ไม่จืดจนเกินไป
พลอยไพลินเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบื่อ ๆ
“เอาตัวนั้นก็ได้ อย่าลืมรีดให้เรียบก่อนใส่ล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้านเราจน”
ฉันยิ้มบาง ๆ แล้วเก็บชุดใส่ถุงอย่างเบามือ
"จะคืนให้สภาพสมบูรณ์ค่ะ รับรองไม่มีรอยคราบน้ำปลาหรือกลิ่นปลาทูติดมาแน่นอน" ฉันว่า พลางยิ้มหวาน
พลอยไพลินชะงักมองฉันนิดหน่อย ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างหงุดหงิด
คืนก่อนวันนัดดูตัว ฉันนั่งอยู่กับโน้ตบุ๊กตัวเก่าที่ยังเก่งอยู่ พยายามเสิร์ชข้อมูลของ ภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์เป็นรอบที่ร้อย
ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม...บทสัมภาษณ์เชิงธุรกิจแบบยาวเหยียด ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับโปรเจกต์อสังหาฯ ใหญ่ระดับประเทศ และ...ไม่มีรูปถ่ายปัจจุบันแม้แต่ใบเดียว
นี่เขาเป็นมนุษย์จริง ๆ ไหม หรือมีพลังล่องหนในกล้อง?
รูปที่มีอยู่ก็...คือเด็กชายตัวกลมยืนถือลูกชิ้นปิ้งสามไม้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
เอาเถอะ...ฉันปลงแล้ว หน้าตาไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต
“แต่งงานงั้นเหรอ…” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางทอดสายตามองออกไปยังหน้าต่างที่มืดสนิท
คำว่า “แต่งงาน” สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ อาจมาพร้อมกับความฝันสีชมพู ความรัก การเริ่มต้นชีวิตครอบครัว หรืออะไรสักอย่างที่ดูฟู ๆ ละมุน ๆ
สำหรับฉัน...มันคือหมากตัวหนึ่ง
ฉันไม่ได้แต่งงานเพราะรัก และไม่คิดฝันจะรักตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ
มันคือดีล ข้อตกลง การแต่งงานทางการเมืองที่อีกฝ่ายคือทายาทมหาเศรษฐี ส่วนฉันคือผู้หญิงที่ไม่มีแม้แต่ตัวตนในบ้านฟังดูไม่แฟร์
แต่นี่แหละคือโลกแห่งความจริงถ้าฉันสามารถใช้การแต่งงานครั้งนี้เป็นสะพานเพื่อช่วยให้ธุรกิจของบ้านวราลีรอดพ้นวิกฤต
ถ้าฉันสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้มีเงินพอจะออกไปสร้างชีวิตของตัวเองจริง ๆงั้น…แต่งก็แต่ง
แล้วพอทุกอย่างเข้าที่ กิจการมั่นคง แน่ใจว่าแม่ได้อยู่อย่างสุขสบายและปลอดภัย ฉันจะขอลาออกจากตำแหน่ง ‘ภรรยาในนาม’ นั่นทันทีโดยไม่มีดราม่าให้เหนื่อยใจ
หย่าเงียบ ๆ เก็บเงินเล็กน้อยเป็นค่าเหนื่อย แล้วหายไปจากบ้านนี้...จากเมืองนี้
ใช้ชีวิตใหม่...แบบที่อลิสาไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ และแบบที่วราลีคนเก่าเคยฝันไว้ชีวิตธรรมดา ที่ไม่มีใครจ้องเหยียบ
ไม่มีปืนจ่อหัว ไม่มีคำดูถูกจากใครนั่นแหละ...คือเป้าหมาย
ฉันถอนหายใจเบา ๆ
อย่างไรก็ตาม ฉันเจอข้อมูลที่น่าสนใจกว่า ‘ภูริ’ เขาเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่มทรัพย์ไพศาลอนันต์ เป็นคนที่คนในวงการธุรกิจพากันยกนิ้วให้ และได้รับฉายาว่า...
‘จิ้งจอก’
ชื่อเล่นที่ไม่ใช่เพราะเขาน่ารัก แต่เพราะเขาเจ้าเล่ห์ ฉลาดหลักแหลม และอ่านเกมขาด
…พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าฉันหลุดอะไรสักอย่างให้เขาจับได้ ก็คงโดนเขากินเรียบโดยไม่ทันรู้ตัว
เอาเถอะ...เจอกันพรุ่งนี้ คุณภูริ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนอนงง ๆ อยู่บนเตียง หัวตึ้บ ร่างปวกเปียก และโลกทั้งใบหมุนวนเบา ๆ แบบไม่จบไม่สิ้น“วี ตื่นหรือยังลูก แม่เอาซุปแก้แฮงค์มาให้”“อื้อ...เข้ามาเลยค่ะ…”ประตูเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปขิงลอยมาแตะจมูก แม่วางถาดไว้ข้างเตียง ฉันยันตัวลุกนั่งอย่างยากลำบาก“เมื่อคืน...วีกลับมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “วี...จำไม่ค่อยได้เลย”“ก็คุณภูริน่ะสิ เป็นคนอุ้มวีมาส่ง” แม่พูดเรียบ ๆ พลางยกถ้วยซุปมาให้“หา?” ฉันแทบสำลักอากาศ“ใช่ อุ้มเข้ามาส่งถึงห้องนอนเลยล่ะ” แม่ส่ายหัวเบา ๆ “ดื่มน่ะแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องรู้จักพอประมาณเข้าใจไหมลูก”ฉันพึมพำอะไรไม่เป็นภาษาก่อนจะยกซุปขึ้นซด ในหัวเริ่มมีภาพบางอย่างแวบกลับมา…ฉัน...อยู่ในอ้อมแขนของเขาลืมตาขึ้นเบา ๆ เห็นใบหน้าเขาใกล้แค่คืบตอนนั้นฉัน...เอื้อมมือไปแตะหน้าเขา แล้วพูดว่า…“หล่อจัง… เห
วันถัดมา พี่พรมาบอกฉันแต่เช้าถึงเรื่องงานเลี้ยงบริษัทที่จะจัดเย็นนี้ ไม่ใช่งานสังสรรค์ของพนักงานทั่วไป แต่มันคืองานฉลองปิดดีลโครงการร่วมทุนมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่บริษัทเพิ่งเซ็นสัญญาได้สำเร็จเมื่อไม่นานดีลใหญ่นี้หมายถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ ที่จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของบริษัทในปีหน้า และที่สำคัญ เป็นดีลที่ภูริเป็นคนเจรจาด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบช่วงเย็น ระหว่างที่ฉันกำลังเก็บของลงกระเป๋า ภูริพูดกับฉันก่อนออกจากออฟฟิศว่า“คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ ถือว่าตอนนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว”ฉันพยักหน้ารับ แต่รีบบอกต่อ“แต่ขอไม่ไปกับคุณดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนจะสงสัย ฉันไปกับพี่พรได้ไหม?”เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเรียบ ๆ “ครับ ตามสบาย”เมื่อมาถึงร้าน ฉันนั่งกับพนักงานฝ่ายการตลาดกับแผนกบุคคล บรรยากาศสนุกและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ต่างจากโต๊ะของภูริที่ดูสุขุมเรียบร้อยแบบชนิดที่ฝ่ายบริหารทุกคนตรงนั้นนั่งตัวตรง พูดกันเบาๆ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสัมภาษณ์ ไม่ใช่
ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม
เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ