ชายชุดดำนอนคว่ำอยู่บนพื้น มือซ้ายเหลือแต่โคนไร้นิ้วทั้งห้า โลหิตไหลลงมาเปื้อนพื้นที่สะอาด เขาดิ้นรนเงยหน้าขึ้นคำราม "เจ้าอย่าข่มขู่ข้า เจ้าไม่มีทางรู้ว่าอาจารย์ของข้าอยู่ที่ใดเด็ดขาด!" กู้จิ่นหัวเราะเบา ๆ "อ้อ? เป็นเช่นนั้นหรือ?" เมื่อเห็นสีหน้าของกู้จิ่น ชายชุดดำเริ่มร้อนรน รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูน่าสะพรึงยิ่งขึ้น พึมพำ "เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!" "ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" กู้จิ่นมองลงมาที่เขา ค่อย ๆ กล่าว "เจ้าตั้งค่ายกลมากมายในคฤหาสน์ แขวนธงเรียกวิญญาณทั่วลาน และยังวางแท่นเรียกวิญญาณอันชั่วร้ายเช่นนั้น" "หากข้าคาดไม่ผิด เจ้าใช้วิธีเหลวไหลทั้งหมดนั้นเพื่อชุบชีวิตอาจารย์ของเจ้า และร่างของอาจารย์เจ้า คงอยู่ในคฤหาสน์นั่นกระมัง?" ใบหน้าครึ่งขวาของชายชุดดำซีดขาว ตัดกับใบหน้าครึ่งซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ดูคล้ายภาพกระจกหยินหยาง "ถูกต้อง ร่างอาจารย์ของข้าอยู่ในคฤหาสน์ แต่พวกเจ้าไม่มีวันหาเขาพบหรอก" แก้มของชายชุดดำกระตุกไม่หยุด ดูราวกับทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ เจียงซุ่ยฮวนกระซิบข้างหูกู้จิ่น "ชายชุดดำผู้นี้ดูจะมีปัญหาทางจิตนะเพคะ" กู้จิ่นพยักหน้า "คนผู
"อีกอย่าง อาจารย์เจ้าช่วยชีวิตเจ้า เจ้าใช้ชีวิตตนเองเป็นเครื่องสังเวยก็พอแล้ว ทารกพวกนั้นไม่ได้เป็นหนี้พวกเจ้า ไยต้องใช้ชีวิตของพวกเขามาชุบชีวิตอาจารย์เจ้าด้วย!""ชุบชีวิตได้!" ดวงตาของชายชุดดำแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ "ข้าเพียงแต่ต้องฆ่าทารกหญิงหนึ่งร้อยคนและทารกชายหนึ่งร้อยคน อาจารย์ของข้าก็จะฟื้นคืนชีพได้!" "พอแล้ว!" กู้จิ่นกลัวว่าชายชุดดำจะทำให้เจียงซุ่ยฮวนโกรธ จึงตวาดให้เขาหุบปาก กู้จิ่นกล่าวกับเจียงซุ่ยฮวน "เจ้ารออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าออกไปดูศพนั่น" เจียงซุ่ยฮวนรู้ว่ากู้จิ่นเป็นห่วงนาง นางเพิ่งคลอดบุตรเสร็จ จะนำศพมาในห้องนางก็ไม่เป็นมงคลนัก นางพยักหน้า "ได้" กู้จิ่นลุกขึ้น เดินไปยังข้างชายชุดดำ กระชากเชือกที่มัดตัวเขา แล้วก้าวยาว ๆ ออกไป ปู้กู่ตามออกไป ปิดประตูอย่างแน่นหนา ในลานมีผู้คนมากมาย ล้วนเป็นองครักษ์ลับของกู้จิ่น ส่วนหยิ่งเถาและคนอื่น ๆ ได้หลีกไปแล้ว องครักษ์ลับยืนล้อมเป็นวง ตรงกลางพื้นวางร่างศพชายผู้หนึ่ง บนร่างไม่มีบาดแผลชัดเจน เพียงแต่ใบหน้าบวมม่วง จนมองไม่ออกว่าเป็นใครและอายุเท่าใด กู้จิ่นโยนชายชุดดำลงพื้น "อาจารย์ของเจ้าตายได้อย่างไร?" ชายชุดดำยังไม่อยาก
นักพรตเหยียนซวีผู้นี้ ก็คือคนที่ทำให้เจียงซุ่ยฮวนต้องตกระกำลำบากในคฤหาสน์ชนบทตั้งแต่แรกเกิด กู้จิ่นเคยส่งคนไปตามหานักพรตเหยียนซวีผู้นี้ แต่เขาเหมือนหายวับไปจากโลก หาเท่าไรก็ไม่พบ กู้จิ่นเกือบสงสัยว่าเขาเป็นเพียงคนที่แม่นมแต่งเรื่องขึ้นมา แสงเย็นวาบผ่าน กู้จิ่นวางกระบี่ในมือลง ชี้ไปที่ชายชุดดำ "จงบอกทุกเรื่องเกี่ยวกับนักพรตเหยียนซวีให้ข้า"ชายชุดดำแม้จะไม่เต็มใจยิ่งนัก แต่ก็ยอมสงบลงเพื่ออาจารย์ "ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของนักพรตเหยียนซวีนัก รู้เพียงว่าเขาดูอายุราวเจ็ดแปดสิบปี รอบรู้ยิ่งนัก ทั้งเรื่องบนสวรรค์และภูมิศาสตร์ เก่งกาจจนแทบไม่เหมือนมนุษย์" กู้จิ่นจ้องด้วยสายตาคมกริบ "นอกจากนี้เล่า? เจ้ารู้จักเขาได้อย่างไร?" "สามเดือนก่อน อาจารย์ของข้าลงเขาไปซื้อสุราแล้วถูกวางยาพิษ ข้าตระเวนค้นหาคนร้ายในเมืองหลวง นักพรตเหยียนซวีก็ปรากฏตัวต่อหน้าข้าในยามนั้น" ดวงตาของชายชุดดำเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ระลึกว่า "เขาบอกข้าว่า หากใช้เลือดของทารกชายหนึ่งร้อยคนและทารกหญิงหนึ่งร้อยคนทำพิธี อาจารย์ของข้าก็จะฟื้นคืนชีพ เขาพาข้ากับอาจารย์มาที่คฤหาสน์ชนบทนี้ หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็หายตัวไป" "แค่นั้น
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ทุกคนต่างมองศพที่อยู่บนพื้น ฮั่วเซิงตื่นเต้นพยายามหันหน้าไป "ศพอาจารย์ของข้าเป็นอะไรไป" เขาดิ้นรนอย่างรุนแรง ปู้กู้จึงต้องแบกเขาหยุดลง แล้วถอยหลังออกมาเพื่อให้เขาเห็นได้ชัดเจน กู้จิ่นขมวดคิ้วถาม "มีปัญหาอะไรกับศพหรือ" องครักษ์ลับข้าง ๆ ชี้ไปที่คอศพพลางกล่าว "ตรงนี้ผิดปกติ มีร่องรอยของการปลอมตัว" "ปลอมตัว?" กู้จิ่นย่อตัวลง เริ่มตรวจสอบศพ แม้ศพนี้จะตายมาสามเดือนแล้ว แต่ฮั่วเซิงได้เก็บรักษาไว้อย่างดี ดูราวกับเพิ่งเสียชีวิต ฮั่วเซิงตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง "เป็นไปไม่ได้ แม้อาจารย์ของข้าจะมีวรยุทธ์ดี แต่ไม่รู้วิชาปลอมตัว จะมีร่องรอยปลอมตัวได้อย่างไร" "เสียงดังเกินไปแล้ว" กู้จิ่นหันกลับมามอง สายตาเต็มไปด้วยความรำคาญ ปู้กู้รีบกดจุดใบ้ของฮั่วเซิง ลานบ้านจึงเงียบลงทันที กู้จิ่นตรวจสอบคอศพต่อไป ไม่นานก็พบความผิดปกติ เขายื่นมือไปใต้หูศพ จับผิวหนังใต้หูชิ้นเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงออกมา ศพตายมานานเช่นนั้น แม้จะเก็บรักษาไว้ดีแค่ไหน หากใช้แรงมากเกินไป ผิวหนังแท้ก็อาจจะถูกดึงออกมาด้วย เขาจึงดึงอย่างระมัดระวัง หลังจากดึงผิวหนังปลอมชั้นนอกของศพออก ใบหน้าของศพเปลี่
กู้จิ่นบีบสันจมูก สูดหายใจลึก ๆ เสียงของฮั่วเซิงทำให้เขาปวดศีรษะ หากไม่ใช่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงนักพรตเหยียนซวีและองค์หญิงจิ่นซวน เขาแทบอยากฆ่าฮั่วเซิงทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด "จับกุมเขาเข้าคุกที่จวนอ๋องและเฝ้าดูอย่างเข้มงวด" กู้จิ่นมองไปที่ปู้กู้ หยุดครู่หนึ่งแล้วเสริมอีกประโยค "จัดการบาดแผลของเขาอย่างง่าย ๆ แต่อย่าปลดจุดของเขา" หลังจากปู้กู้แบกฮั่วเซิงออกไป กู้จิ่นก้มตัวลง แปะหน้ากากคนกลับบนใบหน้าศพ ใบหน้าของจิ่นซวนกลับกลายเป็นชายวัยห้าสิบปีอีกครั้ง เขายืดตัวขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น "นำศพนี้กลับไปวางที่เดิม หากมีคนถาม ก็บอกว่าพวกเจ้าไม่เคยพบศพนี้มาก่อน" "พ่ะย่ะค่ะ!" "อีกอย่าง เชิญอธิบดีกรมอาญามา ข้าจะพาอธิบดีกรมอาญาไปที่ไร่นาด้วยตนเอง" ... ... กู้จิ่นหมุนตัวกลับห้อง เจียงซุ่ยฮวนรออยู่จนเริ่มง่วงแล้ว นางหาวพลางถาม "สอบสวนได้ความแล้วหรือ" "เรื่องนี้ยุ่งยากอยู่บ้าง" กู้จิ่นเดินมาที่ขอบเตียง จัดผ้าห่มของนาง แล้วเล่าเรื่องของนักพรตเหยียนซวีออกมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไป "นักพรตเหยียนซวีอีกแล้วหรือ" นางกุมแขนกู้จิ่น กล่าวว่า "ตอนที่กงซุนซวีและจางรั่วรั่วเพิ่งคลอด นักพรต
"ใช่" กู้จิ่นพยักหน้า "บนศพมีน้ำยาพิเศษ เก็บรักษาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเสียชีวิตเมื่อใด" เจียงซุ่ยฮวนพึมพำ "แม้ฮองเฮาจะมีบุตรสามคน แต่ที่เป็นบุตรแท้ ๆ มีเพียงองค์ชายรัชทายาทและองค์หญิงจิ่นซวน องค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปแล้ว บัดนี้องค์หญิงจิ่นซวนก็เกิดเรื่อง ฮองเฮาคงทนไม่ไหวแน่" และที่สำคัญกว่านั้น ศพขององค์หญิงจิ่นซวนถูกพบในบ้านของนาง! ตอนที่องค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์ นางก็อยู่ในที่เกิดเหตุ ศพขององค์หญิงจิ่นซวนก็ปรากฏในลานบ้านของนาง นางเริ่มสงสัยว่าตนเองคงเคราะห์ร้ายขัดแย้งกับครอบครัวฮองเฮากระมัง หากฮองเฮาทรงทราบเรื่องนี้ คงโกรธจนอยากจับตัวนางไปเฉือนเนื้อเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นแน่ ๆ เจียงซุ่ยฮวนสะท้านโดยไม่รู้ตัว นางเปิดผ้าห่มเตรียมลงจากเตียง "ไม่ได้ ข้าต้องย้ายบ้านก่อน" กู้จิ่นกั้นนางไว้ ห่มผ้าให้นางดี ๆ "เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าสั่งให้คนนำศพกลับไปที่เดิมแล้ว และให้คนไปเชิญอธิบดีกรมอาญามา" "ให้อธิบดีกรมอาญาเป็นผู้พบศพของจิ่นซวน เรื่องนี้ก็จะไม่เกี่ยวพันถึงเจ้า" เมื่อได้ฟังคำพูดของกู้จิ่น เจียงซุ่ยฮวนจึงวางใจลง "ถ้าเช่นนั้นก็ดี" "ก๊อก ๆ ๆ" มีเสียงเคาะประตูดังข
ฉู่เฉินรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม ศิษย์ของเขากลายเป็นพระชายาของพระเชษฐา เช่นนั้นเจ้าศิษย์หลานตัวน้อยก็คือ...น้องชายร่วมบิดาของเขา? สวรรค์เอ๋ย! เขาเดินโซเซไปหาเก้าอี้นั่ง หายใจเข้าลึก ๆ "ไม่ไหวแล้ว รู้สึกหน้าอกแน่น หายใจไม่ออก วิงเวียนศีรษะพะงาบพะงอน" เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะพรืด "อาจารย์ อย่าคิดวกวนไปมาเลย เรียกหม่อมฉันว่าเจ้าเก้าเหมือนเดิมก็พอ" ฉู่เฉินเริ่มตั้งสติได้ จ้องเจียงซุ่ยฮวน "เจ้าไม่ได้บอกว่าไม่รู้บิดาของเด็กเป็นใครหรอกหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนผงกศีรษะไปทางกู้จิ่น "เอ้า เพิ่งจะจำกันได้ไม่ใช่หรือ?" ฉู่เฉินซักไซ้ไม่เลิก "เมื่อวานยังไม่รู้ แต่เด็กเพิ่งคลอด เจ้าก็จำได้แล้ว?" เขาชำเลืองมองกู้จิ่นแวบหนึ่ง "จะไม่ใช่เพราะกลัวว่าเด็กไม่มีพ่อจะถูกรังแก จึงหาคนมารับเป็นพ่อสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกนะ?" "จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาคือบิดาที่แท้จริงของเด็ก" เจียงซุ่ยฮวนหยิบแผ่นหยก "เห็นนี่หรือไม่? สิ่งยืนยันความรัก! ขอบคุณแผ่นหยกนี้ที่ทำให้หม่อมฉันจำได้" "หืม?" ฉู่เฉินหรี่ตามอง พิจารณาแผ่นหยกในมือเจียงซุ่ยฮวนอย่างละเอียด เมื่อเห็นชัดก็เปลี่ยนสีหน้าทันที "นั่นมันแผ่นหยกที่ข้าพบในหีบสมบัติต่างหาก! ทำไม
ฉู่เฉินตอบตกลงโดยไม่ลังเล นั่นมันหนึ่งแสนตำลึงนะ! แลกเข็มทองขนนกหนึ่งชุด เขากำไรเต็ม ๆ เขาหยิบเข็มทองขนนกจากอกเสื้อ ยิ้มส่งให้กู้จิ่น "พระเชษฐาโปรดเก็บไว้" "อืม" กู้จิ่นรับเข็มทองขนนก หยิบตั๋วเงินจากแขนเสื้อมอบให้ "นี่คือตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึง โรงรับแลกเงินทุกแห่งในเมืองหลวงรับแลกทั้งสิ้น" เขารับตั๋วเงินทันที ถามลอย ๆ "โรงรับแลกเงินที่เจียงหนานแลกได้หรือไม่?" "เจ้าจะไปเจียงหนานหรือ?" กู้จิ่นเลิกคิ้ว "เรื่องนี้เจ้ายังไม่ได้บอกโจวกุ้ยเฟย จำเป็นต้องให้หม่อมฉันช่วยบอกหรือไม่?" ฉู่เฉินแอบหนีออกมาเพื่อหลบการดูตัว จะให้กู้จิ่นไปบอกโจวกุ้ยเฟยได้อย่างไร เขากุมตั๋วเงินแน่นวิ่งออกไป "ไม่ต้องแล้ว! ข้ามีธุระต้องไปก่อน พวกเจ้าค่อย ๆ คุยกันเถิด!" เจียงซุ่ยฮวนมองเงาของฉู่เฉินพลางหัวเราะสองสามที "ท่านหาจุดอ่อนของอาจารย์ของหม่อมฉันเจอเสียแล้ว" กู้จิ่นวางเข็มทองขนนกลงในมือเจียงซุ่ยฮวน "เจ้าลองทายสิว่าจุดอ่อนของข้าคืออะไร?" เจียงซุ่ยฮวนยิ้มรับเข็มทองขนนก ชี้ไปที่เสี่ยวถังหยวนในอ้อมแขนเขา "คือเขาไงเพคะ!" "ใช่ เขานั่นแหละ" กู้จิ่นพยักหน้า แล้วกล่าวต่อ "แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือเจ้า" เจียงซุ่ย
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ
"แล้วเขาจะกลับมาเมื่อใด" "มิทราบแน่ชัด บางทีเจ้านายของพวกเราก็มาแทบทุกวัน บางทีก็ครึ่งเดือนยังไม่เห็นหน้าเลยสักครั้ง" "เช่นนั้นก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก พอเพียงก้าวออกไป แสงจันทราอันเยือกเย็นก็ราดรดลงมาบนร่างของนาง นางแหงนหน้ามองราตรี คิดว่ายามถูกจับตัวไป ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง แต่บัดนี้ราตรีกาลยังดำมืด แสดงว่าเวลาผ่านไปอย่างน้อยหนึ่งวันแล้ว ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วเจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจ ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น... กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วแต่เมื่อมองไปรอบกาย นางพบว่าตนอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมา จึงไม่รู้ว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด คุณหนู ท่านหลงทางอยู่หรือ" เสียงที่ลึกมีเสน่ห์แว่วมาจากเบื้องหลัง เจียงซุ่ยฮวนแข็งขืนไปทั้งร่าง หันกลับไปกล่าวว่า "ไม่ใช่" เฉียนจิงอี๋มีแววตาเปื้อนยิ้ม "หากท่านจำทางมิได้ ข้าอาจพาท่านกลับก็ได้นะ" "ไม่จำเป็น ข้าจำทางได้" เจียงซุ่ยฮวนหมุนกายไปทางขวา พลางสังเกตความเคลื่อนไหวเบื้องหลังอยู่ไม่วาย เฉียนจิงอี๋กลับติดตามมา พูดเสียงเนิบช้า "คุณหนู หากเ
บนเวทีประลอง ชายร่างยักษ์พุ่งเข้าใส่เจียงซุ่ยฮวนพร้อมโบกหมัดคำรามลั่น “นังหนู! วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้ จำไว้ ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง! เตรียมตัวตายเถอะ!”ทว่าเจียงซุ่ยฮวนหาได้หลบหนีไม่ นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจวบจนชายผู้นั้นเข้ามาถึงตัว นางจึงเบี่ยงศีรษะหลบหมัด แล้วฟาดสันมือเข้าใส่ลูกกระเดือกของเขาเต็มแรงชายร่างใหญ่เบิกปากโพลง ลิ้นแทบจะแลบออกมาเจียงซุ่ยฮวนไม่รอให้เขาตั้งหลัก หมัดถัดไปของนางฟาดเข้าใส่ขมับด้านขวาอย่างแม่นยำดวงตาของชายร่างยักษ์เริ่มเลื่อนลอย ลำตัวทรุดลงโครมใหญ่จนเวทีสั่นสะเทือนทั่วทั้งลานประลองเงียบงันดั่งต้องมนต์ ผู้ชมล้วนตะลึงงัน ต่อให้ผ่านการชมศึกมานับครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนสตรีร่างบางผู้หนึ่งที่ดูเหมือนไร้ทางสู้ กลับพลิกสถานการณ์คว้าชัยสองครั้งติด แถมยังง่ายดายนัก หากไม่เห็นกับตา ใครเล่าจะเชื่อ!หลังจากความตะลึงผ่านพ้น ก็กลายเป็นเสียงฮือฮาและโกลาหล สำหรับผู้ชมในที่นี้แล้ว ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญ ขอเพียงได้ชมฉากโลดโผนตื่นเต้นเลือดสูบฉีดก็พอใจนักท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เจียงซุ่ยฮวนหมุนข้อมือเบา ๆ วิชายุทธ์ที่นางร่ำเรียนมา
นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ยินมา เจียงซุ่ยฮวนยังมีข้อสงสัยในใจอยู่หนึ่งประการ นางลูบใบหน้าตนเองเบา ๆ พลางนึกในใจ “ข้าหน้าตาขี้ริ้วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่ม ทว่ากลับรู้สึก...ไม่เหมือนหนังแท้ ๆ ของมนุษย์เจียงซุ่ยฮวนเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณหลังใบหูอย่างละเอียด และแล้ว...ก็พบปุ่มนูนเล็ก ๆ อยู่จริงหนังศีรษะของนางชาวาบ แท้จริงแล้วมีผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้บนใบหน้าของนางนี่เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายร่างใหญ่จึงพูดจาดูแคลนใบหน้านางนักเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าบนใบหน้านางมี "ผิวปลอม" แปะทับอยู่ เจียงซุ่ยฮวนก็รู้สึกขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว นางพยายามจะลอกหน้ากากออก แต่เพิ่งจะลอกได้เพียงนิด กลับเจ็บแสบจนราวกับหนังแท้ของตนกำลังจะถูกฉีกติดไปด้วยของเหลวอุ่น ๆ หยดลงบนหลังมือ นางก้มลงมอง เห็นหยดโลหิตสีแดงสดกำลังไหลซึมอย่างช้า ๆดูท่าหน้ากากหนังกับผิวหนังของนางติดกันแน่นเกินไป หากฝืนลอกออกเกรงว่าจะทำร้ายใบหน้าของตนเองเสียมากกว่าเจียงซุ่ยฮวนจึงใช้ชายแขนเสื้อซับเลือดเบา ๆ โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ เลือดหยุดไหลในเวลาไม่นานชายร่างยักษ์เบิกตากว้าง พยายามมองนางจากเบื้องล่าง “คำถามข
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน