ฉู่เฉินยิ้มด้วยความดีใจ “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการได้เลย เจ้าวางใจเถิด”“อยู่บ้านทุกวันจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้ออกมาทำงานสักที!”เขายกเก้าอี้เตี้ยออกมานั่งเฝ้าหน้าประตู ผ่านไปไม่นาน ชายชราผู้พูดด้วยสำเนียงแปร่งก็เดินเข้ามาถามว่า “ที่นี่กำลังรับคนทำงานใช่หรือไม่”“อะไรนะ” ฉู่เฉินนึกอยู่พักหนึ่งก่อนโบกมือปฏิเสธ “ลุง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะหารับคน”ชายชราหันหน้ามาขมวดคิ้ว “อ้าว ที่หน้าประตูเขียนไว้ไม่ใช่หรือ กำลังรับสมัครคนงาน เดือนละสามสิบตำลึง”คราวนี้ฉู่เฉินเข้าใจแล้ว จึงพยักหน้า “ใช่แล้วลุง ที่นี่กำลังรับสมัครคนงาน ท่านจะให้ลูกหลานมาสมัครหรือ”“ข้าดูไม่เหมาะสมหรือ” ชายชราถามกลับ“ท่านงั้นหรือ” ฉู่เฉินพิจารณาอีกฝ่าย ชุดที่ชายชราสวมใส่นั้นบางและขาด แม้จะซักอย่างสะอาดสะอ้าน แต่ก็ยังดูออกว่าเขายากจนฉู่เฉินเริ่มสงสัย แม้ในเมืองหลวงแม้จะมีคนยากจนอยู่บ้าง แต่ก็มักอยู่กันอีกฟากหนึ่งของเมือง แทบไม่มาถึงย่านนี้เลยอีกทั้งสำเนียงพูดของชายชราก็ไม่ใช่คนเมืองหลวง แล้วคนแก่ป่านนี้จะมาสมัครงานถึงที่นี่ทำไมกันด้วยความสงสัย เขาจึงถามว่า “ลุงอายุเท่าไหร่แล้ว มาจากที่ใด”ชายชราไอ
เจียงซุ่ยฮวนเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวเบา ๆ ว่า “ใช่”เจียงอวี่เม้มริมฝีปาก ไม่กล่าวอันใด ดวงตาฉายแววหลากหลายอารมณ์ ทั้งรู้สึกผิด เสียใจ และอับอายเจียงซุ่ยฮวนนึกในใจ ตนกับเจ้าของร่างเดิมเกิดวันเดียวกัน เจียงอวี่ตกใจเช่นนี้ แสดงว่าเขาไม่รู้วันเกิดของเจ้าของร่างเดิม หรือไม่ก็ลืมไปเสียแล้ว“น้องสาว ข้า...” เจียงอวี่ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว แต่กลับหยุดลง ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาวันนี้เขามาเยี่ยมเสี่ยวถังหยวน นำของขวัญมากมายติดมือมา แต่กลับไม่มีสักชิ้นที่เป็นของเจียงซุ่ยฮวนตั้งแต่เด็กจนโต เจียงเม่ยเอ๋อร์มักมาทวงของขวัญล่วงหน้าหลายวัน ทว่าเจียงซุ่ยฮวนกลับเงียบงันราวกับไม่เคยต้องการสิ่งใดเลยทุกปีในวันนี้ จวนโหวมักจัดงานวันเกิดให้เจียงเม่ยเอ๋อร์แม้เจียงเม่ยเอ๋อร์กับเจียงซุ่ยฮวนจะเกิดวันเดียวกัน แต่ผู้คนกลับยึดติดว่ามีเพียงเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่สมควรได้รับการฉลอง จนมองข้ามเจียงซุ่ยฮวนไปอย่างสิ้นเชิงนานวันเข้า เจียงอวี่ก็ลืมสนิทไปว่าวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเจียงซุ่ยฮวนเช่นกันเขาไม่กล้ามองตาเจียงซุ่ยฮวน ก้มหน้าเดินไปทางประตู “น้องสาว รอข้าสักครู่ ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยเรียก “ห
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจทราบได้...ชู่วว! ระวังจะมีคนเจตนาไม่ดีได้ยินเข้า หากถูกฟ้องร้องขึ้นมา คงยุ่งยากนัก”ด้านนอกเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงผู้คนพูดขึ้นอีกว่า “พวกเจ้าจำได้หรือไม่ ในพิธีบวงสรวงใหญ่ครั้งก่อน ราชครูได้ทำนายไว้ว่าเป็นลางร้าย”“จำได้สิ ตอนนั้นผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก โชคยังดีที่ท่านราชครูกล่าวว่าจะคลี่คลายภายในหนึ่งเดือน ทุกคนจึงค่อยเบาใจลง”“ตอนนี้ก็ใกล้จะครบกำหนดเดือนหนึ่งแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอีกเจ็ดวันจะเสด็จไปยังหอบูชาฟ้าอีกครั้ง เพื่อสะสางลางร้าย และประกอบพิธีฝังฮงเฮาอย่างสมเกียรติ”“……”เสียงสนทนาด้านนอกประตูค่อย ๆ เงียบลง เจียงซุ่ยฮวนนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงลุกไปเปิดประตูออกนับแต่กู้จิ่นจากไป ก็ไม่มีผู้ใดเล่าเรื่องราวในวังให้นางทราบอีกแล้ว แม้ชางอี้จะรู้ แต่ก็มักยุ่งจนไม่มีเวลามาหานางดังนั้น แหล่งข่าวใหม่ของนางจึงกลายเป็นบรรดาลูกค้าที่ร้านหรงเยว่เก๋อลูกค้าเหล่านี้ล้วนเป็นฮูหยินของขุนนาง ข้อมูลที่พวกนางพูดจึงเชื่อถือได้ถึงแปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วนพอถึงยามเที่ยง เจียงซุ่ยฮวนก็เอนตัวบนนั่งบนเก้าอี้ ขบคิดเรื่องที่ได้ยินมาไยฝ่าบาทจึงส่งฉู่เจวี๋ยกับฉู่ชิวไปเมื
ครานั้นกู้จิ่นจากไปพร้อมกับชางเอ้อร์ ทิ้งให้ชางอี้อยู่ที่เมืองหลวงไม่นานนัก ชางอี้ก็มาปรากฏตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวน "พระชายามีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"นางเอ่ยว่า "ข้าได้รับของสิ่งหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับกู้จิ่น เจ้าให้คนส่งไปถึงมือเขาได้หรือไม่"ชางอี้ตอบว่า "ได้พ่ะย่ะค่ะ หากเร่งม้าให้เต็มกำลังก็ใช้เวลาเพียงสิบวันก็ถึงพระหัตถ์ท่านอ๋องแล้ว""เช่นนั้นก็ดีนัก" เจียงซุ่ยฮวนแย้มยิ้มกล่าวว่า "ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าส่งไปพร้อมกันเลย""พะย่ะค่ะ" ชางอี้รับคำอย่างนอบน้อมเจียงซุ่ยฮวนจรดพู่กัน เขียนจดหมายบรรยายที่มาของจี้หยก และถ้อยคำคิดถึงมากมายนางบรรจุจดหมายและจี้หยกไว้ในกล่องไม้ ใส่ยาห้ามเลือดอีกสองขวด แล้วมอบให้ชางอี้นางกำชับว่า "ต้องส่งถึงมือกู้จิ่นให้ได้ อย่าให้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย""พระชายาวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ!"หลังชางอี้จากไป ร่างที่ตึงเครียดของเจียงซุ่ยฮวนจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย นางโน้มกายเบา ๆ เป่าเทียนลงทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบงันดังเดิมพอรุ่งสาง เจียงซุ่ยฮวนก็พาเสี่ยวถังหยวนมาที่ร้านหรงเยว่เก๋อแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของนาง แต่ก็หาได้ต่างจากวันปกติไม่
“ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับข้าหรือไม่ ข้าก็จะทำดีต่อเจ้าเป็นเท่าทวีคูณ!”แววตาและน้ำเสียงของเขาจริงใจนัก จนเจียงซุ่ยฮวนมองออกว่าเขาพูดจากใจจริง นางจึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า “ในภายภาคหน้า หากข้าขัดแย้งกับผู้ใด เจ้าจะอยู่ข้างข้าหรือไม่”“แน่นอนอยู่แล้ว” เขาตอบโดยไม่ต้องไตร่ตรอง “เจ้าคือน้องสาวของข้า ข้าย่อมอยู่ข้างเจ้าเป็นธรรมดา!”“ดี” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าเบา ๆ “ข้าจะบอกเจ้าว่าบิดาของเสี่ยวถังหยวนคือผู้ใด แต่เจ้าต้องปิดเป็นความลับ”เจียงอวี่กล่าวว่า “ข้า เจียงอวี่ ขอสัตย์สาบานต่อฟ้าว่าจะไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด หากข้าผิดคำสาบาน ก็ขอให้ข้าตายใต้คมดาบของศัตรู!”คำสาบานนี้หนักหนานัก เจียงซุ่ยฮวนเชื่อว่าเขาเป็นคนรักษาสัจจะ นางจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “บิดาของเสี่ยวถังหยวนคือ... องค์ชายเป่ยโม่...กู้จิ่น”เขานิ่งงันไปครู่ใหญ่ ไม่อาจเรียกสติกลับคืนมาได้เจียงซุ่ยฮวนหาได้ประหลาดใจไม่ นางให้แม่นมพาเสี่ยวถังหยวนกลับเข้าไปราวหนึ่งก้านธูปผ่านไป เจียงอวี่จึงได้สติ พลางถามด้วยความไม่เชื่อว่า “เป็น...องค์ชายเป่ยโม่เช่นนั้นหรือ! พวกเจ้าคบหากันตั้งแต่เมื่อใด”“เอ่อ…” เจียงซุ่ยฮวนลูบจมูกเบา ๆ “เรื่องมันย
เจียงซุ่ยฮวนเม้มริมฝีปากแน่น อดกลั้นความรู้สึกอยากสบถออกมาเต็มที่ความเงียบงันประหลาดพลันปกคลุมทั่วบริเวณภาพวาดสีเหลืองซีดตกอยู่ข้างเท้าเจียงอวี่ เด็กหญิงในภาพยังดูอ่อนวัย แต่กลับคล้ายเสี่ยวถังหยวนเหลือเกินเจียงซุ่ยฮวนก้มมองภาพอย่างเร็ว ๆ เดิมนางคิดว่าเสี่ยวถังหยวนเหมือนกู้จิ่น บัดนี้นางกลับเห็นว่าคล้ายตัวนางในวัยเยาว์ยิ่งกว่าหากว่าลักษณะท่าทางและอารมณ์กลับละม้ายกู้จิ่นอย่างมากเจียงอวี่เห็นนางเงียบไป ก็นึกว่านางยอมรับในใจ จึงกล่าวอย่างเจ็บปวดว่า “น้องสาว ไยเจ้ามิเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังเล่า”“หากท่านพ่อท่านแม่ทราบว่าเจ้าตั้งครรภ์ เกรงว่าคงไม่ตัดขาดเจ้าดังเช่นที่ผ่านมาแน่”นางหัวเราะเยาะ “ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่ใยดีข้า แล้วจะสนใจบุตรในครรภ์ข้าอย่างนั้นหรือ”เจียงอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าฉู่เจวี๋ยนั่นมันชั่ว! เจ้าคลอดลูกของมัน แต่มันกลับไม่เหลียวแลเจ้าเลย สารเลวนัก!”เจียงซุ่ยฮวนตบหน้าผากตนเองด้วยฝ่ามือ กล่าวอย่างจนใจ “ใครว่าบุตรของข้าเป็นของฉู่เจวี๋ย เขาคู่ควรหรือ”“หา!” เจียงอวี่ถึงกับชะงัก ถามกลับอย่างสับสน “เช่นนั้นเป็นของผู้ใดกันแน่”“เจ้าจะรู้