LOGINเขา 'มู่หรงอวิ๋นเฟิ่ง' บุรุษผู้ซึ่งถูกคนรักและถูกในตระกูลทอดทิ้ง นาง 'โจวจินเซวียน' หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังหนีเอาชีวิตรอด เพราะแผนที่สมบัติในสุสานโบราณทำให้หญิงสาวถูกตามล่าจนพลัดหลงกับบิดา เคราะห์ซ้ำกรรมซัดทำให้นางกับเขาพบกัน นางจำต้องรับรู้ความเจ็บปวดของเขา ผ่านตราบาปที่เขายัดเยียดให้ นับจากวันนั้นชีวิตของเขาถูกด้ายแดงผูกไว้กับนาง ชีวิตของนางถูกดึงเข้าสู่วังวนแห่งความวุ่นวาย ชั่วชีวิตทั้งสองคนจึงไม่อาจแยกจาก....
View Moreขบวนรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่บนอันแสนขรุขระอย่างรีบเร่ง ทำให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นพร้อมวิ่งหนีอย่างลุกลี้ลุกลน เหล่านกน้อยบินหวือออกไปทุกทิศทางเพราะความหวาดหวั่น เช่นเดียวกันกับใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในขบวนรถม้า พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบทิศอย่างหวาดระแวง
เสียงฝีเท้าม้าซึ่งตามหลังมาส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขายิ่งเผือดสี คนบังคับรถม้าหวดแส้ไปยังม้าสองตัวที่ผูกยืดเข้ากับรถม้า พวกมันเร่งฝีเท้าขึ้นอีกตามแรงหวดกระนั้นกลับยังคงไม่เร็วดังใจ
เสียงตะโกนกู่ร้องด้านหลังทำให้คนในขบวนรถม้าแตกตื่น คนคุ้มกันส่วนหนึ่งหันหลังกลับไปยิงธนูอีกส่วนก็เตรียมพร้อมรับมือผู้ที่ไล่ตามมา
รถม้าคันที่อยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ ชะลอความเร็วกระทั่งจอดแน่นิ่ง ใบหน้านิ่งเฉยของบุรุษวัยกลางคนโผล่ออกมาจากม่านรถม้า ชะโงกออกไปมองไปยังรถม้าอีกคันข้างหน้า
“พวกเจ้าคุ้มเซวียนเอ๋อร์ด้วย ข้าขอฝากบุตรสาวของข้าด้วย”
“ขอรับท่านอาจารย์โจว” ผู้คุ้มกันสามคนรับคำเสียงหนักแน่นก่อนควบม้าตามรถม้าอีกคันไป ส่วนที่เหลือหันกลับไปถ่วงเวลาเหล่ามือสังหารในชุดสีดำซึ่งกำลังใกล้เข้ามา
“ท่านพ่อ!” เสียงสตรีนางหนึ่งร้องเรียก กระนั้นโจวอวี้กลับก้าวลงจากรถม้าช้าๆ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
“ท่านต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ท่านเองตระหนักดีว่าจะอย่างไรก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือข้า เหตุใดต้องดิ้นรนจนสูญเสียเลือดเนื้อของผู้คน”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นทำให้โจวอวี้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายช้าๆ “เหวินอู่โหว ข้าเกรงว่าประโยคนี้ท่านสมควรเก็บเอาไว้ใคร่ครวญเองเห็นจะถูก ท่านก่อกบฏทำให้ชาวบ้านมากมายต้องเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า เพียงเพื่อตอบสนองความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนเอง คิดว่าการกระทำของท่านถูกต้องแล้วหรือ”
“ท่านอาจารย์โจว ลูกไม้ของท่านหาใช้ได้ผลกับข้าไม่ ท่านก็ตามข้ามาแต่โดยดีเถิด” เหวินอู่โหวส่งสัญญาณให้คนของตนติดตามรถม้าอีกคันไปเงียบๆ
“ได้ยินว่าบุตรสาวของท่านอายุสิบห้าก็เรียนรู้ทุกอย่างมาจากท่านจนหมด อีกทั้งยังเป็นโฉมสะคราญที่เพียบพร้อมในทุกด้าน นางยังไม่มีคู่หมายมิใช่หรือ ข้าเพียงใคร่จะเชิญท่านกับนางไปเป็นแขกเท่านั้น เหตุใดต้องทำให้เรื่องวุ่นวายถึงเพียงนี้”
น้ำเสียงอบอุ่นและสุภาพอ่อนโยนหาได้ทำให้โจวอวี้หลงเชื่อ ตรงกันข้ามเขากลับมองอีกฝ่ายด้วยดวงตารังเกียจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงในยศและอำนาจในตัวของเหวินอู่โหวผู้นี้ เขาไหนเลยจะไม่อาจมองเห็น กระนั้นเขาก็ยังคงไว้ซึ่งท่าทีสุภาพ
“หากใคร่จะเชิญข้ากับบุตรสาวไปเป็นแขก เหตุใดต้องนำเหล่ามือสังหารมามากมายเพียงนี้เล่า การกระทำของท่านโหวช่างย้อนแย้งกันเหลือเกิน ช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“เชิญ!” เหวินอู่โหวดวงตาวาววับ เขาผายมือไปยังด้านหลังซึ่งมีรถม้าของเขาเพิ่งจะวิ่งมาจอด ท่าทีสุภาพของเขาหายวับกระทั่งเข้ามาแทนที่ด้วยท่าทีข่มขู่ ดวงตาเรียบเฉยของโจวอวี้ยิ่งทำให้เขาเดือดดาล กระนั้นก็ไม่อาจลงมือกับอีกฝ่ายได้
ในใจได้แต่ครุ่นคิด...หากเขาได้ในสิ่งที่ต้องการก็อย่าหวังว่าเขาจะปรานี!!!
ในยามพลบค่ำชายป่าเมืองอันอี้ซึ่งติดกับเมืองลั่วหยาง เงาร่างเล็กของสตรีสองนางกำลังหลบเร้นไปตามแนวพุ่มไม้ เสื้อผ้าสีเทาตุ่นเนื้อผ้าหยาบกระด้างบนกายของทั้งสอง มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่กี่อีแปะ
ตามเนื้อตัวมอมแมมสกปรกอีกทั้งผมเผ้ารุงรัง สายตาหวาดหวั่นและท่าทีหวาดระแวงราวกำลังหลบหนีบางสิ่ง ทั้งสองนางหลบเร้นเข้าไปในกลุ่มผู้คนที่กำลังอพยพหนีสงครามของแคว้นเว่ย ซึ่งเหวินอู่โหวเป็นผู้นำก่อกบฏ
แม้ในยามนี้องค์ชายห้าเว่ยหย่วนฉีและแม่ทัพมู่หรงเก๋อจะยกทัพมาปราบกบฏ แต่การปราบปรามกบฏในครั้งนี้ ชาวเมืองอันอี้มากมายต่างก็ได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า หลายครอบครัวต้องสูญเสีย หลายครอบครัวจำต้องย้ายถิ่นฐาน หลายครอบครัวต้องพลัดพราก
กระนั้นราวกับนี่ยังไม่เกิดความเสียหายมากพอ กลุ่มโจรที่หลบเร้นในป่ากลับรอซุ่มดักชิงปล้นฆ่า สตรีที่เดินทางเพียงลำพังถูกกระทำย่ำยี หลายคนถูกฆ่าแล้วทิ้งศพเอาไว้เป็นที่น่าเวทนา หลายคนแม้จะเดินทางมากับครอบครัวก็ยังไม่อาจปกป้องตัวเอง
อันว่าผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ร่ำไป ครั้งนี้โจวจินเซวียนตระหนักแล้วว่าเป็นความจริง
ในยามดึกของค่ำคืนที่ฝนเทกระหน่ำ กลุ่มชาวบ้านที่อพยพมากว่ายี่สิบคนต่างกรูกันเข้าไปยังศาลเจ้าร้างเพื่อหลบฝน ทุกคนต่างก็จับจองพื้นที่โดยรอบเพื่อหวังหลบลมฝนที่สาดซัด
หญิงสาวและปี้หรูสาวใช้คนสนิทในชุดมอซอซุกตัวอยู่มุมหนึ่งของศาลเจ้า ทั้งสองตัวสั่นงันงกมองไปรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ใบหน้าที่ใช้ถ่านสีดำทาจนทั่วเริ่มถูกสายฝนชะล้าง ความหวาดกลัวเริ่มกัดกร่อนจิตใจเงียบๆ ท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามเป็นระยะๆ
หลังจากรถม้าของนางแยกกับโจวอวี้ผู้เป็นบิดา ผู้คุ้มกันของนางให้นางกับปี้หรูลงจากรถม้า เพราะเห็นว่าพวกเขาคงไม่อาจหนีรอดไปได้ อุบายที่ล่อให้เหล่ามือสังหารติดตามรถม้าไปก็ดูเหมือนจะได้ผล หาไม่หลายวันมานี้นางกับปี้หรูไหนเลยจะหนีมาไกลจนถึงเขตเมืองลั่วหยางได้
กลุ่มผู้อพยพที่พวกนางขอร่วมทางมีทั้งเด็ก คนแก่ และสตรีอ่อนแอหลายคน เหล่าบุรุษที่ทำหน้าที่คุ้มกันเมื่อเห็นพวกนางไร้ที่พึ่ง ทั้งยังมีจุดหมายเดียวกันนั่นคือต้าเหลียงเมืองหลวงของแคว้นเว่ย
พวกเขาจึงยินดีให้พวกนางทั้งสองร่วมทางมาด้วย กระทั่งในที่สุดต้องเข้ามาหลบฝนในศาลเจ้าร้างแห่งนี้
ร่างสูงยังคงก้าวเดินออกไปช้าๆ และนั่นทำให้โจวจินเซวียนก้าวตามเขาไปอย่างไม่มีทางเลือก แม้ว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครและกำลังไปที่แห่งใดกระนั้นนางกลับรู้สึกว่าอยู่กับเขานางคงปลอดภัยกว่าอยู่ที่ศาลเจ้าร้างที่เต็มไปด้วยศพคนตาย หรืออีกทางเลือกหากนางเดินทางคนเดียวนั่นยิ่งอันตรายกว่า...เดินเท้าตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันบ่ายคล้อย โจวจินเซวียนเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนก้าวเท้าไม่ออก เท้าของนางเจ็บจนชาแทบไม่มีความรู้สึก แผ่นหลังของบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าทิ้งห่างไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่กล้าเปล่งเสียงเรียกเขา เนื่องจากกลัวว่าเขาจะปฏิเสธที่จะให้นางร่วมทาง หญิงสาวจึงได้แต่เร่งฝีเท้าตามเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งในที่สุดนางก็ตามเขาไม่ทันโจวจินเซวียนเคว้งคว้างเพียงลำพัง ท่ามกลางเสียงของสายลมพัดยอดไม้และเสียงเหล่าสกุณาที่กำลังบินกลับรัง ท้องฟ้าเริ่มทอแสงสีส้มเป็นสัญญาณสุดท้ายว่ากำลังจะค่ำลง นางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจช้าๆ จนไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ น้ำตาที่เพียรห้ามไม่ให้หลั่งรินความอ่อนแอที่เพียรกดข่ม บัดนี้ทุกอย่างกลับพังครืน...ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นกอดห่อผ้าเอาไว้กับอกก่
โจวจินเซวียนหาได้สงสารเหล่าเพื่อนร่วมเดินทางที่สิ้นใจอยู่โดยรอบ นางเห็นชัดเจนในยามที่มองกวาดสายตาไปยังสตรี คนแก่ หรือคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วย พวกเขารู้ทั้งรู้ว่าปี้หรูโดนย่ำยีแต่ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ บางคนขยับกายมองด้วยสายตาเฉยชา บางคนขยับหนีด้วยความหวาดกลัว บางคนลุกขึ้นนั่งมองราวกำลังเห็นเรื่องน่าสนุกความสิ้นหวังและท้อแท้ลอยอวลท่ามกลางความเงียบ หญิงสาวได้แต่นอนนั่งในอ้อมแขนของบุรุษแปลกหน้า กลิ่นเหงื่อไคลที่โชยออกมาท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังขึ้นข้างหู เรียกสติและความนึกคิดของนางกลับมามือน้อยค่อยๆ ขยับก่อนจะพบว่าพันธนาการจากเขาได้คลายลงแล้ว นางขยับออกห่างเขาจากกายเขาแล้วพบว่าอีกฝ่ายแน่นิ่งไปแล้วคิ้วเรียวขมวดมุ่นในยามที่แสงฟ้าแลบแปลบปลาบนั้น ส่งผลให้นางมองเห็นคราบเลือดบนแขนเสื้อตัวเอง นางอยู่ห่างจากจุดที่เกิดการเข่นฆ่า แล้วเหตุใดตัวนางจึงเปรอะเปื้อนเลือดได้นั่นคือคำถามที่นางถามตัวเองในใจ กระทั่งเลื่อนสายตามองบุรุษที่หลับตานอนนิ่งอยู่ในมุมมืด แสงสายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาอีกครั้งทำให้นางตระหนักในที่สุด บุรุษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บนั่นคือคำตอบว่าเหตุใดในยามที่พวกนางเข้
“คุณหนูท่านว่าพวกเขาจะเลิกตามล่าเราหรือยังเจ้าคะ” ปี้หรูกระซิบถามโจวจินเซวียนในยามที่ช่วยใช้ผ้าซับน้ำตามเรือนผมให้อีกฝ่าย“ข้าไม่รู้ นี่ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว ไม่รู้ว่าการปราบปรามเหวินอู่โหวเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ...ท่านพ่อให้ข้ารับปากว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องเดินทางไปยังเมืองต้าเหลียง ฉะนั้นเราก็ได้แต่หวังว่าเมื่อไปถึงที่นั่นท่านพ่อจะรอเราอยู่แล้ว”“แล้วเมืองต้าเหลียงอยู่อีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”“หากเดินเท้าคงราวๆ ครึ่งเดือนกระมัง ข้าเองก็ไม่เคยไปเพียงได้ยินมาเท่านั้น”“แห้งแล้วเจ้าค่ะคุณหนูนอนพักเถิดนะเจ้าคะ”“ปี้หรูต่อไปก็เรียกข้าว่าพี่สาวเถิด เรียกเช่นนี้อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้”“เจ้าค่ะ” ปี้หรูพยักหน้าเห็นด้วย เพราะแม้จะสนทนากันเสียงเบา กระนั้นพวกนางก็ไว้ใจผู้ใดไม่ได้ “พี่สาวหน้าท่านถูกน้ำฝนล้างออกหมดแล้วข้าช่วยทาให้ท่านใหม่นะเจ้าคะ”“ได้”พวกนางทั้งสองต้องทนกลิ่นเหงื่อไคล ทั้งยังไม่กล้าอาบน้ำล้างเนื้อตัวและสวมเสื้อผ้าสกปรกเหม็นอับ รวมไปถึงใช้ผงถ่านทาใบหน้าให้อัปลักษณ์จนผู้คนไม่อยากเข้าใกล้เช่นนี้หนึ่งในสาเหตุก็เพื่อปกป้องตัวเอง กระนั้นนี่ก็ไม่อาจทำให้พวกนางรู้สึกปลอดภัยในยามที่
ขบวนรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่บนอันแสนขรุขระอย่างรีบเร่ง ทำให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นพร้อมวิ่งหนีอย่างลุกลี้ลุกลน เหล่านกน้อยบินหวือออกไปทุกทิศทางเพราะความหวาดหวั่น เช่นเดียวกันกับใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในขบวนรถม้า พวกเขาทุกคนต่างมองไปรอบทิศอย่างหวาดระแวงเสียงฝีเท้าม้าซึ่งตามหลังมาส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขายิ่งเผือดสี คนบังคับรถม้าหวดแส้ไปยังม้าสองตัวที่ผูกยืดเข้ากับรถม้า พวกมันเร่งฝีเท้าขึ้นอีกตามแรงหวดกระนั้นกลับยังคงไม่เร็วดังใจเสียงตะโกนกู่ร้องด้านหลังทำให้คนในขบวนรถม้าแตกตื่น คนคุ้มกันส่วนหนึ่งหันหลังกลับไปยิงธนูอีกส่วนก็เตรียมพร้อมรับมือผู้ที่ไล่ตามมา รถม้าคันที่อยู่ด้านหลังสุดค่อยๆ ชะลอความเร็วกระทั่งจอดแน่นิ่ง ใบหน้านิ่งเฉยของบุรุษวัยกลางคนโผล่ออกมาจากม่านรถม้า ชะโงกออกไปมองไปยังรถม้าอีกคันข้างหน้า“พวกเจ้าคุ้มเซวียนเอ๋อร์ด้วย ข้าขอฝากบุตรสาวของข้าด้วย” “ขอรับท่านอาจารย์โจว” ผู้คุ้มกันสามคนรับคำเสียงหนักแน่นก่อนควบม้าตามรถม้าอีกคันไป ส่วนที่เหลือหันกลับไปถ่วงเวลาเหล่ามือสังหารในชุดสีดำซึ่งกำลังใกล้เข้ามา “ท่านพ่อ!” เสียงสตรีนางหนึ่งร้องเรี





