ถ้ามีแค่ตัวคนเดียวเขาอาจจะหาทางหลบหนีออกไปก่อน แม้จะเสียดายบ้านแต่จะให้สู้กับคนหลายคนทั้งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อนก็คงไม่ไหว เอาตัวให้รอดไว้ก่อนค่อยกลับมาทวงคืนในภายหลังก็ไม่สาย แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ที่เขามีอีกสองชีวิตให้ต้องดูแล น้องดลและดาริณีดูจะไม่ใช่คู่มือของพวกมันได้เลย
ครั้นจะให้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปจามหัวพวกมันก็ไม่รู้ว่าจะกล้าทำอย่างที่คิดไหมอีก
ในขณะที่ครุ่นคิดศัตรูแรกในวันสิ้นโลกก็บุกเข้ามาประชิด
“เคร้ง!” เสียงประตูเหล็กหน้าบ้านถูกอะไรบางอย่างดันเข้ามาอย่างแรงเป็นผลให้กระถางต้นไม้และตู้ที่ถูกนำมาวางกั้นประตูล้มระเนระนาด
“เสียงดังเกินไปแล้ว” หนึ่งในชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน ถึงพวกเขาจะฆ่าซอมบี้ละแวกนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอื่นมาอีก
“พวกคนในบ้านรู้ตัวกันหมดแล้วมั้ง” ชายที่มีหูกลมส่ายหัวให้กับความสมองน้อยของเจ้าบ้าชอบใช้กำลัง
“...” เจ้าบ้าชอบใช้กำลัง
“ช่างเถอะ เข้าไปทั้งแบบนี้แหละ” คนเป็นหัวหน้าไม่ใส่ใจกับความสะเพร่าเล็ก ๆ น้อย ๆ จะอย่างไรพวกเขาก็แข็งแกร่งและมีอาวุธครบมือ ต่อให้มีซอมบี้ออกมาอีกก็แค่ยิงทิ้งไปเสีย
เฉินเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังบ้านตื่นตระหนก ประตูบ้านเขาพังเพราะกำลังของคน!
นี่มันอะไรกัน!
หรือนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปแล้วยังมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีก! คราวนี้ชายหนุ่มหวนนึกไปถึงตอนตนเองกระโดดขึ้นกำแพงโดยที่ไม่ต้องใช้สองมือช่วยพยุงร่างกายเลยสักนิด หรือว่าเขาที่กลายพันธุ์ก็สามารถทำอย่างเดียวกันได้?
ถ้าอย่างนั้น...จะจัดการคนพวกนี้ด้วยตัวเองได้หรือเปล่า?
...
“แม่” น้องดลเบียดตัวเข้าหาแม่เมื่อได้ยินเสียงโครมครามหน้าบ้าน “พี่เฟิงอยู่ข้างนอก เราจะทำยังไงกันดี”
“ชู่ อย่าเสียงดังครับ” ฟังจากเสียงข้างนอกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่กำลังคน บวกกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน เธอก็พอคาดเดาได้ว่าโลกใบนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และคงมีอีกหลายคนที่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนชายหนุ่มเช่นกัน อยู่ที่ว่าใครจะใช้ความสามารถของตนไปในทิศทางไหน
ดาริณีพาลูกชายมาหลบบริเวณห้องครัวติดกับประตูหลังบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูเฉินเฟิงก็ผลักเข้ามาก่อน ทำเอาหญิงสาวเกือบหลุดกรี๊ดออกมา ดีที่สะกดกลั้นเอาไว้ทัน
“ผมเองครับ” เฉินเฟิงทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปาก ฉวยโอกาสช่วงที่ยังมีเสียงข้าวของล้มอยู่หน้าบ้านอำพรางการเคลื่อนไหว รีบมายังจุดที่ได้ยินเสียงสองแม่ลูก
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวกระซิบถามเสียงเบา
“มีคนบุกเข้ามา พวกมันอยากได้บ้านเรา” คนฟังสีหน้าซีดเผือด ถ้าไม่มีบ้านแล้วพวกเธอจะอยู่ข้างนอกกันอย่างปลอดภัยได้อย่างไร “ผมจะลองหาทางดู แต่ผมอยากขอให้พี่ดากับน้องดลไปรอที่ประตูหลังบ้าน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รีบหนีไปทันที” เฉินเฟิงสมองหมุนเร็วรี่ ใจจดจ่อคิดหาสถานที่ที่พวกเขาจะสามารถหนีไปได้จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนเยื้องย่างใกล้เข้ามา
“คิดว่าจะไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ” เสียงที่ดังขึ้นเหนือหัวทำให้ทั้งสามคนตัวชาวาบ พวกมันเข้ามาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!
เฉินเฟิงรีบลุกขึ้นดันหญิงสาวและเด็กชายให้ไปอยู่ด้านหลังตน
“พวกแกอยากได้บ้านไม่ใช่เหรอ พวกเรากำลังจะออกไปแล้ว” ชายหนุ่มลองเจรจาก่อน
“โฮ่ หูดีนี่ แสดงว่ากลายพันธุ์แล้ว สนใจมาอยู่กับพวกเราไหม” ตัวหัวหน้ามองใบหน้าขาวผ่องและดวงตาสีแดงของอีกฝ่ายอย่างสนใจ ไม่รู้ว่าภายใต้ฮู้ดนั้นจะมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร
“เชิญพวกแกเอาอาหารไปได้เลย แต่ต้องปล่อยพวกเราไป” เฉินเฟิงส่ายหน้าปฏิเสธ “พวกเราขอแค่เสื้อผ้าก็พอ” ถ้ารอดไปได้ค่อยไปหาของกินเอาข้างหน้า แต่ถ้ายังอยู่อย่างนี้พวกเขาก็ยากที่จะรอด ตัวเขาเป็นผู้ชายพวกมันคงให้เป็นลูกน้องคอยรับใช้ แต่หญิงสาวด้านหลังคงมีชีวิตที่ไม่สวยงามนักหากอยู่ในเงื้อมมือพวกมัน
“ไม่บอกก็จะขโมยอยู่แล้ว” ชายหูกลมสั้นคล้ายหนูเผยยิ้มยียวน ดวงตาเรียวรีฉายประกายเจ้าเล่ห์ ตัวมันถูกใจชายหนุ่มตรงหน้ามากกว่าหญิงสาวด้านหลังและเด็กเสียอีก ดูสีตาแดงฉานนั่นสิ ช่างตัดกับผิวขาวราวกับอัญมณีล้ำค่า
อ่า… ดวงตาคู่นั้นเหมือนทับทิมไม่มีผิด
เฉินเฟิงรู้สึกไม่ดีกับสายตาที่มองจ้องมา ทำเป็นเข้มแข็งให้มากที่สุด จนกระทั่ง...
“ลูกพี่ ผมขอเด็กคนนั้นได้หรือเปล่า” หนึ่งในพวกมันมองเด็กชายดลแล้วออกปากเรียกร้อง
“เอาไปสิ ยังไงที่นี่ก็เป็นบ้านเขา ต้องดูแลเราให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคงเสียมารยาทแย่” เจ้าคนร่างใหญ่ที่สุดตอบพลางกางกรงเล็บแหลมคมขู่
กรอด
เฉินเฟิงกัดฟันแน่น พวกมันไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปจริง ๆ ด้วย!
เพราะถูกพวกมันดักทางไว้จึงใช้ทางออกประตูหลังไม่ได้แล้ว เหลือแค่ฝั่งห้องเก็บของที่มีประตูบานเก่า คงต้องเป็นที่นั่น
แต่… จะหาช่องว่างหลบหนีไปได้ยังไง
“คุยแต่เรื่องซีรีส์ไม่ก็พวกหนังฆาตกรรมสยองขวัญที่เข้าฉายก่อนวันสิ้นโลก แถมเป็นพวกสายโซเชียลเหมือนกันก็เลยค่อนข้างมีเรื่องคุยเยอะ” ผิดกับเขาที่ชอบดูพวกสตรีมเมอร์หรือไม่ก็เล่นเกมออนไลน์มากกว่า จึงไม่ค่อยเข้าใจคำสแลงที่มีความหมายยาก ๆ ที่ทั้งสองคนใช้พูดคุยตลอดการเดินทาง“ก็ทำตัวสมกับเป็นวัยรุ่นดี” โจเซฟไม่ได้ออกความเห็นหากทั้งสองคนจะสนิทกัน เหมือนไอซ์จะปรับปรุงทัศนคติและความคิดของตัวเองได้บ้างแล้ว ส่วนเลวี่ถึงจะมีทีโอที่เคยเป็นรูมเมตอยู่ในกลุ่มด้วย แต่เพราะความรู้สึกที่มีให้กันนั้นเป็นไปในลักษณะของการชอบพอ ย่อมต้องมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับอีกฝ่ายได้ หากมีคนให้ปรับทุกข์เรื่องส่วนตัวหรือแม้แต่เรื่องของทีโอก็คงจะดีไม่น้อย“ก็ไม่ได้ว่าอะไร…” ปากบอกไม่ว่าอะไร แต่น้ำเสียงกลับเบาลง ทั้งยังก้มหน้า ใช้เท้าเขี่ยหิมะเล่นราวกับเด็กน้อย ที่ถูกเพื่อนหยิบของเล่นที่ตนถูกใจไปแล้วทำอะไรไม่ได้“อะไรกัน เหงาเหรอเจ้าหนูทีโอ” โจเซฟแกล้งแหย่“ไม่ได้เหงาสักหน่อย หมอนั่นมีเพื่อนเพิ่มก็ดีแล้ว จะได้บ่นผมน้อยลง” คนปากแข็งยังคงง้างเท่าไรก็ง้างลำบากอยู่วันยังค่ำ แม้จะเริ่มสำรวจท่าทีของเลวี่มากขึ้น แต่ความไม่กล้าที่บ
พวกเขาเลือกที่จะจอดรถห่างจากหมู่บ้านครูเมตตาไปประมาณ 3 กิโลเมตร ให้พ้นระยะการได้ยินของมนุษย์กลายพันธุ์ พอเช็กว่าไม่มีคนหรือสัตว์ประหลาดอยู่ในละแวกนี้ถึงค่อยยอมให้ไอซ์ใช้พลังนำปลานกกระจอกออกมาจากมิติ จากนั้นดาริณีก็นำเชือกท้ายรถมาผูกปลาทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วเดินลากมันไปยังทางเข้าหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียว คนที่เหลือก็ช่วยกันกรุยทางไม่ให้หญิงสาวเดินลำบากวิทย์ตกใจแทบตายเมื่อเปิดประตูมาแล้วเจอสมาชิกในทีมของโจเซฟลากสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ติดมือกลับมาด้วย หลังจากพิจารณากันอยู่ครู่หนึ่งวิทย์ก็ขอให้ลากปลาพวกนี้ไปวางไว้ที่สนามหญ้าหน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความใหญ่โตใกล้เคียงกับรถบรรทุกขนาดเล็กของปลาบินทั้งสองตัว ย่อมดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ในบ้านได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ก็พยายามมาด้อม ๆ มอง ๆ เผื่อจะได้รับส่วนแบ่งมาสักคำสองคำเช่นกันเนื่องจากคนในค่ายของวิทย์นั้นมีเพิ่มมาพอสมควร อีกทั้งเด็กน้อยทั้งหลายก็ยังอยู่ในวัยกำลังโต ปลา 1 ตัวโดยไม่ตัดแบ่งสักส่วนจึงตกเป็นของหมู่บ้านครูเมตตาไปโดยปริยายจากนั้นก็ขอให้ไอซ์อยู่ที่บ้านครูเมตตาก่อนสักวันสองวัน พวกเขายังมีธุระที่ต้องไปต่อ ซึ่งไอซ์ก็ไม่ได
ช่วงที่มีโรคระบาดนอกจากเชื้อไวรัสแล้ว สิ่งแปลกปลอมที่เรารับเข้ามาในร่างกายก็มีแค่วัคซีนที่รัฐบาลแจกจ่ายเท่านั้น“ถ้าใช่จริงเขาก็คงอยากจะยกระดับมนุษย์ให้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งล่ะมั้ง” โจเซฟไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่มีคนบางกลุ่มคิดว่าพวกเขาเป็นหนูทดลองในกรงสีน้ำเงินใบนี้ “หรือตีความอีกอย่าง… คงมีคนหวังให้โลกวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่มาตั้งแต่แรก”“มีแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้นเลย” เฉินเฟิงยกมือปิดตาแหงนคอพิงกับพนักโซฟา รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ วันสิ้นโลกที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว“เหมือนการรีเซตโลกใหม่” ทำลายระบบของมนุษย์ให้สิ้นซาก ให้สัตว์กลับมามีอำนาจปกครองถิ่นของตนอย่างที่เคยเป็นเมื่อครั้งอดีตกาล แบ่งพื้นที่อยู่อาศัยกันให้พอดีกับความต้องการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะคุ้มได้ก่อนทีจะมองหาทรัพยากรชิ้นใหม่“...” สิงหาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาย่อมเข้าใจดีว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นสำคัญมากแค่ไหน ปัญหาก่อนหน้านี้อาจไม่ได้ส่งผลกระทบในยุคสมัยของพวกเขามากนัก แต่คนที่จะรับกรรมก็คือเด็กรุ่นหลังที่ถูกผู้ใหญ่ถลุงทรัพยากรไปอย่างละโมบโลภมากการที่โลกร้
“ตอนที่ผมยังเด็กและเป็นแค่นักหัดวิจัยโนเนมเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน มีโครงการหนึ่งที่โด่งดังมากในวงการนักวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะ... พวกคุณรู้จักคำว่าโลกร้อนใช่ไหมครับ” สิงหาหันมาถามแขกก่อน เขาเคยได้ยินว่าชาวบ้านบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกร้อนคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าการกระทำของตนเองนั้นทำร้ายโลกที่เราอาศัยอยู่ไปมากน้อยแค่ไหน“เคยได้ยินสิ” มีการรณรงค์อยู่ทั่วทุกที่ ขอแค่เป็นคนที่อยู่ในโลกโซเชียลต้องมีผ่านตาสักครั้งแน่นอน“เพราะกิจกรรมในแต่ละวันของมนุษย์นั้นส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโลกเพิ่มมากขึ้นในระดับที่เรียกได้ว่ามหาศาล พวกคุณคงเคยได้ยินเรื่องธารน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ทำให้แบคทีเรียที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายล้านปีก่อนกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งใช่ไหมครับ นั่นนับเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตระหนกให้กับพวกเรานักวิจัยเป็นอย่างมากโครงการที่กล่าวมาจึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับอนาคต ผมไม่รู้รายละเอียดเชิงลึกมากนัก รู้แค่ว่าหลังจากที่มีการคัดนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งไปเข้าร่วมการประชุมที่ต่างประเทศ เมื่อพวกเขากลับมาก็ไม่ได้ออกมาเผยแพร่การประชุมก
หัวหน้าหน่วยหรือคนที่ทำคุณประโยชน์ให้กับค่ายพันธมิตรจะมีสวัสดิการที่ทางค่ายมอบให้แตกต่างกันไป อย่างสิงหาที่เป็นถึงระดับหัวหน้าก็ได้รับเสบียงอาหาร แต้มคะแนนรายเดือน การเข้าถึงข้อมูลสำคัญ การรักษาพยาบาล และบ้านประจำตำแหน่งสิงหาไม่ค่อยได้เข้ามาที่บ้านหลังนี้บ่อยนัก ภายในบ้านจึงมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น เพราะเจ้าของบ้านมักจะหมกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้างานวิจัยมากกว่า เมื่อต้องต้อนรับแขกคนสำคัญ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะจึงต้องผันตัวมาเป็นพ่อบ้านเต็มรูปแบบ“ชาล็อต ขอผ้าขนหนูแห้งหน่อย” ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการถูพื้นด้วยน้ำอุ่น แต่เขาดันถอยหลังไปชนถังน้ำจนมันหกราดไปทั้งบ้านออด~“อ๊ะ มากันแล้ว” สิงหาสะดุ้งเฮือก รีบลุกขึ้นแล้วก้าวไปที่ประตูโดยลืมไปว่าพื้นในบ้านยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ และทันทีที่สลิปเปอร์สำหรับใส่ในบ้านเหยียบของเหลวลงไป…พรืด! ตุบมีแต่เสียงก็เดาได้ว่าเด็กหนุ่มได้ลื่นก้นกระแทกพื้นไปแล้วเรียบร้อย“ขอโทษครับ ให้แขกเห็นภาพไม่น่าดูซะแล้ว” สิงหาในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัวเดินออกมาเปิดประตูรั้ว ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบสะโพกตัวเองป้อย ๆ ผายมือให้แขกทั้งสามเดินเข้ามาในตัวบ้าน
“เดี๋ยวผมลองไปถามท่านนายพลเอง” โจเซฟว่าจบก็เตรียมจะเดินไปที่หน่วยทหาร ไอซ์จึงรีบวิ่งตามไปติด ๆ“แน่ใจนะว่าดูแลไหว” นิโคลัสหันไปมองทีโอที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา“ก็ดูเหมือนจะสำนึกได้บ้างแล้ว คงไม่มาก่อเรื่องหรอกมั้ง” ทีโอยักไหล่“คิดยังไงถึงจะพาเขาไปด้วย” ปกติเห็นเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน มาวันนี้กลับเสนอให้ไปเยี่ยมบ้านกันเสียอย่างนั้น“ปลาบินสองตัวเลยนะพี่นิค แบ่งให้สามหมู่บ้านได้สบายเลย” แถมยังอยู่ในสภาพสดใหม่อีกต่างหาก“แต่นั่นเป็นผู้มีพลังมิติที่มีเพียงคนเดียวในค่ายนะ” เจ้ากระต่ายไม่คิดว่าท่านนายพลจะยอมให้หลานชายออกไปด้านนอกอีก“ก็ไม่แน่นะครับ ตอนนี้ขอแค่เป็นหัวหน้าเราไปพูด ผมคิดว่าท่านนายพลต้องฟัง ระหว่างที่พวกเราไปบ้านบนภูเขาก็ให้ไอซ์พักอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปก่อน” ไม่ได้มีความคิดจะเปิดเผยเรื่องเส้นทางลับแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือที่ตั้งของหมู่บ้านในสมาพันธ์ผู้รอดชีวิต“เนื้อปลาหลังรถเราก็มีพอแค่กินกันในบ้านบนภูเขา แต่ถ้ามีเยอะ ๆ คงพอแบ่งให้กับอีกสามหมู่บ้านได้แน่ หน้าหนาวแบบนี้อาหารยิ่งมีเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี” เขาอยากให้เด็ก ๆ ที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้กินเนื้ออย่างเต็มปากเต็มคำเหม