 Masuk
Masuk“แล้วอย่างนี้พี่จะมีพลังหรือเปล่าครับ” เปลี่ยนร่างได้แล้วก็ต้องมีพลังสิ เด็กชายดลมองด้วยดวงตาคาดหวัง เหมือนตัวการ์ตูนที่เขาเคยดู
“พลังเหรอ” ชายหนุ่มทวน
จะใช่ความรู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตอนตื่นขึ้นมาหรือเปล่า? ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าออกไปด้านนอกบ้าน หลังจากกินอาหารเช้าแล้วไม่รู้จะทำอะไร
เขาได้พูดคุยกับดาริณีเรื่องอาหารที่เก็บไว้ว่าควรนำเนื้อหมูออกมาแปรรูปให้สามารถเก็บไว้กินได้นานกว่านี้ หากเหตุการณ์ไม่กลับมาสงบได้ในเร็ววัน พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องอดอยาก
เขาจำได้ว่าตัวเองตีล้อมรั้วบ้านไปจนสุดแปลงผักเป็นเนื้อที่เกือบ 2 ไร่ แถมก่อนเกิดเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เขาก็เพิ่งจะพรวนดินหว่านเมล็ดไปได้ไม่นาน อีกทั้งช่วงที่เขาหมดสติไป ดาริณีก็เป็นคนรับหน้าที่รดน้ำต้นไม้ตลอด พวกมันจึงยังอยู่รอดปลอดภัย
เฉินเฟิงกำชับให้สองแม่ลูกอยู่ในบ้านไปก่อน เขาจะออกไปดูความปลอดภัยด้านนอก สองมือชายหนุ่มกำขวานในมือแน่น ความตื่นกลัวพาลให้หูกระต่ายตั้งชันและรับรู้เสียงได้มากขึ้น เมื่อลองเพ่งสมาธิก็พบว่าสามารถได้ยินไกลไปเกือบ 2 กิโลเมตร
นอกจากเสียงบ้านข้างเรือนเคียงที่อยู่ห่างไม่มากนัก เฉินเฟิงยังได้ยินเสียงเดินลากเท้าแปลก ๆ อยู่นอกรั้วบ้าน และเสียงคนกลุ่มหนึ่งไกลออกไป เขาลองกระโดดจับขอบกำแพงเพื่อมองดูสถานการณ์ด้านนอก กลับกลายเป็นว่าเขากระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพงที่สูงกว่าสองเมตรได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากหูจะรับเสียงได้ดีแล้ว กำลังกายก็ดูจะเพิ่มขึ้นมาด้วย
เรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่านะกับสถานการณ์แบบนี้
เขาคงกลายพันธุ์ไปแล้วจริง ๆ
เพราะอยู่บนกำแพงสูงชายหนุ่มจึงมองเห็นชาวบ้านที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาเดินลากขาเหมือนคนหมดแรงอยู่นอกบ้าน 5-6 คน บนใบหน้าและตามตัวมีบาดแผลสาหัส ดวงตาที่เคยมีจุดดำกลับขาวโพลนขึ้นฝ้า บางคนหนักหน่อยก็ขาขาดรุ่งริ่งทว่ายังใช้ขาข้างที่เดินได้พยุงตัวไปตลอดทางราวกับไม่มีความเจ็บปวด
“อุก” เฉินเฟิงยกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อลมชายทุ่งพัดเอากลิ่นเหม็นเน่ามาตามลม ความสะอิดสะเอียนตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ชายหนุ่มต้องหลับตาตั้งสติอยู่นานเพื่อไม่ให้ตนเผลออาเจียนเอาอาหารเช้าออกมา
นี่มันสภาพวันสิ้นโลกหรือไงกัน คนพวกนี้ตายไปแล้วเหรอ ชายหนุ่มพลันนึกถึงซอมบี้ตัวแรกที่กระโดดพุ่งมาจากข้างทางแล้วคว้าเอาตะกร้าใส่เนื้อของเขาไปกิน ถ้าตอนนั้นเขาไม่ปั่นหนีสุดแรงคงไม่ต่างจากคนในหมู่บ้านที่เดินขวักไขว่อยู่ในตอนนี้แน่ ๆ
แล้วซอมบี้ตนนั้นมาจากไหน?
แม้จะเลือนลางเพราะความมืดสลัวแต่เฉินเฟิงก็จำได้ว่าซอมบี้ตัวแรกที่เขาเจอไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่นอน ส่วนน้องดลบอกว่าคุณยายของน้องอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมากัดตาทั้งที่ก่อนหน้านี้แค่ล้มป่วยเป็นลมแดดธรรมดา
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นซอมบี้ได้ทั้งที่ไม่ได้รับเชื้อจากซอมบี้ตัวอื่นล่ะ ลอยมาตามลมหรือ?
“ฮึบ” ดูมากกว่านี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ ชายหนุ่มจึงเดินเช็กรั้วบ้านทุกตารางนิ้วว่าไม่มีตรงไหนชำรุด แต่ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังตรวจตราอยู่ด้านหลัง ไม่ไกลออกไปก็ปรากฏชายฉกรรจ์จำนวนสี่คนเฝ้ามองบ้านหลังน้อยนี้ไม่คลาดสายตา
“ที่นี่แหละพี่ ผมได้กลิ่นอาหารลอยมา” ชายคนหนึ่งที่มีใบหูกลมเอ่ยขึ้น จมูกสูดกลิ่นหอมหวานที่ยังติดตรึงในมวลอากาศ
“รั้วรอบขอบชิดเหมาะที่จะทำเป็นที่พักของพวกเรามาก” ชายอีกคนมองประเมิน
“ในบ้านมีกี่คน” ชายที่ดูจะเป็นหัวหน้ายืนมองกรงเล็บแหลมคมของตน พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกเลือกได้พลังพิเศษมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่คนเริ่มกลายเป็นซอมบี้ อาศัยช่วงที่ในเมืองวุ่นวายฉีกตัวออกมายังชนบทเพื่อหาที่กบดานชั่วคราว แต่ที่นี่เองก็มีซอมบี้เหมือนกัน ต่างแค่จำนวนและความสามารถ
พวกเขาเดินเลือกอยู่หลายหลังก็มาถูกใจกับบ้านหลังนี้ที่มีรั้วสูงกว่าสองเมตร ไหนจะตัวบ้านสไตล์โมเดิร์นหนึ่งชั้น ดูก็รู้ว่าผู้อยู่อาศัยเดิมคงเป็นวัยรุ่น ไม่เหมือนกับบ้านใกล้เคียงที่เป็นเรือนไม้ไต้ถุนยกสูงไม่มีรั้ว
“ประมาณ 3 ครับ” ชายหูกลมหลับตานิ่งฟัง “สองคนในบ้าน อีกคนน่าจะอยู่นอกบ้าน” ฟังจากเสียงรองเท้าที่ตอนเดินมีเสียงสวบสาบของต้นไม้ใบหญ้าต่างกับอีกสองคนที่มีเพียงเสียงพูดคุยกันเบา ๆ ไม่ได้เดินไปไหน
“ระวังตัวด้วย พวกมันอาจมีคนกลายพันธุ์แล้ว”
แล้วก็ใช่ เฉินเฟิงได้ยินตั้งแต่คนพวกนี้เริ่มฆ่าซอมบี้บริเวณบ้านของเขารวมถึงบทสนทนาทั้งหมดด้วย ดวงตากลมโตสีแดงฉายประกายอำมหิต ดูท่าสิ่งที่น่ากลัวในตอนนี้คงไม่ใช่ศพคนเดินได้แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเองแล้วล่ะ

“แม่เองก็อยากรู้เหมือนกัน” กิ่งแก้วพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้สถานการณ์กลับมาสงบสุขลงแล้ว แต่ลูกชายเธอก็ยังคงขลุกตัวอยู่กับการฝึกฝน บางวันก็วิ่งโร่ไปล่าหนูกลายพันธุ์ถึงนิคมอุตสาหกรรม หากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็คงช่วยปรามได้บ้าง“ผมออกไปเดินเล่นดีกว่า” ชายหนุ่มค่อยๆ กระถดตัวไปทางประตูบ้าน ก่อนจะวิ่งหนีหายไปด้วยความรวดเร็ว“ทีอย่างนี้ล่ะ เร็วเชียว” กิ่งแก้วส่ายหน้า“ฮ่าๆ อย่าไปบังคับน้องเลยครับ ถึงเวลาจะมีเดี๋ยวก็มีเองแหละ” เจ้ากระต่ายหัวเราะร่วนกับปฏิกิริยาของกรที่ดูเหมือนจะยังไม่อยากมีแฟน“หรือไม่ก็อาจจะกำลังมีคนคุยๆ อยู่แต่ไม่กล้าเปิดตัวหรือเปล่า” ต่างกับนิโคลัสที่มองอีกมุมแก้มแดงๆ นั่นหลบไม่พ้นสายตาของเขาหรอก“เอ๊ะ ลูกคนนี้ แอบมีแฟนแล้วไม่บอกแม่เหรอ กิ่งไปก่อนนะยาย” หันไปร่ำลาคุณยายแล้วถกผ้าถุงออกจากบ้านมองหาเจ้าลูกตัวแสบทันที“พี่นิคไปรู้อะไรมาครับเนี่ย” เฉินเฟิงเชื่อว่าคนรักไม่มีทางพูดไปเรื่อยเปื่อยแน่“รอดูไปก่อน ไม่แน่ว่าหลังเรากลับมาจากไปเยี่ยมบ้านพี่ กรอาจกล้าเปิดตัวกับแม่ก็ได้” คุณหมอหมีไม่อยากเฉลย เผื่อเจ้าตัวยังไม่พร้อมส่วนเมื่อสักครู่ก็ถือว่าสร้างสีสันให้คนป่วย ดูสิ คุณยายร้านขา
“น่องไก่นั่นผมมองไว้นานแล้วนะพี่ อย่าแย่งดิ” ทีโอใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ที่หงส์เตรียมตักเข้าจานของตน“อะไร อย่ามาโมเมนะ” หงส์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ถึงสงครามครั้งนี้จะไม่มีมังคุดเข้าร่วมกลั่นแกล้งด้วย เธอก็ไม่คิดจะรามือ เวลาเห็นทีโอทำหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วตลกดีเธอเห็นแล้วว่าทีโอจ้องน่องไก่ชิ้นนี้ตาเป็นมันนานแล้ว และเธอกับตุ่นเองก็มีในจานอยู่คนละน่อง เจ้าเด็กนี่เลยอนุมานไปว่าชิ้นที่ยังลอยเท้งเต้งนั้นจะต้องตกเป็นของตนเอง“พี่หงส์ พี่อย่ามาแกล้งผม ในจานพี่ก็ยังมีน่องไก่ ทำไมไม่แบ่งให้น้องให้นุ่ง” ทีโองอแงกระเง้ากระงอดทั้งที่มือยังใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ไว้ไม่ผละไปไหน“เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” โจเซฟส่ายศีรษะเอือมระอา ตั้งแต่รวมกลุ่มกันมา สองคนนี้ต้องมีปากเสียงตอนกินอาหารได้ทุกมื้อ“เนื้อส่วนอื่นของไก่ก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ” เลวี่ดุคนรักเสียงจริงจังทั้งที่มืออีกข้างก็กำลังถือน่องไก่กัดเข้าปากคำใหญ่“คนที่ได้กินน่องไก่ชิ้นที่สามแล้วกล้าตักเตือนกูเหรอ ฮะ?” ทีโอเค้นเสียงลอดไรฟัน เพราะน่องไก่ชิ้นแรกถูกคนรักแย่งไปจากช้อน เขาถึงต้องเล็งชิ้นใหม่ไม่ใช่หรือไง“...” เลวี่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้“ท
พูดคุยอัปเดตสภาพบ้านแต่ละหลังอีกเล็กน้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของส่วนตัวบ้านใครบ้านมัน พลายวารีกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดนำพี่ชายไปยังโรงนอนที่ถูกปรับปรุงใหม่“โห บ้านดูเป็นบ้านมาก” เฉินเฟิงเปิดประตูเข้ามาพบกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโซฟา โต๊ะรับแขก หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่“เกรงใจพี่พิมแย่” นิโคลัสลูบเนื้อไม้เรียบสนิท มันถูกขัดจนมันและลงน้ำยาป้องกันแมลงไว้เรียบร้อย“ไว้เราออกไปเยี่ยมแม่ของพี่นิคก็ขนของฝากกลับมาให้มากหน่อยดีไหมครับ” เฉินเฟิงเสนอ“เป็นความคิดที่ดี” คุณหมอหมีเห็นด้วย อย่างน้อยก็คงได้พวกเครื่องนุ่งห่มสวยๆ กลับมาให้เหล่าหญิงสาวได้เลือกชม ยิ่งหน้าหนาวในประเทศ T ตอนนี้หนาวไปถึงกระดูก ไปประเทศ A น่าจะได้เสื้อกันหนาวคุณภาพดีมาเพิ่ม“เฮ้อ… ในที่สุดก็ได้กลับบ้านสักที” เฉินเฟิงวางกระเป๋าไว้มุมห้องแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง “หือ พี่พิมเปลี่ยนฟูกที่นอนให้ด้วย” จำได้ว่าก่อนไปทำภารกิจ ที่นอนไม่ได้นิ่มขนาดนี้“ไว้ทำเตาผิงไว้ในห้องด้วยดีกว่า” ฤดูหนาวที่ผ่านมาต้องพึ่งพาพลังพิเศษระหว่างการนอนหลับ แต่ถ้ามีเตาผิงอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าห้องจะไม่อบอุ่น“หวา เหมือนบ้
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ”แอ๊ว!ทันทีที่รถจอดบริเวณตีนภูเขาก็พบพิมพาและพลายวารียืนรออยู่“พี่พิม~ คิดถึงจังเลยค่ะ” กวางสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับอุ้มเด็กหญิงพลอยใสตามลงมา“ปลอดภัยกันสินะคะ” พิมพาโล่งอกเมื่อกวาดตามองคร่าวๆ แล้วไม่พบว่ามีใครได้รับบาดเจ็บกลับมา “น้องพลอยไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหมคะ”“หนูเป็นเด็กดี ฮึก เป็นเด็กดีจริงๆ นะ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีด้วย ฮือๆ” เด็กหญิงโผเข้ากอดมารดาแน่น พลอยใสไม่เคยห่างจากแม่นานขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะตนเลือกที่จะอาสาออกไปสู้กับซอมบี้เองจึงไม่อาจงอแงร้องไห้คิดถึงบ้านได้เหมือนเด็กทั่วไปมาวันนี้ได้กอดคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันก็พาให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย“จ้ะ แม่รู้แล้ว แม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆ เลยนะ” พิมพาย่อตัวช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียนใส ใจจริงเธอไม่อยากให้ลูกสาวออกไปเผชิญกับอันตรายเลย แต่เพราะเชื่อว่าการได้ออกไปในยามที่มีสมาชิกคนอื่นๆ ไปด้วยย่อมปลอดภัยกว่า จึงวางใจให้ลูกสาวออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ส่วนเธอก็จะปกป้องบ้านไว้รอต้อนรับทุกคน“แล้วสงคราม…” พิมพาผละจากลูกสาวมามองหน้าสมาชิกคนอื่นๆ “จบแล้วจริงๆ ใช่ไหมคะ”เธออยากได้รับคำยืนยันต่อหน้ามากกว่าคำ
กลุ่มทหารรับจ้างไม่ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการขับรถที่นำมาด้วยกลับไปจอดไว้ยังตีนภูเขา และอีกเหตุผลก็เพราะมังคุดตัวโตขึ้นเล็กน้อย บริเวณท้องของมันไม่สามารถผ่านประตูทางเข้าได้ ทุกคนจึงลงความเห็นให้เดินทางโดยใช้ถนนเส้นหลักแทน“ต้องลดความอ้วนแล้วหรือเปล่านะ” เฉินเฟิงมองพุงกลมของมังคุดด้วยความหนักใจ ช่วงบนเดินผ่านทางเข้าได้ไม่มีปัญหา แต่พอถึงช่วงกลางลำตัวกลับเข้าไม่ได้ เขาเลี้ยงเจ้าตัวนี้ดีเกินไปหรือเปล่านะ?กี๊ซ (มังคุดไม่อ้วนนะ)แร็กคูนที่ถูกแปะป้ายไว้บนหน้าผากว่าอ้วนรีบแย้ง ถ้าให้มันงดอาหาร มันยอมอยู่ที่ค่ายพันธมิตรต่อยังดีกว่า… แล้วค่อยกลับบ้านตอนท้องอิ่ม“ไม่อ้วนตรงไหนกันฮึ” เฉินเฟิงจ้องมองพุงกลม หลักฐานสำคัญที่จำเลยดิ้นไม่หลุดกี๊ซ (นี่เป็นพลังงานสำรองต่างหาก)เจ้าตัวโตแอ่นพุงไม่ยอมรับว่าหน้าท้องส่วนนี้เป็นไขมันที่เกิดจากการกินล้วนๆ“เอาเถอะ จะยอมเชื่อก็ได้” ในเมื่อเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ เจ้ากระต่ายก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลดพุงเด็กดื้อนิโคลัสยกยิ้มมุมปากมองคนรักกับเจ้าตัวโต้เถียงกันเรื่องน้ำหนักเกินมาตรฐานไปตลอดทาง กระทั่งใกล้ถึงหมู่บ้านด้วงส
“พวกนาย…” ผู้ถูกขนานนามว่าเทพเซียนเดินดินเกือบน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง ยังดีที่เก๊กขรึมฮึบไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจมีสักขีพยานนับแสนเห็นท่านเทพหลั่งน้ำตา“เจอแบบนี้เขินเลยนะคะเนี่ย” แก้มใสของดาริณีขึ้นสีแดงระเรื่อ ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เทียบกันแล้วเธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่อยากจะปกป้องลูกชายและเพื่อนพ้อง ไม่ได้มีใจคิดอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากมายถึงเพียงนั้นหนักเข้าหน่อยก็มีคนชูลังกระดาษที่มีชื่อของใครสักคนเขียนอยู่“อ๋า… มีชื่อของพี่ด้วย” เหมือนแฟนคลับไปตามดาราตามงานอีเวนต์เลย“วีรกรรมพี่ดาไม่ใช่ย่อยเลยนะคะ รับความรู้สึกอยากขอบคุณจากพวกเขาเถอะค่ะ” หงส์เอ่ยให้กำลังใจ ทั้งที่ไม่ได้เป็นทหารแต่ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้กับซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ทีมเสียสมดุลกลับกัน... หากขาดดาริณีไป สงครามอาจจบล่าช้ากว่าที่คิดก็เป็นได้ดาริณีเม้มปากขัดเขิน ใบหน้าสวยก้มมองพื้นไม่กล้าสบตาใคร กระทั่งโจเซฟกอบกุมมือเรียวไว้ เธอถึงเงยหน้ามองสบตากับสามีร่วมทุกข์ร่วมสุขแค่ได้เห็นสายตาที่บอกว่าภูมิใจที่มีเธออยู่เคียงข้าง ความมั่นใจที่หล่นหายไปก็พลันเอ่อล้นออกมากี๊ซ! (ขอบคุณทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ มั








