บนหลังคาหอเหมยแดง กู้เหยียนหลงและนักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดยืนประจันหน้ากัน ไอสังหารของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเป็นวังวนที่มองไม่เห็น
“ฝีมือไม่เลว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “แต่เจ้าเพียงคนเดียว ย่อมมิอาจหยุดยั้งบทเพลงแห่งหายนะนี้ได้”
เพลงกระบี่ของกู้เหยียนหลงรวดเร็วและดุดันดั่งมังกรทะยาน แต่สตรีผู้นี้กลับร้ายกาจกว่าที่คิด นางใช้เสียงขลุ่ยเป็นอาวุธ สร้างคลื่นเสียงที่รบกวนสมาธิและทำให้พลังลมปราณของเขาปั่นป่วน ท่วงท่าของนางพลิ้วไหวไปพร้อมกับเสียงดนตรี ยากที่จะคาดเดาและเข้าจู่โจมได้
ในขณะเดียวกัน ณ ยอดหอชมดาว สถานการณ์ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤต!
องค์หญิงลี่หัวกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด พลังภายในของนางใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว เสียงพิณสลายมายาเริ่มขาดห้วงและอ่อนพลังลงทุกขณะ ความโกลาหลเบื้องล่างเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง
“องค์หญิง! เชื่อใจหม่อมฉัน!” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจในเสี้ยววินาที นางทาบฝ่ามือทั้งสองลงบนแผ่นหลังขององค์หญิง หลับตาลงและโคจรพลังลมปราณทั้งหมดของนาง แต่มิใช่เพื่อค้ำจุน แต่เพื่อหลอมรวม
นางใช้สติปัญญาทางการ
คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนั้นทั้งเย็นเยียบและอับชื้น เสียงหยดน้ำที่หยดลงบนพื้นหินเป็นจังหวะเชื่องช้า ช่างเป็นเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ตู้เยี่ยนอวี่ในสภาพที่ร่างกายยังคงอ่อนแอ ต้องมีกู้เหยียนหลงคอยประคอง ค่อย ๆ ก้าวลงมาตามบันไดหินที่สูงชัน นางปฏิเสธคำทัดทานของทุกคนที่ห่วงใยในอาการของนาง เพราะนางรู้ดีว่ากุญแจที่จะไขปริศนาทั้งหมด ถูกขังอยู่ในห้องที่ลึกที่สุดเบื้องหน้า“นางเปรียบดั่งภูเขาน้ำแข็ง” จางอู๋จีกล่าวเตือน “ข้าลองมาแล้วทุกวิธี แต่มิอาจทำให้เปลือกน้ำแข็งนั้นละลายได้แม้แต่น้อย”ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มบาง ๆ “น้ำแข็งที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ย่อมต้องละลายด้วยความอบอุ่นที่เหมาะสมเจ้าค่ะ”เมื่อประตูห้องขังเปิดออก ตู้เยี่ยนอวี่ได้เผชิญหน้ากับเยว่ฉาน นักดนตรีขลุ่ยมายาเป็นครั้งแรกโดยไม่มีม่านลูกปัดขวางกั้น เยว่ฉานนั่งนิ่งอยู่บนเตียงฟาง ดวงตาที่งดงามคู่นั้นจ้องมองมายังนางด้วยความว่างเปล่าและเย็นชา ไม่มีความกลัว ไม่มีความโกรธ มีเพียงความเฉยเมยราวกับว่านางได้ตายไปจากโลกนี้แล้วตู้เยี่ยนอวี่ให้นางกำนัลนำเก
รุ่งอรุณได้ขับไล่ความมืดมิดของรัตติกาลไปจนสิ้น ทว่าไอสังหารและความโกลาหลของค่ำคืนที่ผ่านมายังคงทิ้งร่องรอยไว้ในใจกลางเมืองหลวง ภาพของตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวที่ถูกหามลงมาจากหอชมดาวในสภาพหมดสติ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ทุกคนในวังหลวงหมอหลวงชางและเหล่าแพทย์หลวงต่างวิ่งวุ่นกันราวกับมดแตกรัง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลอย่างสุดซึ้ง“นี่มิใช่บาดแผลทางกาย แต่เป็นภาวะที่พลังลมปราณและแก่นแท้แห่งชีวิตถูกสูบไปจนหมดสิ้น” หมอหลวงชางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาหลังจากตรวจพระอาการขององค์หญิงและชีพจรของตู้เยี่ยนอวี่ “เปรียบดั่งตะเกียงที่ถูกเผาไหม้จนน้ำมันเหือดแห้ง การฟื้นฟูจะต้องใช้เวลายาวนานและต้องอาศัยโอสถทิพย์ล้ำค่าที่สุด”กู้เหยียนหลงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงของตู้เยี่ยนอวี่ เขากำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด บัดนี้เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจล้นฟ้า สามารถบัญชาทหารได้นับแสน แต่กลับมิอาจทำสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือสตรีที่เขารักสุดหัวใจได้เลย ความรู้สึกไร้พลังนี้ช่างกัดกินใจเขายิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับคมดาบนับพันเล่มเขาจ้องมองใบหน้าอันซีดเซียวของนาง
บนหลังคาหอเหมยแดง กู้เหยียนหลงและนักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดยืนประจันหน้ากัน ไอสังหารของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเป็นวังวนที่มองไม่เห็น“ฝีมือไม่เลว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “แต่เจ้าเพียงคนเดียว ย่อมมิอาจหยุดยั้งบทเพลงแห่งหายนะนี้ได้”เพลงกระบี่ของกู้เหยียนหลงรวดเร็วและดุดันดั่งมังกรทะยาน แต่สตรีผู้นี้กลับร้ายกาจกว่าที่คิด นางใช้เสียงขลุ่ยเป็นอาวุธ สร้างคลื่นเสียงที่รบกวนสมาธิและทำให้พลังลมปราณของเขาปั่นป่วน ท่วงท่าของนางพลิ้วไหวไปพร้อมกับเสียงดนตรี ยากที่จะคาดเดาและเข้าจู่โจมได้ในขณะเดียวกัน ณ ยอดหอชมดาว สถานการณ์ก็เข้าสู่ภาวะวิกฤต!องค์หญิงลี่หัวกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด พลังภายในของนางใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว เสียงพิณสลายมายาเริ่มขาดห้วงและอ่อนพลังลงทุกขณะ ความโกลาหลเบื้องล่างเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง“องค์หญิง! เชื่อใจหม่อมฉัน!” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจในเสี้ยววินาที นางทาบฝ่ามือทั้งสองลงบนแผ่นหลังขององค์หญิง หลับตาลงและโคจรพลังลมปราณทั้งหมดของนาง แต่มิใช่เพื่อค้ำจุน แต่เพื่อหลอมรวมนางใช้สติปัญญาทางการ
หง่าง...ง...ง...เมื่อเสียงระฆังหลวงดังกังวานเป็นครั้งสุดท้าย สัญญาณของการเฉลิมฉลองก็ได้กลายเป็นสัญญาณการเปิดศึกโดยสมบูรณ์จากทุกมุมมืดของเมืองหลวง บนยอดเจดีย์สูง บนหลังคาของจวนขุนนาง และในเงามืดของหอระฆัง เสียงขลุ่ยมายาอันโหยหวนได้ดังประสานขึ้นพร้อมกัน มันมิใช่บทเพลง แต่เป็นคลื่นเสียงที่บิดเบี้ยวและกรีดแทงโสตประสาท มันแทรกซึมเข้าไปในใจกลางของฝูงชนที่กำลังรื่นเริงเบื้องล่าง ปลุกเร้าความก้าวร้าวและความบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเสียงหัวเราะพลันเปลี่ยนเป็นเสียงทะเลาะวิวาท รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกร้าว เมืองหลวงที่เคยสว่างไสวด้วยแสงโคม บัดนี้กำลังจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งความโกลาหล!ทว่า ในขณะที่ตาข่ายเสียงแห่งความคลุ้มคลั่งกำลังจะครอบงำทุกสิ่งณ ยอดหอชมดาวที่สูงที่สุด เสียงพิณกู่ฉินอันใสกระจ่างก็พลันดังขึ้น!ปลายนิ้วขององค์หญิงลี่หัวร่ายรำอยู่บนสายพิณราวกับเซียนธิดาที่กำลังโปรยปรายบุปผาจากสวรรค์ เสียงพิณของนางบริสุทธิ์และสงบนิ่งดุจน้ำพุกลางป่าลึก มันแผ่ขยายออกไปเป็นระลอกคลื่นสีทอง เข้าปะทะและสลายคลื่นเสียงสีดำอันชั่วร้ายของเหล่าขลุ่ยมายาตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่เบื้องหลังอง
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องประชุมลับราวกับมัจจุราชได้มาเยือน คำว่าคืนพรุ่งนี้ หนักหน่วงดั่งภูเขาไท่ซานที่ทับลงบนบ่าของทุกคนในที่นั้น“ยี่สิบสี่ชั่วยาม...” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบโหย “นี่ไม่ต่างอะไรกับการบอกให้เราไปย้ายมหาสมุทรด้วยสองมือเปล่า เราจะหยุดยั้งเสียงระฆังทั่วทั้งเมืองหลวงได้อย่างไร”ความสิ้นหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน ทว่าท่ามกลางความมืดมิดนั้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับเป็นผู้จุดประกายแสงแห่งความหวังขึ้นมา“ถูกต้อง เราหยุดเสียงระฆังไม่ได้” นางกล่าวขึ้น แววตาของนางฉายประกายแน่วแน่ “แต่หากพวกมันสามารถใช้ระฆังเพื่อกระจายเสียงพิษได้ เราก็ย่อมสามารถใช้ระฆังเดียวกันนั้นเพื่อกระจายเสียงโอสถของเราได้เช่นกัน!”ความคิดของนางช่างอาจหาญและเหนือความคาดหมาย เสมือนกับการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยนอาวุธของศัตรูให้กลับมาเป็นโล่ของตนเอง!“เราจะใช้เพลงพิณสลายมายาของเรา เข้าหักล้างซิมโฟนีแห่งความบ้าคลั่งของพวกมัน!” องค์หญิงลี่หัวกล่าวสนับสนุน แววตาของนางลุกโชนด้วยจิตวิญญาณของราชนิกุลผู้ไม่ยอมจำนนต่ออ
ณ ห้องบรรทมลับขององค์หญิงลี่หัว บรรยากาศอบอวลไปด้วยความตึงเครียด และสมาธิอันแน่วแน่ ตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวทำงานแข่งกับเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกนางรู้ดีว่าทุกขณะจิตที่เสียไป อาจหมายถึงชีวิตของผู้คนนับล้านในเมืองหลวงหยาดเหงื่อของแพทย์เทวดาและปลายนิ้วอันแผ่วเบาขององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ กำลังหลอมรวมกันเป็นโอสถทิพย์ที่ไร้รูป“ท่วงทำนองช่วงนี้ต้องบรรเลงให้หนักแน่น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่เส้นลมปราณม้าม” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวพลางชี้ไปยังโน้ตเพลงที่นางเพิ่งเขียนขึ้นองค์หญิงลี่หัวพยักหน้า นางกรีดปลายนิ้วลงบนสายพิณกู่ฉิน เสียงอันทรงพลังและมั่นคงก็ดังขึ้น สลายความสับสนวุ่นวายในอากาศให้หมดสิ้น การผสานศาสตร์แห่งการแพทย์ และศิลป์แห่งดนตรีของทั้งสองนับวันยิ่งลึกซึ้งและกลมเกลียวในขณะเดียวกัน ณ ห้องโถงใต้ดินของหอเหมยแดง บรรยากาศกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงนักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัด ยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่านักดนตรีชุดดำของพรรคเมฆาโลหิตกว่าสิบคน บทเพลงที่พวกมันกำลังบรรเลงร่วมกันนั้น มิได้มีความไพเราะแม้แต่น้อย มันคือท่วงทำนองที่บิดเบี