สิ้นเสียงประกาศจากอควาเรียม ทุกอย่างนิ่งเงียบ พร้อมกับใบหน้าที่ตึงเครียดของทุกคน แววตาตัดสินจ้องมองมาที่เจมส์เป็นตาเดียว ราวกับพยายามจะตำหนิว่าเขาเป็นต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่รองจากพลอย แต่เจมส์ก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาพวกนั้น เพราะในหัวของเขายังคงเฝ้านึกถึงแต่คำพูดของเสียงกระซิบนั้นที่เพิ่งจะบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวเสียงจากระบบ แต่ให้กลัวสิ่งที่อยู่ข้างหลังระบบมากกว่า
หมายความว่ายังไงกันแน่?
เขาคิดตาม ไหนจะประโยคที่บอกว่าเขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงสักเท่าไหร่ เพราะเขามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นว่าไม่เคยมาที่นี่แน่นอน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยกับความทรงจำที่โผล่เข้ามาในหัวเมื่อครู่ก็เริ่มทำให้เขาสับสนไม่น้อยทั้งภาพการจมอยู่ใต้น้ำข้างในตู้กระจกนั้น และการตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกของการเป็นคนเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
เสียงกระซิบนั้นกำลังต้องการจะบอกอะไรเรากันแน่…
เขานั่งนิ่ง พยายามที่จะเพ่งสมาธิเพื่อฟังเสียงกระซิบปริศนานั้นอีกครั้ง แต่มันกลับเงียบงัน ไม่ปรากฏเสียงใด แม้ว่าเขาจะตั้งใจมากเพียงใดก็ตาม
เห้อ!
เขาถอนหายใจแล้วทิ้งตัวนั่งเอนหลังพิงกับกำแพงใกล้ๆ สายตาทอดมองไปทั่วบริเวณ คนอื่นๆ ในกลุ่มกำลังจับกลุ่มสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาอยากจะมีส่วนร่วมกับทุกคน แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขามั่นใจว่าคงไม่มีใครอยากจะสุงสิงกับเขาอีก ตอนนี้เขาตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับพลอยแล้ว
ถูกโดดเดี่ยว…
อิฐยืนพิงผนังที่อยู่ด้านข้างตู้ปลายักษ์ สีหน้าเคร่งเครียด เขาสูดหายใจลึกก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก แววตาของเขาแฝงการตัดสินใจบางอย่างเอาไว้
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” อาริษาที่สังเกตเห็นสีหน้าของอิฐเอ่ยทักทันที
“ผมกำลังคิดว่ามีบางอย่างที่ผมควรบอกให้คุณทุกคนรู้”
“เรื่องอะไร?”
“ผมอยากให้ทุกคนฟังเรื่องที่ผมจะบอก” เขาเอ่ยขึ้นพลางหยุดหายใจครู่หนึ่ง “แล้วทุกคนก็ตัดสินใจกันเอาเองว่าจะอยู่ที่นี่ต่อในแบบที่เชื่อฟังกฎ หรืออยู่ต่อแบบที่คอยตั้งคำถามกับสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่”
แพรวากอดอกมองอิฐนิ่งหลังจากที่ได้ยินคำพูดจากปากเขา อาริษาขยับเข้าไปใกล้เพราะอยากจะตั้งใจฟังให้ได้มากที่สุด ส่วนบูมก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่ากำลังไม่ไว้ใจ ฝ่ายมิกิและหมอกยืนมองด้วยใบหน้านิ่ง เดาไม่ออกว่ากำลังรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่
“ก่อนจะได้รับบัตรเชิญ ผมไม่ได้เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป” อิฐเริ่มพูด ในขณะที่ทุกคนนิ่งฟัง “ผมเคยเป็นนักเขียนบทความออนไลน์เกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด ประเภทเรื่องที่ห้ามพูดถึง จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้เขียนถึงสถานที่ที่ไม่เคยปรากฏอยู่บนแผนที่”
“สถานที่ที่ไม่เคยอยู่บนแผนที่งั้นเหรอ” อาริษาถามย้ำ
“มันคือที่ไหน” แพรวาถามแทรก
“ที่นี่”
“ห้ะ!?” แพรวาอุทานเสียงหลง
“ที่นี่คือ Lucid Ocean อควาเรียมและศูนย์วิจัย ที่อยู่ๆ ก็หายไปจากทุกระบบราชการไทย”
“แล้วคุณไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน” อาริษาถามต่ออย่างอยากรู้
“ผมเคยเจอเอกสารหลุดบนเว็บบอร์ดใต้ดินเมื่อ 6 ปีก่อน ในนั้นมีแผนผังห้องทดลอง รูปตู้ปลาขนาดใหญ่ และชื่อของผู้ควบคุมโครงการ…” อิฐหยิบกระดาษเก่าขึ้นมาจากกระเป๋าของเสื้อแจ็คเก็ตที่สวมอยู่ มันถูกพับเอาไว้หลายทบ แต่เมื่อคลี่ออก กระดาษแผ่นนั้นก็เผยให้เห็นชื่อหนึ่งที่ถูกขีดเน้นด้วยปากกาสีแดง
“Project Director: Dr. Metha V.”
“คุณหมายถึง… ดร.เมธา คนที่เสียงประกาศพูดถึงอะเหรอ” แพรวาเอ่ยถาม
“ใช่ เขาเคยเป็นนักประสาทวิทยาระดับประเทศ เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื่อมโยงจิตสำนึกเข้ากับระบบอัตโนมัติ แต่เขาหายตัวไปพร้อมทีมวิจัยอีก 9 คน… เมื่อ 10 ปีก่อน และที่ที่พวกเขาหายไปคือที่นี่” อิฐอธิบาย
อาริษายื่นมือไปรับกระดาษใบนั้นจากชายหนุ่มตรงหน้า เธอไล่อ่านสิ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้นอย่างรวดเร็ว “นี่มันรายชื่อทีมทดลองเหรอ”
“ใช่” อิฐพยักหน้ารับ
“ในรายชื่อนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ ศศิธร ด้วย…”
“รู้จักเธอเหรอครับ”
“พี่สาวฉันเอง”
บูมได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “เดี๋ยวนะ… ถ้ามีคนหายไปจากที่นี่จริง ทำไมถึงไม่มีข่าว ไม่มีคดี ไม่มีอะไรเลย?”
อิฐตอบทันที “เพราะมันไม่เคยถูกบันทึกไว้ในระบบน่ะสิ”
“ยังไงนะ”
“ทุกอย่างของ Lucid Ocean ดำเนินการภายใต้โครงการย่อยของกองทุนวิจัยลับ โดยใช้รหัสว่า L–0–13 และเมื่อเกิดเหตุขึ้นมา รัฐบาลก็ไม่ได้ลบข้อมูลออกไป แต่พวกเขาเปลี่ยนข้อมูลเหล่านั้นให้เหมือนกับว่ามันไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้”
“แล้วทุกคนหายไปไหน” อาริษาตั้งคำถาม
“เท่าที่ผมพอจะรู้ พวกเขาไม่ได้หายไปไหน” อิฐบอก พลางเบนสายตามองหน้าทุกคนที่กำลังจ้องมองมาที่เขา “แต่ถูกทำให้หายไปอยู่ในที่ที่เราไม่รู้จัก”
บรรยากาศรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง ความเย็นวาบที่สัมผัสเข้ากับร่างกายของทุกคนทำให้พวกขนลุกชัน คำพูดของอิฐยิ่งสร้างปริศนาให้กับทุกคนที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ความเงียบที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนทุกคำพูดถูกดูดเข้าไปอยู่ในน้ำทั้งหมด
ไม่นานหลังจากนั้น… เสียงของระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้อมูลต้องห้ามถูกเปิดเผย ลำดับการทดลองจะถูกปรับเร่งเพื่อควบคุมผลกระทบ นี่คือการเตือนครั้งที่สอง”
“นี่คุณไปแตะต้องข้อห้ามเข้าแล้วใช่ไหม?” เจมส์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นมาเสียงเบา
“แค่พูดถึงอดีต ก็ทำให้ระบบสั่งเปลี่ยนแผนเลยเหรอ” กวินที่นั่งฟังมาพักใหญ่พูดขึ้นอย่างสงสัย“กฎข้อเจ็ด” แพรวากระซิบ “ห้ามถามถึงอดีต… มันคงไม่ใช่แค่ห้ามถาม แต่หมายถึงห้ามจดจำอดีตด้วยใช่ไหม?”
ทันใดนั้น กระจกของตู้ปลาหนึ่งบานก็เปลี่ยนจากสีใสเป็นผนังทึบ มันฉายภาพหนึ่งขึ้นมา เป็นภาพจำลองของห้องประชุมที่พังยับ เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนที่กำแพง และบนกระจกด้านในตู้ปลามหึมานั่นมีข้อความหนึ่งเขียนด้วยลายมือกลับหัวว่า
“เราจำได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีใครให้เราพูด”
ภาพข้อความกลับหัวบนกระจกของตู้ปลาหายไปแล้ว แต่มันยังคงถูกสลักฝังอยู่ความทรงจำของทุกคน“เราจำได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีใครให้เราพูด”ทุกคนต่างพากันสงสัยว่ามันกำลังหมายถึงอะไร มีใครบางคนถูกห้ามไม่ให้พูดความจริงของที่นี่ออกมาหรือเปล่า ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนกับว่าสิ่งที่หายไปกำลังพยายามหาทางดิ้นรนเพื่อที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ผ่านตัวอักษรกลับหัวเหล่านั้น มีใครบางคนที่นี่รู้ดีว่าสิ่งที่ข้อความนั้นกำลังสื่อคืออะไร แต่ก็คอยหนีมันมาโดยตลอด และนั่นอาจไม่ใช่ใครอื่น นอกไปจากแพรวาเธอยืนนิ่งหน้ากรจะตู้ปลาบานหนึ่ง แสงสลัวจากด้านในฉายเงาบางๆ บนใบหน้าของเธอ หากพิจารณาดูให้ดีจะมองเห็นว่าดวงตาของเธอว่างเปล่ามาก ไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่ภายในนั้น ไม่สามารถเดาอรมณ์จากแววตาของเธอได้เลยว่ากำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไรอยู่ ไม่นานน้ำในตาเริ่มคลอหน่วยขึ้นช้าๆ“เป็นอะไรหรือเปล่า?&rdq
หลังจากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับพลอย และรอยร้าวรูปใยแมงมุมที่ยังคงปรากฏอยู่บนบานกระจกของตู้ปลาขนาดใหญ่นั้น สมาชิกที่เหลือทั้งสิบเอ็ดคนที่เหลืออยู่ในลอบบี้อย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล้าพูดถึงเธออีก ด้วยกลัวว่าจะโดนผลกระทบไปด้วยหากเข้าไปยุ่งกับพลอย เหมือนกับว่าถ้ามีใครสักคนพูดถึงคนที่ละเมิดกฎเหล็กและกำลังจะถูกลงโทษอาจเป็นการเชื้อเชิญความสูญเสียเหล่านั้นมาสู่ตนเองด้วยทุกคนถอยห่างออกจากพลอย แยกย้ายกันไปหาพื้นที่ให้กับตนเอง ทิ้งพลอยให้ตกอยู่กับความหวาดกลัวเพียงคนเดียว แม้ว่ากวินและแพรวาจะแสดงออกถึงความเป็นห่วงพลอยอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขามีความกังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่จะต้องอยู่ใกล้พลอย ทำให้ในตอนนี้แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปหามุมพักผ่อนให้กับตัวเองเจมส์นั่งอยู่ตรงมุมห้อง ใกล้กับตู้กระจกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ข้างใน เขาเป็นชายหนุ่มเงียบขรึมในเสื้อฮู้ดสีดำ ข้อมือเต็มไปด้วยรอยสักรูปเรขาคณิต เขาไม่ค่อยพูดตั้งแต่เข้ามาที่นี่ มักจะอยู่ในมุมเงียบๆ คนเดียว จนหลายคนในกลุ่มยังจำหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาแทบไม่มีตัวตนในสายตาของใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแอบทำมาโดยตลอดนั่นก็คือก
สิ้นเสียงประกาศจากอควาเรียม ทุกอย่างนิ่งเงียบ พร้อมกับใบหน้าที่ตึงเครียดของทุกคน แววตาตัดสินจ้องมองมาที่เจมส์เป็นตาเดียว ราวกับพยายามจะตำหนิว่าเขาเป็นต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่รองจากพลอย แต่เจมส์ก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาพวกนั้น เพราะในหัวของเขายังคงเฝ้านึกถึงแต่คำพูดของเสียงกระซิบนั้นที่เพิ่งจะบอกเขาว่าไม่ต้องกลัวเสียงจากระบบ แต่ให้กลัวสิ่งที่อยู่ข้างหลังระบบมากกว่า หมายความว่ายังไงกันแน่? เขาคิดตาม ไหนจะประโยคที่บอกว่าเขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงสักเท่าไหร่ เพราะเขามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นว่าไม่เคยมาที่นี่แน่นอน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยกับความทรงจำที่โผล่เข้ามาในหัวเมื่อครู่ก็เริ่มทำให้เขาสับสนไม่น้อย ทั้งภาพการจมอยู่ใต้น้ำข้างในตู้กระจกนั้น และก
ภาพบานกระจกแตกและมีรอยฝ่ามือเปียกปริศนานั้นทำเอาทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ต่างคนต่างนิ่งอึ้ง ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงอันใดออกมาแม้แต่นิดเดียว ความเงียบในตอนนี้หนักกว่าทุกเสียงที่ได้ยินมาก่อนหน้า มันเงียบสนิทชนิดที่ได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคนได้อย่างชัดเจนรอยนิ้วมือเปียกน้ำบนผนังกระจกยังคงอยู่ดังเดิม มันไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้งหายไปเลยสักนิด ทั้งที่ในความเป็นจริงหากเป็นร่องรอยความชื้นของฝ่ามือมนุษย์ทั่วไป ความชื้นเหล่านั้นคงจะเริ่มทยอยระเหยไปบ้างได้แล้วเมื่อระยะเวลาผ่านไปพลอยผู้ยืนอยู่ใกล้ตู้ปลานั้น เด็กหญิงหน้าตาเรียบร้อยในชุดนักศึกษา เธอไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามาในที่แห่งนี้ แต่ตอนนี้… เธอกำลังเพ่งมองเงาบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในตู้ปลาที่อยู่ใกล้ๆ เธอ มันเหมือนกับว่าเธอเคยรู้จักมันมาก่อนมันดูคุ้นตามาก เพียงแต่เธอนึกไม่ออกว่าเคยเห็นมันมาจากที่ไหน ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มเกิดขึ้นในจิตใจของเธอ เธอจ้องมมองมันนิ่ง ไม่ส่งเสียงใด แต่แววตาของเธอมันเปล่งประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่ากำลังหลงใหลกับภาพตรงหน้าไม่น้อย“พลอย&helli
“อย่า…แตะ…กระจก…”เสียงนั้นดังมาจากข้างในตู้ปลา ทุกคนต่างได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครในลอบบี้แน่ใจว่าตัวเองได้ยินจริงหรือเพียงแค่จินตนาการไปเอง มันไม่ใช่เสียงที่ผ่านอากาศมาเข้าใบหู แต่มันเหมือนกับว่าสั่นอยู่ในเส้นประสาท เป็นเหมือนเสียงที่ถูกกระซิบขึ้นในหัวสมองของทุกคนมิกิถอยหลังโดยอัตโนมัติด้วยความตกใจกลัว เธอสะดุดเก้าอี้และทรุดนั่งลงไปบนพื้น ข้างๆ โทรศัพท์มือถือที่พังไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งหน้าจอของมือถือเครื่องนั้นเหมือนจะส่องแสงสว่างวาบเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแสดงภาพย้อนกลับอย่างรวดเร็วของการถ่ายรูปก่อนหน้านี้ เพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่หน้าจอจะดับสนิท เหมือนไม่เคยเปิดเครื่องมาก่อน“มีบางอย่างอยู่ในนี้จริงๆ สินะ” เธอพึมพำ เสียงสั่น ใบหน้าซีดไร้สีเลือด เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจากนั้นเสียงจากลำโพงก็กลับมา แต่คราวนี้… มันไม่เหมือนเดิม“WELCOME TO LUCID OCEAN. คุณคือผู้ถูกเลือกทั้ง 12 คน เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ หรือท้ายที่สุดอาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกเฝ้าสังเกตเสียเอง...”เสียงที่ดังขึ้นในปร
ถ้าลอบบี้คือห้องรับรอง มันก็คือห้องรับรองที่ไม่ได้อยากจะต้อนรับใครเลย บรรยากาศโดยรอบดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก อุณหภูมิภายในนั้นก็ลดลงทุกนาที กระจกที่ควรโปร่งใสกลับสะท้อนภาพภายในห้องซ้อนทับกับเงาของใครบางคนที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนั้นขึ้นมาแม้จะไม่มีเสียงประกาศใดอีกจากลำโพง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดดังเกินไปกว่าระดับเสียงที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเสียงกระซิบแล้ว‘เรากำลังติดอยู่ในกับดัก’กวินคิดในใจ ขณะมองไปรอบห้องอีกครั้งอย่างพิจารณาไฟฟ้าติดอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ยินเสียงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังทำงานเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเงียบสนิท ผนังแต่ละด้านคือกระจกทึบ มองออกไปข้างนอกไม่ได้ และเพดานก็สูงเกินไปกว่าที่จะสังเกตเห็นว่ากล้องวงจรปิดอยู่ตรงไหนบ้างแต่สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เหมือนกันนั่นก็คือ มีบางอย่างในที่นี้… กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่อย่างไม่วางตา แน่นอนว่าไม่ใช่จากกล้องวงจรปิด แต่จาก บางอย่าง ที่กำลังปิดบังตัวตนจากพวกเขาทุกคน แม้จะไม่เห็นตัวตนของมัน แต่พลังงานการมีอยู่ส่งตรงมาถึงพวกเขาทุกคนได้อย่างชัดเจน“ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหญิงวัยกลางคนที่ชื่อหมอกดังขึ้น เธอค่อยๆ เดินตรงไปที่ประตูทางเข้าทั