อธิคมและภาณินี วิริยนันท์ นักมานุษยวิยาได้ให้กำเนิดบุตรสาวชื่อแก้วเก้า ขณะที่ทั้งสองไปทำงานวิจัยและค้นพบโบราณสถานบริเวณลุ่มน้ำกาหลงในอดีต เมื่องานวิจัยเสร็จสิ้นทั้งสองได้ย้ายไปทำงานที่สุราษฎร์ธานี แก้วเก้าเรียนจนจบ ม.ปลาย พ่อและแม่ได้ย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ คืนแรกที่ “บ้านวิริยนันท์” ริมคลองมอญ แก้วเก้าได้พบกับชายคนหนึ่งแต่งกายโบราณเขาเรียกแก้วเก้าว่า เจ้านางแก้วเก้าเนาวรัตน์ขัติยนารีศรีเวียงเชียงรุ้งหรือเจ้านางน้อย แก้วเก้าเรียกเขาว่า “คุณน้า” แก้วเก้ารับแสดงละครเวทีแทนนักแสดงที่ป่วยกระทันหัน ทำให้ได้รู้จักกับเจ้าองค์อินทร์ ณ แมนรัตน์ แก้วเก้าไม่ชอบที่เขาพูดดูถูกเธอตอนซ้อมละคร แต่พอเจ้าองค์อินทร์เสนอจะติวสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ แก้วเก้ายอมตกลง “คุณน้า” เริ่มแสดงพลังในทางร้ายมากขึ้น เลอสรวง ณ แมนรัตน์ สมิธ ลูกผู้น้องของเจ้าองค์อินทร์เดินทางมาจากอังกฤษเพื่อรักษาตัวที่ไทยในสภาพเจ้าชายนิทราจากอุบัติเหตุรถยนต์ แก้วเก้ากับครอบครัวถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงของคุ้ม ณ แมนรัตน์ ที่เชียงราย ได้พบกับเลอสรวงที่นั่งรถเข็นและยังไม่สามารถพูดจาสื่อสารได้ เธอทำให้เลอสรวงฟื้นความทรงจำแต่เป็นความทรงจำของเจ้าขวัญฟ้าในอดีตชาติ...
View Moreณ บ้านเวียงไชย อำเภอลอง จังหวัดแพร่ อธิคมและภาณินี วิริยนันท์ นักมานุษยวิทยา สามีภรรยาหนุ่มสาวเดินทางออกจากบ้านย่านคลองมอญ บางกอกน้อย ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของฝ่ายหญิงไปยังดินแดนภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อทำโครงงานวิจัยดุษฎีนิพนธ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนโบราณ ถิ่นฐานต้นกำเนิดลำน้ำยม ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่เรือนไม้สักของแม่อุ๊ยเป็ง และหนานอิน ใช้ชีวิตอย่างเดียวกับชาวบ้าน กลมกลืนไปตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมของท้องถิ่น
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว ขณะนั่งผิงไฟรับไออุ่น อธิคมถามหนานอิน ในสิ่งที่เขาสงสัย
“ผมแน่ใจว่าตาไม่ฝาดแน่ แสงนั่นมันคืออะไร”
“ก็มีประจำทุกปีครับ เฉพาะช่วงคืนแรม เดือนยี่เป็ง บางคนก็ว่ามีสายแร่ทองแดงอยู่ใต้ดิน เอารถไถเข้าไปขุด พอคมไถแตะผิวดิน ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง! ลงมา ไม่ใครกล้าเข้าไปยุ่งกับมันแล้วล่ะครับ กลัวตายกัน”
แม่อุ๊ยเป็งกำลังเติมเชื้อฟืนใส่กองไฟอยู่ใกล้ ๆ กัน ได้ยินว่าพูดกันเรื่องอะไรอยู่ ก็เกิดอาการนัยน์ตาเบิกกว้าง กล้ามเนื้อหดตัว เหลียวซ้ายแลขวา ท่าทางหวาดกลัว ร้องบอกกับภาณินี
“อาจารย์อย่าไปยุ่งกับมันนะ ที่นั่นมันมีคำสาป”
“ใครสาป แล้วทำไมต้องสาป อุ๊ยเป็งรู้หรือเปล่า” ภาณินีเลียบ ๆ เคียงถาม อยากรู้มากขึ้นไปอีก
อุ๊ยเป็งสั่นหน้า “พูดไม่ได้ แม่อุ๊ยบอกไม่ได้ อาจารย์อย่าถามต่อนะ”
“อ้าว” ภาณินีอุทาน หัวเราะเบา ๆ “แล้วอุ้มจะรู้มั้ยล่ะ”
“เอาเถอะอุ้ม พี่ว่า หมดหน้าหนาว เราค่อยเข้าไปดูที่ตรงนั้นกันนะ ไปด้วยกันมั้ยครับหนานอิน”
อุ๊ยเป็งจ้องหนานอินตาเขม็ง กลัวสามีจะตกปากรับคำ
“ผมมาคิด ๆ ดูนะอาจารย์ ไอ้พวกที่มีอันเป็นไปเพราะไปยุ่งกับที่ตรงนั้น แต่ละคน ถ้ามันไม่เป็นไอ้โจรก็เป็นพวกขี้โลภขี้เหล้า”
“เราสองคนไม่อยากได้อะไรจากที่ตรงนั้น เพียงแค่อยากรู้ว่า อะไรทำให้เกิดปรากฏการณ์ผิดธรรมชาตินี้ขึ้นมา”
“อืม” หนานอินสบตากับภรรยา “ไปด้วยก็ได้ แต่อาจารย์ต้องเข้าพิธีสาไหว้ผีปู่เจ้ากับผม”
“ครับ หนานอิน” อธิคมรับปาก ภาณินีเองก็พยักหน้ารับปากด้วย
แม่อุ๊ยเป็งมองสามีด้วยความผิดหวัง เขาและอาจารย์สองคนนี้จะนำภัยร้ายคืบคลานทำลายชีวิตอันสุขสงบของครอบครัว
ÿ
พอเข้าฤดูร้อน ทั้งสามคนก็เดินทางเข้าไปดูพื้นที่ต้นน้ำ
เหนือหมู่บ้านด้วยตาตนเอง หนานอินเตรียมผ้าทอด้ายดิบสีขาวไปผืนหนึ่ง พร้อมเครื่องบูชาเซ่นไหว้ผีปู่เจ้า ชาวบ้านนับถือต่อ ๆ กันมาหลายร้อยปีว่า คือ วิญญาณของเจ้าผู้ครองเวียงไชย อธิคมและภาณินีเดินตามหลังหนานอิน เลาะธารน้ำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงกอไผ่รวกกอใหญ่ร่มรื่น ลานกว้างหญ้ารกปกคลุม คล้ายฝีมือมนุษย์สรรค์สร้างลานกว้างนี้เอาไว้
ผู้เฒ่าวัยหกสิบเศษ ผมสีดอกเลากระจายทั่วศีรษะ แต่ยังกระฉับกระเฉง ปูผ้าขาวลงกับพื้น วางเครื่องบูชาเซ่นไหว้ จุดธูปเทียนปักลงดิน ก้มกราบขอขมาผีปู่เจ้า ความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจขจัดปัดเป่าออกไปส่วนหนึ่ง
อธิคมและภาณินีร่วมอยู่ในพิธีนั้นตามที่หนานอินสั่งเอาไว้ หากแต่ทั้งคู่ พนมมือน้อมจิตรำลึกถึงพระสยามเทวาธิราชผู้พิทักษ์ปกป้องแผ่นดินไทย และบอกเจตนาของการมายังสถานที่นี้
อาจารย์หนุ่มก้มกราบ เงยหน้าขึ้นมา เห็นภาพเลือนรางปรากฏเบื้องหน้า เขาจ้องมองไม่วางตา จนกระทั่งแน่ใจภาพที่ตนเองเห็น
“ข้างใต้นี้มีองค์พระธาตุ” เขาบอกกับภรรยาและหนานอินด้วยความตื่นเต้น
“ผีปู่เจ้าเวียงไชยแน่ ๆ อาจารย์ ทำให้อาจารย์มองเห็นอย่างนั้น”
หนานอินแนะนำให้อธิคมทดลองขุดดินลงไปตรงจุดที่เห็น
องค์พระธาตุ อธิคมเหวี่ยงด้ามจอบขุดดินตามที่หนานอินชี้จุด คมจอบฝังลึกลงไปในดินแค่ครึ่งหนึ่ง ปลายคมกระทบผืนดินดัง ชิ้ง! อธิคมค่อย ๆ งัดดิน ยั้งข้อแขนไม่คมจอบขุดลึกลงไปอีก แต่ลากผานจอบถากดินให้ขยายวงรอบกว้างออกไป เห็นแผ่นอิฐดินเผาเรียงซ้อน ริมฝีปากของอธิคมขยับ
”โอ...คุณพระช่วย !”
“เปรี้ยง!!! เปรี๊ยะ!!!!” ฟ้าผ่าต้นรัง กิ่งไม้ใหญ่น้อยลุกเป็นไฟ กลิ่นควันไหม้ตลบอบอวล พื้นดินสั่นสะเทือน
“กรี๊ดดดดด…!” ภาณินีโผกอดสามีด้วยความตกใจ หลับตาแล้วค่อย ๆ มองภาพตรงหน้าใหม่อีกครั้ง
หนานอินเองก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลง มือพนม ปากท่องมนต์บูชาผีปู่เจ้าตะกุกตะกัก
อธิคมตัดสินใจที่จะไม่ขุดต่อ เกลี่ยดินกลบปิดหลุม แล้วเอาหนามไผ่มาวางปกคลุม เขาขอให้หนานอินปิดความลับและช่วยรักษาสถานที่นี้จนกว่าเขาและภรรยาจะกลับมา จากนั้นอธิคมและภาณินีก็เดินทางไปกรุงเทพมหานคร
ÿ
หลังจากนั้น ถัดมาอีก 1 เดือน อธิคมและภาณินีเดินทางกลับมาพื้นที่วิจัยอีกครั้ง พร้อมกับคณะช่างสำรวจโบราณสถานของกรมศิลปากร อุดม ชนสุจริต อธิบดีกรมศิลปากร เดินทางมาดูด้วยตนเอง
การขุดค้นโดยนักโบราณคดีขยายหลุมกว้างและลึกออกไปพบห้องบรรจุพระพุทธรูปทองคำใต้ฐานองค์พระธาตุและแผ่นหินทรายแกะสลัก หลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ จมดินอยู่ด้านตะวันตกขององค์พระธาตุ
การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีชุดใหม่นี้ทำให้ อธิคมและภาณินีตัดสินใจอยู่เก็บงานวิจัยต่อไปอีก 2 ปี
เมื่อครบกำหนด 2 ปีแล้ว สองสามีภรรยากลับมาทำงานประจำการสถาบันศึกษาและวิจัยมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา เพียงสองเดือนหลังจากนั้นภาณินีก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว ระหว่างนั้นหนานอินส่งข่าวมาบอกสองสามีภรรยาว่า ตั้งแต่อธิคมขุดพบพระธาตุหลวงเวียงไชย ที่นั่นก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ดูท่าว่า คำสาปที่ร่ำลือกันมานานจะเป็นเรื่องไม่จริง หนานอินและอุ๊ยเป็งมีงานประจำเป็นมัคคุเทศก์และมีรายได้เสริมจากการขายละมุดในสวนให้นักท่องเที่ยว
ÿ
สิบเจ็ดปีต่อมา แก้วเก้า วิริยนันท์ บุตรสาวคนเดียวของอธิคมและภาณินี วิริยนันท์ เติบโตขึ้นเป็นสาวน้อย ผิวขาวอมชมพูเนื้อเนียน นัยน์ตาโตสวยหวาน จมูกโด่ง แก้มแดงเป็นพวง ผมยาวดำขลับจรดบั้นเอว ถักเปียแล้วม้วนขดบนศีรษะ เธอนั่งมองไปสุดคุ้งโค้งน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านหายลับไปในท่ามกลาง หมู่ขุนเขาด้านตะวันตก เธอกำลังเพลิดเพลินกับการปล่อยอารมณ์สุขสบายไปกับสายน้ำไหล
ช่วงพักกลางวัน บริเวณหลังโรงเรียนบ้านโมถ่าย อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เด็กชาย หญิงสองหรือสามคนมักจะวิ่งปราดจากโรงอาหารมานั่งใต้ต้นไทรริมน้ำเป็นประจำ และในวันหยุด สิ่งที่เป็นความสุขที่สุดของเธอก็คือการกระโดดลงน้ำตูม! ตูม! กับเพื่อนสนิท 2 คน
“ใหญ่ ดวงจำปา” ลูกชายคนโตของภารโรงและ “จำรัส” หรือ “หรัด ส่องสุข” ลูกชายนายสถานีรถไฟเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน วันที่เรียนจบมัธยมปลายทั้งสามคนมานั่งกอดเข่าเจ่าจุกมองสายน้ำอย่างเศร้าสร้อย “ใหญ่” ขว้างก้อนหินลงไปในแม่น้ำ แล้วก็มองดูมันจมลงไปก้อนแล้วก้อนเล่า
“เก้า” ใหญ่เรียกชื่อเพื่อนหญิง “พ่อกับแม่ของแกต้องไปจากที่นี่จริง ๆ เหรอ”
เด็กสาวถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบ “อืม...”
หรัดถอดชุดนักเรียนวางกอง เหลือกางเกงในสีหม่นมีรอยขาดเป็นรูโบ๋ที่ก้นข้างหนึ่ง เห็นเนื้อเนียนสีเข้ม
“ใหญ่ เก้า ก่อนที่พวกเราจะแยกจากกันไป มาเล่นน้ำด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
“พวกแกไปกันหมด เหลือฉันที่ไปไหนไม่ได้ ฮึ” ใหญ่ขว้างก้อนหินเม็ดสุดท้ายใกล้มือที่สุดออกไป ลุกขึ้นถอดชุดนักเรียน “เก้าแกจะลงเล่นน้ำกับพวกเรามั้ย”
“ไม่ล่ะ ที่บ้านรอฉันอยู่ ฉันต้องไปแล้ว พวกแกเป็นคนที่นี่ ยังไงก็ต้องอยู่ที่นี่ใช่มั้ย สักวันฉันจะกลับมา ฉันสัญญา”
“ไม่แน่หรอก” หรัดกระโดดลงน้ำเสียงดัง ตูม! โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ “ถ้าพ่อฉันย้ายไปอยู่สถานีอื่น ฉันก็ต้องย้ายบ้านเหมือนกัน”
“อ้าว ไปกันหมดเลย” ใหญ่กอดอกแห้ง ๆ รูปร่างผอมเกร็ง มีเค้าว่าถ้าโตขึ้นเขาคงจะสูงใหญ่เหมือนลุงสมบูรณ์พ่อของเขา
“ฉันจะจำไว้ว่าส่วนหนึ่งของแม่น้ำตาปีที่ตรงนี้ ยังไงก็มีแกรออยู่ แล้วฉันจะเขียนจดหมายมาหาพวกแก”
“เก้า... แกเขียนเล่าเรื่องเพื่อนใหม่มาให้ฉันอ่านบ้างนะ สัญญาว่าแกจะไม่ลืมฉัน”
ใหญ่ยื่นนิ้วก้อยออกมาข้างหน้า เก้ายื่นนิ้วก้อยเกี่ยวรัดกันเอาไว้ บอกกับใหญ่ว่า
“ฉันสัญญา หรัดด้วยนะ”
หรัดยื่นมือโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ชูนิ้วก้อยข้างซ้ายเนื้อซีดเกี่ยวกับนิ้วก้อยของแก้วเก้า
“เก้า...” ใหญ่เรียกอีกที “แกแวะบ้านฉันก่อน ฉันมีของที่อยากให้”
“ได้...” แก้วเก้าเดินตาม ร่างผอม ผิวเข้ม เขาพาไปบ้านภารโรงหลังโรงเรียนบอกให้เก้ารอหน้าบ้าน
ÿ
ลุงสมบูรณ์กับป้าบัวมีลูก 5 คน แออัดอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ท้ายโรงเรียน ป้าบัวเป็นแม่ครัวทำอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียน แล้วก็เลี้ยงลูกไปด้วย ใหญ่ช่วยพ่อแม่เลี้ยงน้อง เวลาพักผ่อนของเขา คือ เวลาที่น้อง ๆ นอนหลับกลางวัน เขาใช้เวลานั้นไปเล่นน้ำกับเก้าและหรัด
ใหญ่ออกมาจากบ้าน กำสายเชือกสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจูงมือเก้าเดินไปหยุดยืนริมตลิ่ง ดวงตากลมโตจ้องมองเพื่อนรักอย่างตั้งใจ
“แกชอบพระจันทร์เดือนเสี้ยว กะลาตาเดียว ... พ่อได้มาจากแถว ๆ สวนโมกข์ ฉันขอแบ่งมาทำจี้สร้อยคอให้แก” ใหญ่ส่งสายสร้อยให้เพื่อน
“สวยดีนี่ แต่ทำไมมันยาวจัง ฉันใส่แล้วมันไม่ห้อยมาติดพุงเหรอใหญ่” เด็กสาวหยุดหัวเราะ เมื่อเห็นเขาทำหน้าตาจริงจัง
“ใครให้แกใส่ตอนนี้ล่ะ ฉันทำเผื่อตอนแกโตแล้วต่างหาก”
“อ้าว! เหรอ แล้วเกิดฉันอยากใส่ตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ” แก้วเก้าส่งสร้อยคืนให้เขา
“อ่ะ แกแหละใส่ให้ฉัน”
“เอาจริงเหรอ” ใหญ่ถาม อีกฝ่ายผงกศีรษะ
“ขอบใจนะใหญ่ ฉันจะเก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ฉันไม่มีอะไรให้แกเลย”
“ไม่เป็นไร เก้า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแก ฉันเก็บมันไว้ในนี้”
ใหญ่ตบหน้าอกตำแหน่งที่ตรงกับหัวใจตัวเอง “โชคดีนะเพื่อน”
“แกก็เหมือนกัน” แก้วเก้าโบกมือลาเพื่อนทั้งสองคน
ÿ
รถบรรทุกสิบล้อแล่นผ่านหน้าโรงเรียน ข้างหน้ารถคันนั้น แก้วเก้านั่งแทรกกลางระหว่างพ่อและแม่
“ลาก่อนลำธารที่เคยแหวกว่าย โรงเรียนและเพื่อนรักของฉัน” เด็กสาวเลื่อนตัวเองมาข้างหน้า ชะโงกดูภาพทิวทัศน์ ตั้งใจจดจำมันเอาไว้ “ฉันก็เก็บแกไว้ในนี้เหมือนกันนะ”
“เก้ายังไม่หายคิดถึงเพื่อนอีกเหรอ” พ่อถามพลางยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ
“พ่อคะ... เก้าจะได้กลับมาที่นี่อีกมั้ย…”
“วันหนึ่งเมื่อลูกโตขึ้นนะ เราก็กลับมาเที่ยวที่นี่ได้อีก”
“โอโห... ทำไมต้องรอจนเก้าโตด้วย พ่อกับแม่พาเก้ามาตอนปิดเทอมไม่ได้เหรอคะ”
“ที่นี่ไกลจากบ้านของเรามาก” เขาอยากให้ลูกสาวตัดใจจากที่นี่
“เราจะกลับไปอยู่บ้านเก่าของคุณตาคุณยายที่ท่านยกให้แม่ พอพวกท่านเสียชีวิตบ้านถูกทิ้งร้างอยู่ แม่เสียดายจ้ะ”
“เราอยู่ที่นี่มาเกือบ 20 ปี ดูสิจนกระทั่งลูกโตเป็นสาว” อธิคมมองดูแก้วเก้านั่งเอนตัวเบียดมาทางพ่อมากกว่าจะไปทางแม่ “เก้าเองก็ต้องรีบไปเตรียมตัวสอบแต่เนิ่น ๆ อยู่ที่นี่ พ่อแม่เผลอทีไร เก้าก็หายไปเล่นน้ำกับเพื่อนทุกที พ่อว่า ถ้าอยู่ต่อจะสอบไม่ได้ เอานะ”
“แหม...ก็เก้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวไกลกว่านั้น นี่คะ แล้วเพื่อนที่ชอบเล่นน้ำเหมือนกับเก้า ก็มีแค่ 2 คน นอกนั้น เขาก็นั่งรถไปเที่ยวในจังหวัด อีกอย่างพ่อกับแม่สอนหนังสือ ที่นี่ได้ ไม่เห็นต้องไปสอนที่กรุงเทพฯ เลย เก้าอยากอยู่สุราษฎร์ ฮือ...” แก้วเก้าแหงนหน้าดูพ่อและแม่ ทั้งสองคนส่งยิ้มให้แก่กัน
“ดูสิ โตแล้วนะเก้า” แม่ดุ แต่หน้าตาไม่ได้จริงจังอะไร แก้วเก้าจึงรบเร้าต่อไป
“โรงเรียนใหม่ของเก้ามีแม่น้ำอยู่ข้างหลังโรงเรียนมั้ยล่ะ” ท่าทางปั้นปึ่งเอาเรื่อง
“ไม่มีหรอกลูก... แต่หน้าบ้านของเรามีคลอง ชื่อคลองมอญ” พ่อเอ่ย ยิ้ม ๆ
“จริงเหรอคะ” น้ำเสียง ท่าทางตื่นเต้นขึ้นมา
พ่อยิ้ม สบายใจ แม่มองคนขับรถบรรทุก แต่อ้อมแขนข้างหนึ่งมาทางด้านหลังของเก้าจากนั้น เก้าก็รู้สึกว่า ตัวของพ่อสะดุ้งโหยงขึ้นมา
“แม่บอกเก้าเอาไว้เลย ห้ามลูกลงเล่นน้ำเด็ดขาด”
“เก้า” พ่อปรับท่าทีใหม่ พูดเอาจริงเอาจังขึ้นกว่าเดิม “สายน้ำแต่ละสายเหมือนเส้นใยยึดโยงแผ่นดิน ลูกรักและผูกพันสายน้ำที่นี่ เพราะมีเพื่อนที่รักและเข้าใจกันอยู่ตรงนี้ พ่ออยากให้ลูกจดจำความรู้สึกดี ๆ เอาไว้ เพราะเมื่อลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนในโลก ความรู้สึกดี ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่จะอยู่กับลูกเสมอ แม้ว่าบางทีลูกจะอาจลืม ๆ มันไป เพราะมีเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย”
พ่อลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ อีกครั้ง เด็กสาวเอียงตัวซบอกของพ่อ
“เก้าไม่อยากโต เก้าอยากอายุเท่าเดิม อยากให้เรื่องที่ผ่านไปเมื่อวาน หรือวันก่อน ๆ ยังอยู่กับเก้าตลอดไป”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พ่อกับแม่ก็ต้องเหนื่อยกว่าเดิม เพราะเลี้ยงลูกเท่าไหร่ ลูกก็ไม่โตสักที”
แก้วเก้าเบียดชิดพ่อมากขึ้นไปอีก แก้วเก้าสนิทสนมกับพ่อมากกว่าแม่ เธอหรี่ตาดูสีหน้าของแม่ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคืองอะไร มีแค่น้ำเสียงดุ ๆ เด็กสาวหลับตา ศีรษะโยกคลอนตามแรงเหวี่ยงของรถบรรทุก
“ขยับมาทางแม่หน่อยสิเก้า นั่งอย่างนั้นพ่อก็เมื่อยแย่” ลูกสาวเอนตัวซบพ่อ ไม่ยอมขยับตัว
“ลูกหลับแล้วเหรอคะพี่คม ทำไมหลับง่ายจัง”
ประโยคสุดท้ายของแม่ เร่งให้แก้วเก้าหลับเร็วขึ้น
“อืม... หลับแล้ว”
เสียงพ่อตอบแม่ และแก้วเก้าก็หลับลงไปแล้วจริง ๆ
ÿ
แก้วเก้ารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังงัวเงียอยู่บนที่นอนนุ่ม ๆ สีขาว พอตาสว่างก็ร้องโวยวาย เอามือคลำที่คอว่างเปล่า
“สร้อยเก้าหาย สร้อยเก้าหาย ฮือ”
แม่เข้ามาในห้องเป็นคนแรก “เก้า...เก้า...
ละเมอเหรอลูก!”
“เก้าตื่นแล้ว เก้าหาสร้อยไม่เจอ”
“แม่ถอดเก็บเอาไว้ให้เอง ตอนเช็ดตัวลูกไงจ๊ะ เรามาถึงบ้านใหม่แล้ว อืม... ความจริงมันเป็นบ้านเก่า บ้านของคุณตาคุณยายน่ะจ้ะ”
“พ่อล่ะคะ พ่ออยู่ไหน”
“พ่อนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง ตอนนี้มันเที่ยงคืนนะเก้า เราเดินทางกันทั้งวัน ทุกคนต่างก็เหนื่อย ยกเว้นลูกที่หลับยาวจนถึงบ้าน”
“แม่เก็บสร้อยของเก้าไว้ที่ไหนคะ”
“แขวนไว้ที่ข้างฝานั่นไง ถ้าลูกชอบมันมาก ๆ ก็ต้องหาที่เก็บดี ๆ นะจ๊ะ แล้วแม่จะหากล่องมาให้”
“เก้าอยากใส่มันไว้ตลอดเวลา”
“ไม่ได้หรอกนะ เชือกมันยาวเกินไปใส่แล้วไม่สวยเลย แม่ตัดให้เอามั้ย ทำให้พอดีกับคอลูก”
“เก้าขอสวมมันก่อนนะคะแม่” แก้วเก้าสวมสร้อยคอ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือคลึงจี้รูปเดือนเสี้ยว
“จะไม่เล่าให้แม่ฟังเลยเหรอ ว่าเก้าได้สร้อยนั่นมายังไง”
แม่ลูบผมของแก้วเก้า แล้วบีบจมูก ดึงขึ้น จนรู้สึกเจ็บ
“ใหญ่ทำให้เก้าค่ะ”
“เดือนเสี้ยว มีความหมายอะไรกับลูกเป็นพิเศษหรือเปล่า”
แม่ยิ้มพลางเอนตัวลงนอนข้าง ๆ และกอดลูกสาวแนบกับอก
เจ้าขวัญสรวง ดอกเตอร์อลงกต หมอเนตรดาว ภาณินี อธิคม เจ้าเทพนรินทร์และท้าวศรีโสภางค์ มาแสดงความยินดีกับเธอ เพื่อนทั้งชายและหญิงห้อมล้อมของถ่ายรูป สลับสับเปลี่ยนกันไปมาแก้วเก้าส่งปริญญาบัตรให้อธิคมและภาณินีชื่นชม ทั้งคู่เปิดออกอ่าน แล้วส่งต่อให้เจ้าองค์อินทร์ เขารับมาถือไว้กับตัว ภาณินีหรี่ตามองว่าที่ลูกเขย“เห็นมั้ยว่าพี่ส่งอะไรให้เจ้า”“ครับ” เจ้าองค์อินทร์ ถูกลูกศิษย์ภาคการละครดึงตัวไปถ่ายรูป พร้อม ๆ กับแก้วเก้า “อะไรนะครับอาจารย์”“หืม... จนป่านนี้ยังเรียกว่าพี่กับอาจารย์กันอยู่อีก” หมอเนตรดาวหัวเราะ ชวนทุกคนเข้าไปที่ห้องทำงานของอลงกตบนอาคารคณะศิลปกรรมอลงกตก็ถูกเชิญถ่ายรูปกับนิสิตเหมือนกัน จนทุกคนพอใจแล้ว อลงกตจับมือหลานสาวกลับมาที่ห้องทำงานของเขา เจ้าองค์อินทร์เดินตามมาด้วยกันเจ้าขวัญสรวงชราลงไปมาก แต่ก็คงความสดใส และมีความสุข เธอลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามา เจ้าองค์อินทร์กับแก้วเก้าต่างโผเข้าไปประคองและกอดด้วยความรักและคิดถึง&ldqu
“นายปริญญายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่กับตัวคือคุณวิชุดา หลวงพ่อยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี”“คุณวิชุดาเป็นแม่ของพระองค์อินทร์ จะว่าไปเราก็เกี่ยวดองกับเธออยู่นะ”ภาณินีค้อนสามี“อุ้มกลัวผู้หญิงคนนี้นะคะ พูดถึงเรื่องหมั้นของลูกกับเจ้าองค์อินทร์ ของหมั้นไปอยู่กับหลวงพ่อเสียแล้ว หลวงพ่อบอกพี่คมหรือเปล่าว่าท่านเอาสร้อยไปทำไมคะ”“อืม ไม่ได้บอกอะไรเลย” อธิคมพับหนังสือพิมพ์สอดเก็บเข้าซอง“ท่านต้องมีเหตุผล แต่บอกเราไม่ได้”แก้วเก้าเลื่อนศีรษะที่หนุนหัวไหล่มารดาอยู่ เอาปากเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบข้างหูของมารดาเบา ๆภาณินีพูดพึมพำตามที่ได้ยิน แก้วเก้ายกมือปิดปากมารดา เกรงว่ามารดาจะหลุดปากพูดให้ใครได้ยิน อธิคมเห็นภรรยาเบิกตาโพลง“เก้าบอกอะไรแม่ เก้ารู้ใช่มั้ยลูก..!”แก้วเก้าผงกศีรษะสองที แล้วหลับตาลงไปด้วยความอ่อนเพลีย ภาณินีกระซิบบอกต่อสามี“มณีแก้วเก้า คือ แก้วจุฬามณีบนพระนลาฎพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงรุ้งค่ะ”&ld
ปัง ! ปัง! ปัง!“ทางนั้น... เสียงมาจากทางนั้น…!” พระเทพนรินทร์ชี้มือไปข้างหน้า“ฟังดูดี ๆ เสียงปืนดังมาจากปืนคนละกระบอก แล้วก็เหมือนยิงขึ้นฟ้า มันลงมือขุดกันไปแล้วละมัง”เจ้าแมนสรวงผงกศีรษะ เขามองพระหนุ่มทั้ง 3 รูป“พวกเราไม่มีอาวุธเลย แล้วจะต่อสู้อย่างไร”“โยมน้า ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะชนะอธรรมเหรอครับ” พระเลอสรวงกล่าว ริมฝีปากเหยียดยิ้ม“น้าเคยได้ยิน เดินตามรอยเท้านั่นไป มันแบกลากอะไรเดินไปด้วย ดูสิ รอบ ๆ รถของมัน รอยเท้าของคนไม่เกิน 10 คนได้”“9 คนครับ หายไปคนหนึ่ง เพราะถูกตำรวจจับเมื่อเช้า” คำปันเดินตามมาส่ง จนพ้นแนวต้นไม้ หนา ๆ เห็นทางไปพระธาตุหลวงเวียงไชย “ตำรวจยึดปืนมันได้ มันยิงหลวงพ่ออุดมแล้ว แต่ปืนไม่ลั่น ผมคิดว่า พวกท่านก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุดม”“ไม่หรอกนะ คำปัน แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน เอาล่ะ ส่งแค่นี้ โยมเข้าไปรออยู่ในรถ เราจะเข
บานประตูห้องด้านขวา ขยับเปิดออก พระองค์อินทร์ยกขาก้าวให้พ้นขอบประตูซึ่งยกขึ้นมาสูงระดับครึ่งหน้าแข้งของเขา แก้วเก้าเห็นเป็นพระองค์อินทร์ก็ก้มหน้าลงมองพื้นกระดาน“โยม... นี่ กุญแจห้องนั้น” “คะ” แก้วเก้ารู้สึกกลัวขึ้นมา “ทำไมเก้าต้องไปอยู่ที่นั่นคนเดียวด้วย”พระองค์อินทร์ยิ้มปลอบใจ“หลวงพี่ล่ะคะ หลวงพี่อยู่ที่ไหน”“อาตมาอยู่ที่นี่”“ห้ามสีกาเข้ามาข้างใน แล้วทำไมเก้าเข้ามาได้ล่ะคะ”“ห้องนี้ต่างหากที่โยมเข้ามาไม่ได้” หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสยืนประสานมือไขว้ สำรวมกายอยู่ด้านหลังของแก้วเก้า“ส่วนห้องนั้น เป็นที่ประทับของเจ้านางในคุ้มหลวง ยามที่ท่านมาปฏิบัติธรรม เป็นสมบัติตกทอดของเชียงรุ้ง อาตมาให้ยกมาจากห้องใต้ดิน ใต้ฐานองค์พระธาตุหลวงเวียงไชย”หลวงปู่สิงห์เดินไปเปิดห้องด้านซ้ายเอง ท่านมองแก้วเก้า แล้วเรียกให้เธอเข้าไปแก้วเก้าลุกขึ้น หลวงปู่สิงห์ถอยห
“ค่ะ” หมอเนตรดาว ฉวยกระเป๋าถือ พยักหน้าเรียกภาณินีให้ไปด้วยกันอธิคมยิ้มให้กำลังใจภรรยา “ไปก่อนเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ตามไป ตอนเช้าจะได้พบลูกแล้วนะ”ภาณินียกมือโบกลา แล้วเดินตามพี่สะใภ้ไปขึ้นรถตู้อลงกต อธิคม และชัยยศ นั่งคุยกันต่อ พวกเขาชวนกันไป สำรวจตลาดบ้านแม่ปิน ใกล้ ๆ โมเต็ลที่คนพวกนั้นพักÿชายหนุ่มทั้ง 3 คน ออกไปเดินคุยกันข้างนอกบริเวณที่พัก “ผมกับภรรยาเคยมาทำงานวิจัยที่นี่เมื่อหลายสิบปีก่อน งานวิจัยของเรา อาจชักนำให้คนพวกนี้อยากมาขุดหาของโบราณของเก่า”อธิคมเริ่มเล่าเรื่องหลวงพ่ออุดม เถ้าแก่ซ้ง แซ่สุน อดีตเจ้าของโรงสี ปากน้ำโพธิ์ ให้ชัยยศฟังคร่าว ๆ เป็นข้อมูลว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปและอาจเกี่ยวข้องกับคน 10 คนนั้น“พี่กต คุณชัยยศครับ เราต้องเข้าไปที่นั่นก่อนพวกมัน ถ้าไปทีหลัง อาจเตือนชาวบ้านไม่ทัน” อธิคมแสดงอาการวิตกกังวลมากขึ้น“ค่ำแล้ว ไปไม่ได้หรอก นอกจากจะไปเช้า แต่ถ้าเราเข้าไปข้างใน ก็จะไม่ได้เจอกับหลานตอนเช้า นอกจากแบ่งกัน แล้วใครจะอย
“ฟังปะป๊านะ ปูเป้ ตั้งสติให้ดี ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรกกับครอบครัวของเรา อากงก็เคยถูกตำรวจจับตัวออกจากบ้าน ทิ้งกิจการทั้งหมดอาม่าเป็นคนดูแลจนตกทอดมาอถึงปะป๊า คราวนี้ก็เหมือนกันถึงปะป๊าจะไม่อยู่ ปูเป้ต้องดูแลกิจการต่อไปและต้องเป็นผู้ใหญ่นะ ไม่งั้นจะบริหารกิจการและสั่งใช้คนในบ้านไม่ได้”“แล้วปะป๊าทำผิดจริง ๆ หรือเปล่า บอกหนูมาตรง ๆ สิคะ”“ป๊า เฮ้ย! อย่ารู้เลย”ปรินดาคิดหาทางช่วยเหลือบิดา “นรินทร์กับคุณป้าวิชุดาต้องช่วยปะป๊าได้ ”“ไม่ได้นะ” เสียงตวาด ทำเอาปรินดาตกใจ“ทำไมปะป๊าต้องทำเสียงดังอย่างนั้นด้วย ปูเป้เป็นห่วงปะป๊านะ” ปรินดาหน้าแดง รู้สึกโกรธและงอนบิดาระคนกัน “ลุงสมิธ เป็นลุงของนรินทร์กับอินดี้ แล้วปะป๊าไปเกี่ยวข้องกับเขายังไง ถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าเขาล่ะคะ”“มันเข้าใจผิดกันไปเอง” ปริญญาควักบุหรี่มาจุดแล้วสูบอัดควันเข้าปอดแรง ๆ แต่ลูกสาวปรี่เข้ามาคว้าแล้วขว้างทิ้ง “หมอสั่งห้ามแล้ว ปะป๊าย
“พ่อ พ่อ...ขอโทษนะองค์อินทร์” เจ้าเทพนรินทร์รู้สึกเต็มตื้นอยู่ในหัวใจ เจ้าองค์อินทร์สมควรจะได้รับการโอบกอดที่อบอุ่นจากเจ้าแมนสรวงมากกว่าเขาซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้ยง“พี่ชายเป็นตัวจริงมาตลอด เป็นลูกของเจ้าพ่อกับคุณแม่วิชุดาจริงแท้ ผมหวังว่า สิ่งที่ผมทำลงไปจะทำให้ความผิดในใจของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ลดทอนลงได้บ้าง” เจ้าเทพนรินทร์เอ่ย“นรินทร์ ลูกไม่ผิด ไม่ใช่ความผิดของลูกเลย เป็นพ่อเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก พ่อขอบใจที่แม้เมื่อรู้ความจริง ลูกยังไม่ทอดทิ้งพ่อ แต่พ่ออยากจะขอร้อง”“เจ้าพ่อจะขอร้องอะไรครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามอย่างอ่อนโยน“ลูกควรกลับไปดูแลแม่บ้าง” สายตาอ้อนวอนของเจ้าแมนสรวง“ครับ” เจ้าเทพนรินทร์รับปาก “ถ้าแม่ยังต้องการผมนะครับ”“ศรีโสภางค์ประสบอุบัติเหตุเมื่อวาน นรินทร์ทราบเรื่องนี้หรือยัง” พระองค์อินทร์ถาม“ผมทราบแล้วครับ เจ้าป้าขวัญสรวงบอกว่า ตอนนี้เธอกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่คุ้มมิ่งเมืองแล้ว&rdq
“เจ้าครับ ผมจะลองให้ญาติ ๆ ช่วยสืบว่าพวกมันเข้าไปทำอะไรที่เวียงไชย”“ทำเงียบ ๆ อย่าให้เอิกเกริก ผมเพียงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องไม่ดี” พระองค์อินทร์สอดแผ่นกระดาษเข้าช่องเก็บของด้านหน้ารถ แล้วเอนหลังพิงพนักเต็มตัว เขาปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจยาว เปรยกับคำปันว่า “ถึงกรุงเทพพอจะมีเวลานิดหน่อยให้ทุกคนได้อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วไปร่วมงานบวชของเลอสรวงที่วัดคลองขนุน พอเสร็จพิธีแล้ว คำปันพาพวกท่านกลับคอนโดเลยนะ”ÿหลังคาโบสถ์วัดคลองขนุน โผล่พ้นทิวสวนผลไม้อยู่ข้างหน้า แสงอาทิตย์สาดสีเงินส่องช่อระกาและหางหงส์ ภายในโบสถ์นั้นพระองค์อินทร์กราบถวายตัวกับหลวงพ่ออุดมตามคำสั่งของหลวงปู่บุญมาผู้เป็นพระอุปัชฌาย์แก้วเก้านั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ห่าง ๆ เธอลอบมองเลอสรวงซึ่งโกนศีรษะและสวมชุดขาวเตรียมจะเข้าอุปสมบทในเช้าวันนี้ ตั้งใจจะมอบสร้อยมณีนพรัตน์ให้เขา “แก้วเก้า ผมต้องขอโทษคุณอีกครั้ง มีอะ
“ไม่มีทางกลับคำพวกคนจีนได้หรอกนะ พวกนั้นน่ะมืออาชีพ และก็เจ้าเล่ห์มาก”“เหรอครับ” เจ้าเทพนรินทร์ถามกลับ “พวกนั้นเทือกเถาเหล่ากอเดียวกันกับนายปริญญา คุณจึงรู้นิสัยเป็นอย่างดีสินะครับ”“นรินทร์!” วิชุดาถลึงตา ริมฝีปากบาง เหยียดเป็นเส้นตรง กำมือทั้งสองแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ใช่! ฉันรู้จักเขาดี แล้วแกก็ควรจะทำตัวเสียใหม่นะ ให้รู้ซะบ้าง ใครคือคนที่แกควรจะนับถือเป็นพ่อ”“ผมรู้ตัวอยู่เสมอ ... แล้วผมก็เคารพนับถือเจ้าพ่อของผมมาตั้งแต่จำความได้ ไม่มีใครแทนที่เขาได้” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปยิ้มนิด ๆ น้ำเสียงเรียบ ถ้อยคำเชือดเฉือน เสมือนเยาะหยัน ทำเอาอีกฝ่ายอารมณ์โกรธเดือดปุด ๆ“แกจะเป็นศัตรูกับพ่อและแม่ของแกเหรอนรินทร์”“เอ...ไม่นี่ครับ ผมเป็นทนายความสู้คดีให้เจ้าพ่อ แล้วผมจะเป็นศัตรูกับท่านทำไม คุณเข้าใจผิดแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ขอตัวนะครับ ผมกับท่านผู้พิพากษาต้องหารือกันต่อ” เจ้าเทพนรินทร์หันหลังกลับ โบกมือทักทายกับบุรุษที่กำลังเดินผ่านระหว่างทางเดิน ในระ
Comments