“พระชายาเหวิ่นจือหยูช่างอ่อนโยนและงดงามจริง ๆ”“องค์ชายน้อยหลี่เจ๋อหาน ดูสิ พระองค์เป็นพระโอรสที่น่ารักจริงๆ”เหวิ่นลี่หยาได้ยินและได้มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ แต่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไม่นานหลังจากนั้น เสียงขันทีก็ดังขึ้นอีกครั้ง“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จแล้ว”“ถวายพระพร พะย
ตั้งแต่วันที่หลี่จวิ้นเอ่ยปากสนับสนุนนาง เหวิ่นลี่หยาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ นางวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบและแนบเนียน โดยใช้ความรักและความผูกพันของหลี่จวิ้นที่มีต่อพระโอรสเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความทะเยอทะยานของตนยามเช้าพระชายาเหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง นางจัดแต่งทรงผมอย่างประณีต
ในยามสายวันหนึ่งในตำหนักอันเงียบสงบ เหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ที่ตั่งไม้แกะสลัก ลูบศีรษะของหลี่อี้เฉิง พระโอรสน้อยของนางที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขน เสียงนกร้องเพลงขับกล่อมจากสวนด้านนอก ช่างดูสงบสุขจนเหมือนทุกอย่างในชีวิตสมบูรณ์แบบ แต่ลึกลงในดวงตาของเหวิ่นลี่หยา มีแววแห่งความมุ่งมั่นและวางแผนร้าย นางไม่อยาก
“หยูเอ๋อร์ ข้าอยากเอามังกรมุดถ้ำแล้ว”เสียงขอร้องทื่อๆของพระสวามีทำเอาเหวิ่นจือหยูได้ยินถึงกับอายจนหูแดง ก้นงอนของนางโดนตบเบาๆ เป็นสัญญาณให้นางลุกออกจากตัวเขา มีเหรอที่เหวิ่นจือหยูจะยอม นางทำแค่ขยับตัวหันหน้ามาทางใบหน้าหล่อของพระสวามีโดยที่ร่างบางยังคงอยู่ด้านบนคล่อมลำตัวของพระสวามีอยู่ กริยาของพระช
คำพูดที่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาทำให้เหวิ่นจือหยูเขินหนักกว่าเดิม ยิ่งนึกถึงคำพูดของพระสวามีด้วยแล้วนางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “หยวนเจ๋อ แล้วท่านไม่อายหมอหลวงหรืออย่างไรเพคะ ถึงได้ถามเรื่องน่าอายแบบนี้ออกไป ถึงท่านอาจจะไม่อายแต่หม่อมฉันก็อายนะเพคะ” “ไม่ต้องอายหรอกพระชายา นี่เป็นเรื่องป
ยามสายของวันใหม่ ดวงอาทิตย์อ่อนโยนทอดแสงลงบนตำหนักอันเงียบสงบ เสียงอ้อแอ้เล็ก ๆ ขององค์ชายน้อยดังก้องอยู่ในห้อง เหวิ่นจือหยูที่กำลังอุ้มลูกน้อยไปมา เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะจ้องมองพระโอรสที่ส่งยิ้มตอบกลับมา“ฮองเฮาเสด็จ”เสียงขันทีดังขึ้นที่ประตูตำหนัก ก่อนที่เสียงฝีเท้าของนางกำนัลดังขึ้นจากด้านนอก ประตู