“ลู่ชิง” ทะลุมิติมาเป็นนางเอกในนิยายที่เขียนไม่จบ ซึ่งเขียนค้างไว้ตอนนางเอกยอมแต่งงานกับตัวร้ายอย่าง “จื่อหาน” เพื่อช่วยชีวิตพระเอกพอดี นางคิดว่า “มู่เฉิน” จะมาช่วยเหลือตนเองออกไปจากสถานการณ์อันย่ำแย่ แต่กลับไม่ใช่ หลังแต่งงานเพียงไม่กี่วันลู่ชิงถูกมู่เฉินบอกเลิกแบบสายฟ้าฟาดลงกลางใจ พระเอกผู้แสนดีทอดทิ้งนางให้อยู่กับตัวร้ายโดยไม่เหลียวแล แถมสามีตัวร้ายยังแผ่รังสีอำมหิตใส่นางไม่หยุดหย่อน จื่อหานร้ายกาจยิ่งกว่าในนิยายเสียอีก ใครก็ได้ช่วยนางออกไปที
View Moreขบวนเกี้ยวเจ้าสาวอันยาวเหยียด ถูกจ้องมองด้วยสายตากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากผู้คนนับร้อยของเมือง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาทัดทานอันจะนำพาให้ตัวเองเดือดร้อนออกมา มิหนำซ้ำเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดียังดังลั่นไปทั่วท้องถนน ราวกับว่าผู้คนยินดีปรีดาต่องานแต่งของคู่บ่าวสาวในครั้งนี้หนักหนา
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวกับปีศาจจิ้งจอกควบม้าประกบเจ้าสาวที่ตนเองแย่งชิงมาอย่างมีความสุข แต่ความสุขของเขาหาได้เกิดจากการแต่งงานกับนางไม่ จื่อหาน แสยะยิ้มมาดร้ายออกมา เมื่อการแก้แค้นกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ชุดแต่งงานสีแดงปลิวไสวตามสายลมแลดูสวยงาม แต่กลับส่งเสริมให้ชายหนุ่มผู้นี้ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมากขึ้นอย่างแปลกประหลาด
“เฮือกกกก!!! แคก แคก ๆๆๆๆๆ แหวะ ๆๆๆ” ลู่ชิงสำลักอาหารหน้าดำหน้าแดงจนแทบขาดใจ ก่อนหน้านี้นางเผลอกินเค้กวันเกิดก้อนโตที่หัวหน้าเชฟรังสรรค์ให้จนติดคอ
“เฮ้อ เกือบตายเพราะความตะกละแล้วเรา” ร่างบางอุทานออกมา พร้อมกับใช้ฝ่ามือตบลงบนหน้าอกเบาๆ เพื่อลดอาการจุกแน่นที่ลำคอ นางกวาดสายตามองหาน้ำดื่มรอบตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อบรรยากาศรอบข้างไม่ใช่ห้องครัวที่คุ้นเคย ลู่ชิงพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ แถมยังเคลื่อนไหวได้
“เฮ้ยยย อย่าบอกนะว่านี่คือพาหนะไปยมโลก ไม่นะๆๆ สวรรค์ ข้าไม่อยากตาย แค่สำลักเค้กวันเกิดเอ๊งงงง จะมาตายแบบนี้ไม่ได้ ขายหน้าคนอื่นเขา ฮือๆๆๆ” ลู่ชิงร้องไห้โฮเสียงดังอย่างเวทนาตนเอง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ผู้คนคงได้โจษจันกันทั่วเมืองว่าเชฟสาวฝึกหัดตายเพราะความตะกละ
“เลิกส่งเสียงร้องไห้ซะ!! ข้าหนวกหู!!” น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจถูกส่งเข้ามาภายในเกี้ยวเจ้าสาวดังลั่น ทำเอาคนฟังชะงักงันอย่างไม่รู้ตัว
“สะ สะ เสียงใคร” ลู่ชิงตะกุกตะกักถามออกไป นางคงไม่ได้สร้างความรำคาญจนถูกท่านยมทูตดุด่าหรอกใช่ไหม เมื่อพยายามเอียงหูฟังอีกครั้งแต่ไม่มีผู้ใดตอบกลับมา ความอยากรู้อยากเห็นจึงเริ่มทำงานหนักจนทนไม่ไหว
ลู่ชิงตัดสินใจแง้มผ้าม่านสีแดงตรงหน้าต่างบานเล็กๆ ให้เปิดออก นัยน์ตาลูกแมวของนางพลันสบเข้ากับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายกะทันหัน ตาชั้นเดียวของเขาเรียวยาว หางตาชี้ขึ้นคล้ายสุนัขจิ้งจอกทำให้ดวงตานั้นดูมีพลัง ปลายคิ้วคมตวัดขึ้นบ่งบอกถึงความดื้อรั้นเป็นอย่างดี สันกรามนูนชัด คางเรียว จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบางสีอิฐอย่างลงตัว องค์ประกอบทุกอย่างส่งเสริมให้ชายผู้นี้ดูหล่อเหลาเหลือเกิน หล่อเหลาเหมือนภาพวาดอิมเมจตัวร้ายในนิยายที่นางเคยเก็บเข้าชั้น
“ไสหัวเน่าๆ ของเจ้าเข้าไป” ยังไม่ทันได้ชื่นชมความงามของบุรุษหนุ่มตรงหน้าให้สาสมใจ ฝ่ามือใหญ่ก็พุ่งตรงเข้ามาผลักศีรษะนางจนกระเด็น
“อะ โอ๊ย เจ็บๆๆๆ ผู้ชายบ้าอะไรนิสัยไม่ดี เสียดายหน้าหล่อๆ ชะมัด” ท้ายทอยของลู่ชิงกระแทกเข้ากับเกี้ยวเจ้าสาวอย่างจัง มือเรียวยาวของนางจึงรีบยกขึ้นสำรวจบาดแผลด้วยความตกใจ นางปัดป่ายเครื่องหัวอันรุงรังให้พ้นทางอยู่นาน ก่อนจะพบว่าท้ายทอยไม่มีเลือดออกแต่อย่างใด
ลู่ชิงยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความทุลักทุเล แต่นางก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เมื่อถูกอาการเจ็บแปลบบริเวณหน้าผากด้านขวาเข้าจู่โจม นิ้วมือเรียวเล็กเคลื่อนตัวไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุโดยไม่มีความลังเลแต่อย่างใด คราบเลือดเกรอะกรังบริเวณโคนผมที่ติดออกมาบ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี
“อื้อฮือ บาดเจ็บอะไรมาเนี่ย” ลู่ชิงเริ่มสำรวจตนเองอย่างถี่ถ้วนเพื่อทบทวนสถานการณ์ ตอนนี้นาง กำลังสวมใส่ชุดจีนโบราณสีแดงตัวยาว เส้นผมถูกเกล้ามวยขึ้นอย่างเป็นระเบียบ บนศีรษะมีเครื่องประดับสีทองห้อยระย้าลงมา คาดว่าน่าจะเป็นปิ่นปักผมและเครื่องหัวยุคสมัยจีนโบราณ พอเอียงหูฟังเสียงด้านนอกที่แว่วเข้ามาให้ได้ยินอีกครั้ง ก็ต้องตกใจจนอ้าปากค้าง ผู้คนกำลังแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าว แล้วเจ้าสาวของเขาคือใคร คงไม่ใช่นางที่นั่งอยู่ในเกี้ยวหรอกนะ
ลู่ชิงมึนงงไปหมด ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือกำลังกินเค้กวันเกิดแล้วติดคอ พอลืมตาขึ้นมาดันกลายเป็นเจ้าสาวไปเสียอย่างนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน
“ทะ ท่าน ท่านที่อยู่ข้างนอกน่ะ ได้ยินข้าไหม” นางส่งเสียงร้องออกไปอย่างต้องการคำตอบ แต่เมื่อได้รับเพียงความเงียบงัน จึงส่งเสียงชี้แจงครั้งสุดท้าย
“ถ้าไม่มีผู้ใดตอบ ข้าจะออกไปข้างนอกแล้วนะ”
“เจ้ามีปัญหาอะไรอีก” น้ำเสียงติดฉุนของจื่อหานโต้กลับทันควันอย่างเอือมระอา
“ท่านเป็นเจ้าบ่าวของข้าใช่หรือไม่ ท่านชื่ออะไร” ลู่ชิงถามชื่อเสียงเรียงนามของเขา เผื่อนางจะอ้อนวอนขอความเมตตายกเลิกงานแต่งได้
“หึ ลู่ชิง เจ้าเจ็บปวดจนเสียสติไปแล้วหรือ” น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นด้วยความสะใจ จื่อหานแสยะยิ้มมุมปากออกมาอีกเล็กน้อย เพื่อบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุขมากเพียงใด
‘ไอ้บ้าเอ๊ย กวนนักนะ’ ลู่ชิงก่นด่าบุรุษด้านนอกด้วยความชิงชัง ถ้าไม่ติดว่านางต้องสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากเขา คงด่าทอกลับบ้างเหมือนกัน
“ขะ ข้าอยากฟังให้ชัดเจ้าค่ะ ว่าเจ้าบ่าวของข้าคือใคร” ความคิดและการกระทำช่างสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
“ลู่ชิง เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนรักเก่าอย่าง มู่เฉิน งั้นหรือ อย่าวาดฝันไปหน่อยเลย จื่อหานคนนี้ต่างหากที่ได้เป็นสามีเจ้า ฮ่าๆๆๆๆ”
คำพูดเอาแต่ใจของบุรุษหนุ่มเรียกความรู้สึกพะอืดพะอมจากลู่ชิงได้เป็นอย่างดี นางพยายามทบทวนคำพูดของเขาอีกครั้งก่อนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกันหรือ”
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนอยากเข้าหอกับข้าขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้พวกเรากำลังผ่านเหลาอาหารเตียจิงฮ้ง อีกเพียงครึ่งเค่อก็ถึงจวนแล้ว”
“ทะ ท่านว่าอะไรนะ!!!” ร่างบางตกใจจนเผลออุทานออกมาเสียงดัง ทำเอาคนฟังอยู่ด้านนอกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ตกใจอะไรนักหนา กลัวมู่เฉินชู้รักของเจ้าเสียใจหรือไง!!” น้ำเสียงกรุ่นโกรธแล่นเข้ามากระทบโสตประสาทของนางด้วยความรุนแรง
“อะ เอ่อ เปล่าเจ้าค่ะ” ลู่ชิงปฏิเสธลนลาน ก่อนเข้าสู่ห้วงความคิดตนเอง
สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายคลึงกับนิยายที่นางเคยเก็บเข้าชั้นมาก พยายามตามอ่านอยู่หลายเดือนแล้ว แต่นักเขียนก็ไม่อัปเดตให้จบสักที ทั้งชื่อพระนาง ตัวร้าย หรือแม้แต่เหลาอาหารก็เหมือนกันอย่างกับจับวาง คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน
ลู่ชิงแอบเปิดผ้าม่านสีแดงอีกฝั่งของเกี้ยวเจ้าสาวเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว นางพบว่าตนเองกำลังอยู่ในยุคสมัยจีนโบราณ ทั้งอาคารบ้านเรือน ตลาด ถนน หรือแม้กระทั่งการแต่งกายของชาวเมืองก็ล้วนแต่เป็นแบบดั้งเดิมทั้งสิ้น
นางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายอย่างนั้นหรือ แล้วนางเอกคนเดิมอย่างลู่ชิงหล่ะหายไปไหน นิยายอัปเดตล่าสุดถึงตอนที่นางเอกเสียใจมาก แล้วตัดสินใจโขกศีรษะตนเองกับคานเกี้ยวเพื่อหวังฆ่าตัวตาย
“ทำยังไงดี” ลู่ชิงพึมพำด้วยความสิ้นหวัง นางไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตนเองได้
เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาถึงหน้าจวนหลังใหญ่ จื่อหานก็รีบเร่งลงจากหลังม้าทันที เขาเข้ามากระชากแขนลู่ชิงให้ออกจากเกี้ยว โดยไม่รีรอสิ่งใด จื่อหานปั้นหน้ายิ้มแย้มให้ผู้คนมากมายอย่างเป็นมิตรมาครึ่งค่อนวันแล้ว เกียจคร้านจะทำต่อไปเต็มที เหลือเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น รีบทำรีบเสร็จ จะได้ไปดื่มเหล้ากับมิตรสหายเสียที
“จับแรงขนาดนี้ไม่บีบให้แขนข้าหักไปเลยหล่ะ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว” ลู่ชิงประชดประชันจื่อหานเสียงเบา พลางกระตุกแขนเสื้อเขา เป็นเชิงบอกว่าให้ปล่อยนาง
“อย่ามาสำออย ทำหน้าที่ของเจ้าให้เรียบร้อย แล้วกลับไปนอนรอข้าบนเตียงซะ!!”
“ข้าไม่ทำ” ลู่ชิงปฏิเสธเสียงแข็ง พลางบิดแขนเล็กๆ ออกจากอุ้งมือใหญ่ แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดมีหรือจะสู้แรงสัตว์ป่าเยี่ยงเขาได้
“เจ้าต้องทำ หน้าที่ภรรยาคือเชื่อฟังคำสั่งของสามี” จื่อหานไม่ยอมผ่อนแรงแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเอื้อมมืออีกข้างมากอดรัดเอวนางไว้
“ข้าไม่ทำ ปล่อยเลยนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะแหกปากให้คนช่วย” ลู่ชิงดึงดันไม่ยอมแพ้
“ร้องสิ ถ้าเจ้าแหกปากร้องออกมาให้ข้าได้ยิน ข้าจะเข้าหอกับเจ้าท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อยให้ดู” คนตัวโตข่มขู่นาง พลางเพิ่มแรงบีบไปยังต้นแขนเล็ก ด้วยความโมโห
“เอะอะ ขู่ เอะอะ ขู่ เจ้าเป็นหมาหรือไง” ลู่ชิงค้อนกลับเช่นกัน ให้ตายเถอะ การมีสามีเป็นคนเลวนั้นสิ้นเปลืองพลังงานมาก นอกจากพูดคุยไม่รู้เรื่องแล้ว ยังต้องต่อสู้กับความป่าเถื่อนไร้เหตุผลของเขาอีก
“หึ อยากเข้าหอกับข้าตรงนี้ใช่ไหม” พูดจบ มือหนาก็เริ่มดึงทิ้งชุดแต่งงานของนางอย่างไร้ความปรานี ลู่ชิงกับบรรดาแขกอาวุโสที่รายรอบอยู่บริเวณนั้นต่างตกใจกันมาก ไม่คิดเลยว่าจื่อหานจะกักขฬะเช่นนี้
“ยะ ยะ หยุด หยุดก่อน ข้ายอมแพ้แล้ว ต่อไปข้าต้องทำอะไรอีกท่านพี่ ท่านบอกข้ามาได้เลย ข้าจะเป็นเด็กดีของท่าน” ลู่ชิงส่งยิ้มหวานประจบประแจงทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเอาจริง จื่อหานไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น แถมภายในงานยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากช่วยเหลือนางสักคน ดังนั้นจึงต้องหาทางเอาตัวรอดไปก่อน
“พูดง่ายแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา” จื่อหานละมือจากชุดแต่งงานตัวยาว ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทุกคนเป็นเชิงว่าทำตามขั้นตอนต่อไปได้
พิธีกราบไหว้ฟ้าดินผ่านไปด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากลู่ชิงไม่เคยมีประสบการณ์แต่งงาน นางไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ได้แต่ทำตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าทั้งหลายอย่างเก้ๆ กังๆ ทำถูกบ้าง ทำผิดบ้าง ตามความเข้าใจขณะนั้น แต่สิ่งสำคัญคือ นางเผลอเหยียบเท้าจื่อหานไปหนึ่งครั้ง ทำเครื่องหัวอันรุงรังฟาดแก้มเขาไปสองที สีหน้าของผู้ถูกกระทำบ่งบอกชัดเจนว่า ถ้าเขาขย้ำคอนางให้ตายตรงนี้ได้ เขาทำไปนานแล้ว
คืนนี้ลู่ชิงถูกคาดโทษเอาไว้สถานหนักทีเดียว ชีวิตนางเอกผู้แสนอาภัพจะรอดพ้นจากเงื้อมมือตัวร้ายไหม พระเอกอยู่ไหนมาช่วยนางที!!
เมื่ออายุครรภ์ของลู่ชิงครบห้าเดือน อาการแพ้ต่างๆ จึงเลือนหายไป จื่อหานสามารถเข้าใกล้นางได้แล้ว แถมอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนหน้านี้ก็จืดจางลงไปมาก หลังจากอดทนอดกลั้นมานาน ช่วงเวลานาทีทองของจื่อหานก็กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ร่างสูงวางแผนจับฮูหยินสุดที่รักกินไว้เสียดิบดี ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแอบลูบ แอบคลำ มีโอกาสแล้วจะสำเร็จโทษให้สาสมใจภายในห้องน้อนอันกว้างใหญ่ แมวน้อยลู่ชิงกำลังเพลินเพลินใจกับฝีมือบีบนวดของสามี จื่อหาน ทุ่มเทปรนิตินางอย่างดีตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์“ท่านพี่ ข้าไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ” ร่างบางก้มหน้าบอกสามีที่กำลังนวดฝ่าเท้า นางแตะหลังมือเขาแผ่วเบาเป็นเชิงบอกว่าเลิกบีบนวดได้“ฝ่าเท้าเจ้าบวมขึ้นหรือไม่” จื่อหานพิจารณาอยู่พักใหญ่ก่อนเอ่ยถาม นอกจากอาการปวดที่นางชอบบ่นให้ฟังยังมีเนื้อหนังที่เต่งตึงขึ้นมา“นิดหน่อยเจ้าค่ะ ช่วงนี้ข้าขยันเดินจนลืมระมัดระวัง”“อ๊ะ ท่านพี่ ตีก้นข้าทำไม” ลู่ชิงโอดครวญเสียงใสเมื่อฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบั้นท้ายงอนงามเต็มแรง“สั่งสอนเด็กดื้อให้หลาบจำ” จื่อหานย้ำเตือนความผิดนาง“เหอะ ท่านหลอกกินเต้าหู้ข้าต่างหาก เอามือข้างขวาออกจากหน้าอกข้าเดี๋ยวนี้” ร่างบางจ้องมองชายหนุ่มตา
ความสงบสุขในชีวิตจื่อหานผ่านไปรวดเร็วมากหลังจากภรรยาผู้แสนดีเริ่มมีปากมีเสียง ทุกอย่างในจวนแปรเปลี่ยนฉับพลัน หากจะบอกว่าหน้ามือกลายเป็นฝ่าเท้าคงไม่แปลกนัก ลู่ชิงอาละวาดด่าทอสามีไม่เว้นวัน นางหาเรื่องมากลั่นแกล้งจื่อหานสารพัดจนเขาแทบร้องไห้ ทำอะไรไม่พอใจนิดหน่อยก็ชี้หน้าด่ากราด ชายหนุ่มไม่อาจปริปากโต้เถียงได้เลยนอกจากนี้ร่างบางยังเกียจคร้านขึ้นมาก นางจิกหัวใช้สามีก่อนนอนทุกคืน จื่อหานจึงต้องรับหน้าที่เป็นหมอนวดไปโดยปริยาย ลู่ชิงเอาแต่ใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่านางเกิดความผิดปกติอันใด“ท่านพี่ ข้าอยากกินถังหูลู่เจ้าค่ะ” ลู่ชิงขมวดคิ้วออกคำสั่ง นางกำลังรู้สึกเคร่งเครียดมากๆ ใบหน้าคมของจื่อหานรกหูรกตาชะมัด“เดี๋ยวข้าใช้เจียวเหมยไปซื้อให้”“ข้าอยากกินลูกท้อด้วยเจ้าค่ะ”“องครักษ์เว่ยไปซื้อลูกท้อมาให้ฮูหยิน”“ข้าอยากกินหม้อไฟจากเหลาอาหารหย่งเหอ”“เจ้าอยากกินอะไรนักหนาลู่ชิง” จื่อหานนิ่วหน้าถามอีกครั้ง น้ำเสียงห้วนๆ กระตุ้นต่อมเกรี้ยวกราดของร่างบางได้เป็นอย่างดี นางต่อว่าสามีเสียงดังลั่น“ท่านพี่เสียงดังใส่ข้าทำไม!! ไม่พอใจหรือเจ้าคะ”“เฮ้อ ข้าหมายถึงเจ้ากินเยอะเกินไป” ชายหนุ่มแก้ตัวด้วยความเหน็ดเ
การทำซิ่วท้อของลู่ชิงเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางเสาะหาวัตถุดิบหลักอย่างมันม่วงไม่ได้เลย แม้ว่าอยากลองใช้วัตถุดิบอื่นเช่น มันเทศ ถั่วแดง หรืองาดำ ทำไส้มากแค่ไหน แต่นางต้องทำซิ่วท้อไส้มันม่วงให้สำเร็จเสียก่อน เนื่องจากขนมชนิดนี้ล่ำลือกันว่าเป็นสูตรลับ หากทำสำเร็จอาจเพิ่มฐานลูกค้าได้ จากนั้นจึงค่อยประยุกต์ใส่ไส้อื่นเข้าไป เหลาอาหารหย่งเหอต้องขายดีอีกเท่าตัว“เฮ้อ ข้าจะทำยังไงดี ทำไมมันม่วงหายากหาเย็นนัก” ลู่ชิงโอดครวญออกมาขณะเกลือกกลิ้งอยู่บนศาลาริมน้ำ“ฮูหยินกลุ้มใจมากหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้ร่างท้วมเอ่ยถาม พักนี้ฮูหยินชอบขมวดคิ้วทุกวัน นางจึงเกิดอาการเป็นห่วงเจ้านายขึ้นมา“ใช่ ข้ากลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว อยากได้มันสีม่วงมาทำอาหาร”“หากตลาดในเมืองไม่มี พวกเราออกไปดูตลาดชานเมืองกันไหมเจ้าคะ แถวนั้นชาวบ้านมักเก็บของป่ามาขาย” ซูเจียวเสนอแนะหนทางแก้ไขปัญหา“จริงหรือซูเจียว ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้” ลู่ชิงตื่นเต้นมาก นางไม่เคยออกไปรอบชานเมือง มาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีตลาดขายของป่า“อะ เอ่อ พอดีระยะทางค่อนข้างไกลนิดหน่อยเจ้าค่ะ ฮูหยินต้องขออนุญาตนายท่านก่อน” สาวใช้ร่างท้วมติดอ่างกะทันหัน เหตุใดนางจึ
เหลาอาหารหย่งเหอขายดิบขายดีมาก ลู่ชิงจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลไปโดยปริยาย เนื่องจากพักนี้จื่อหานทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปดูแลเหลาสุรา ยาดองเหล้าสูตรใหม่ของลู่ชิงขายดีมาก ทั้งสูตรม้ากระทืบโรง นารีรำพึง โด่ไม่รู้ล้ม หรือกำลังช้างสาร ต่างมีสรรพคุณบำรุงร่างกายบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชาวบ้านทั่วไป ล้วนเดินทางมาใช้บริการจำนวนมาก จื่อหานพึ่งตระหนักได้ว่าปัญหานี้ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าจะคาดเดาได้กิจการทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ลู่ชิงยังมีปัญหาคาใจเรื่องสูตรลับของตระกูลอยู่บ้าง นางคิดยังไงก็คิดไม่ออกเสียที ผู้คนรอบตัวต่างบอกว่าขนมที่นางทำยากจะลอกเลียนแบบได้ แต่กลับไม่มีผู้ใดอธิบายวิธีการทำหรือรูปลักษณ์ออกมาอย่างชัดเจน ในหัวนางเองก็ไม่มีความทรงจำของร่างเดิมหลงเหลืออยู่สักนิด คิดไม่ออกเลยว่าสูตรลับที่ผู้คนต้องการนักหนาคืออะไร รู้เพียงว่ามันคือขนมชนิดหนึ่งเท่านั้น“ซูเจียว วันนี้ท่านพี่ไปเหลาสุราใช่หรือไม่” ลู่ชิงเอ่ยถามสาวใช้ขณะนั่งเล่นในสวน นางมีเรื่องราวคับข้องใจหลายอย่างอยากสอบถามเขา“เจ้าค่ะฮูหยิน”“อืม เตรียมรถม้าให้ข้าหน่อยสิ ข้าจะไปเหลาสุรา”“ตะ แต่ นายท่านไม่ต้องการให้ฮูหยินไปที่นั่นน
ความสงบสุขกลับมาเยือนลู่ชิงอีกครั้ง ชีวิตประจำวันของนางวุ่นวายอยู่กับการดูแลเหลาอาหารหย่งเหอเป็นหลัก ทุกอย่างรอบตัวกำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น จื่อหานเองก็ทำตัวดีขึ้นไม่น้อยเช่นกัน เขาเชื่อใจนางมากกว่าเดิมหลายเท่า ส่วนลู่เองชิงก็เอาอกเอาใจสามีไม่ขาด ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หวานหยดย้อยราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหน จื่อหานต้องคอยรายงานลู่ชิงเพื่อให้นางสบายใจทุกครั้ง“ฮูหยินเจ้าคะ รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว” ซูเจียวเอ่ยเตือนพลางขบขัน พักนี้ฮูหยินของนางชอบเหม่อลอยคิดถึงนายท่านอยู่เสมอ“อืม รีบไปกันเถอะ เย็นนี้ข้าอยากลองทำอาหารหลายอย่าง” ลู่ชิงตอบรับสาวใช้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ พอได้ออกไปซื้อวัตถุดิบทีไรเป็นต้องมีความสุขจนหน้าบานทุกที“เจ้าค่ะ”“อ้อ ท่านพี่จะกลับจากเหลาสุราเมื่อไหร่” ร่างบางสอบถามอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ จื่อหานเร่งรีบออกไปก่อนนางตื่นเสียอีก คาดว่าคงมีปัญหาใหญ่โตที่ต้องแก้ไข“ประมาณยามเว่ยเจ้าค่ะ นายท่านอยากกลับมารอกินอาหารเย็นพร้อมฮูหยิน”“เยี่ยมเลย ท่านพี่จะได้ลองชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยกัน” ลู่ชิงอุทานออกมาอย่างมีความสุข ในหัวเล็กๆ เต็มไ
สถานการณ์ระหว่างลู่ชิงกับมู่เฉินตึงเครียดขึ้นมาก ร่างบางตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนนับร้อย สาวน้อยฝืนยิ้มจืดเจื่อนออกมา คาดหวังว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะผ่อนคลายลงบ้าง แต่นางกลับคิดผิดถนัด ความเงียบงันเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง“อะ เอ่อ ข้าขอตัวกลับก่อนนะ” ลู่ชิงเอ่ยลาไม่ปิดบัง นางต้องการหลีกหนีความอึดอัดที่กำลังเผชิญอยู่โดยไว“เดี๋ยวสิ ข้ามีเรื่องอยากปรับความเข้าใจกับเจ้า” มู่เฉินรั้งแขนนางไว้ สายตาวิงวอนถูกส่งมาให้ลู่ชิงเป็นระยะ หากร่างบางปฏิเสธขึ้นมา เรื่องนี้อาจไม่จบลงอย่างง่ายดาย“งะ งั้นหรือ คุยกันตรงนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เจ้าอยากดื่มชาสักถ้วยไหม” ลู่ชิงหาวิธีหลบเลี่ยงสายตาผู้คนทั้งหลาย“ได้สิ เจ้านำทางไป”“ข้าต้องการใช้ห้องรับรองส่วนตัว” เมื่อเดินทางมาถึงร้านขายน้ำชา มู่เฉินก็แจ้งความประสงค์ต่อเสี่ยวเอ้อก่อนเดินขึ้นบันไดไป“ห๊าาา มะ ไม่ได้ๆ ข้าแต่งงานแล้ว ส่วนเจ้าเองก็มีคู่หมั้น พวกเราไม่ควรทำตัวเกินงาม” ลู่ชิงคัดค้านเสียงหลง นางโบกไม้โบกมือไม่เห็นด้วยยกใหญ่ การกระทำเช่นนี้สมควรตายนัก มู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดคุยกับเจ้า” ชายหนุ่มเบาเสียงลงเมื่อเห็นนางลำบา
Comments