จากเสร็จสิ้นงานเลี้ยง เหวิ่นจือหยูและหลี่หยวนเจ๋อกลับมายังตำหนักของพวกเขา นางเปิดตำราสถาปัตยกรรมขึ้นดู และเริ่มร่างแบบแปลนด้วยความตั้งใจหลี่หยวนเจ๋อที่นั่งเฝ้ามองอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาจับมือนางเบา ๆ “หากเจ้าเหนื่อยก็พักก่อนเถิด เจ้าเองก็เพิ่งผ่านเรื่องราววุ่นวายมา” เหวิ่นจือหยูยิ้มอ่อนโยนให้พระสวาม
ก่อนหน้าภายในตำหนักอันเงียบสงัดของสนม อวี้เหว่ย ความเย็นเยียบของยามราตรีแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ บรรยากาศชวนให้อึดอัด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังสะท้อนบนพื้นหยกขาว ร่างระหงของเหวิ่นลี่หยาผู้เป็นใหญ่ในวังหลังก้าวเข้ามาอย่างสง่างามดวงตาคมกริบจ้องมองสนมอวี้เหว่ยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอำนาจและความเย็นชา“พระสนมเหว่
หลี่จวิ้นมีสีหน้าลำบากใจ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา ในขณะที่พระชายาเหวิ่นลี่หยาขยับเข้ามาใกล้“สนมอวี้เหว่ย เจ้าเป็นผู้ดูแลสำรับขององค์ชายหงจวิ้นหลง มิใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงมิใส่ใจเช่นนี้ หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง”“มะ ไม่เพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย” อวี้เหว่ยน้ำตาคลอเบ้า นางส่ายหน้ารัว แต่อาการของนางกลับเปลี่ยน
หลังพิธีต้อนรับองค์รัชทายาทและคณะทูตจากหงซือสิ้นสุดลง เหวิ่นลี่หยาที่ตั้งใจจะทำให้องค์ชายหงจวิ้นหลงประทับใจกลับต้องเจ็บช้ำใจ เมื่อองค์ชายหงจวิ้นหลงหันไปชื่นชมองค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อ พระชายาเหวิ่นจือหยู พร้อมองค์ชายน้อยหลี่เจ๋อหานต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย สีหน้าของเหวิ่นลี่หยาที่เคยสง่างามกลับแปรเปลี่ยน
“พระชายาเหวิ่นจือหยูช่างอ่อนโยนและงดงามจริง ๆ”“องค์ชายน้อยหลี่เจ๋อหาน ดูสิ พระองค์เป็นพระโอรสที่น่ารักจริงๆ”เหวิ่นลี่หยาได้ยินและได้มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ แต่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไม่นานหลังจากนั้น เสียงขันทีก็ดังขึ้นอีกครั้ง“ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จแล้ว”“ถวายพระพร พะย
ตั้งแต่วันที่หลี่จวิ้นเอ่ยปากสนับสนุนนาง เหวิ่นลี่หยาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ นางวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบและแนบเนียน โดยใช้ความรักและความผูกพันของหลี่จวิ้นที่มีต่อพระโอรสเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนความทะเยอทะยานของตนยามเช้าพระชายาเหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง นางจัดแต่งทรงผมอย่างประณีต