ณ ตำหนักหลวงอันโอ่อ่า ฮ่องเต้ประทับบนตั่งใหญ่กลางห้องทรงงาน พระพักตร์เคร่งขรึม แววพระเนตรจับจ้องไปยังฮองเฮาซึ่งนั่งเคียงข้างเบื้องหน้าคือหลี่หยวนเจ๋อ ผู้กำลังรอพระบิดาตัดสินพระทัย บรรยากาศเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่สุรเสียงทรงอำนาจจะดังขึ้น “ก็จริง หลี่จวิ้นมีความดีความชอบที่ช่วยเปิดโปงแผนการกบฏ” ฮ่
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่าของวังหลวงแคว้นหลี่ แสงตะวันยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ที่ประดับประดาด้วยม่านแพรสีทองที่พลิ้วไหวตามสายลมเย็น บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบสุข หลังจากเหล่ากบฏถูกปราบปรามจนสิ้นซาก ขุนนางที่ภักดีต่อราชวงศ์ต่างคุกเข่ารายล้อมอยู่เบื้องล่างอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่บนบัลลังก์มังกร ฮ่อง
ในห้องโถงพระตำหนักหลงเฟิ่ง หลังการต่อสู้สงบลงบรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว บนพื้นยังคงมีรอยเลือดของเหวิ่นลี่หยาที่สิ้นใจด้วยคมดาบของพระสวามีตนเอง ขุนนางกบฏที่เหลืออยู่ต่างคุกเข่าตัวสั่น ดวงหน้าซีดเผือด บางคนมีบาดแผลจากการต่อสู้ หลายคนลอบเช็ดเหงื่อที่ไหลอาบขมับบนบัลลัง
แต่ทันใดนั้น “พอได้แล้วลี่หยา หยุดเสียที” ในขณะที่การประลองเดือดดาลเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากกำแพงองครักษ์ร่างสูงขององค์ชายหลี่จวิ้นค่อยๆ ก้าวออกมา น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาทำให้ทุกคนชะงัก เหวิ่นลี่หยาหันไปมองพระสวามีของนางที่ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางตะโ
กลับมาที่ปัจจุบัน“เป็นไปไม่ได้”เสียงตะโกนก้องของเหวิ่นลี่หยา ดังสะท้อนไปทั่วท้องพระโรง ใบหน้าหวานที่เคยสง่างามทำให้ผู้คนหลงใหลบัดนี้เต็มไปด้วย ความเคียดแค้นพลุ่งพล่านในดวงตาที่แดงก่ำราวกับจะลุกไหม้ด้วยเพลิงโทสะ มือที่กำดาบแน่นสั่นระริก ความทะนงตนที่เคยมีพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เมื่อนางตระหนักว่าแผนก
“ข้าจะให้คนส่งข่าวลับไปยังกลุ่มขุนนางที่กระหายต้องการให้เกิดสงคราม แจ้งให้พวกมันรู้ว่าแคว้นไป๋ของท่านกำลังระดมพลและเตรียมเคลื่อนทัพมาชายแดน เพื่อจะทำลายล้างแคว้นหลี่” องค์รัชทาหลี่หยวนเจ๋อกล่าวเสียงเรียบถึงแผนการที่วางไว้“แล้วอย่างไรต่อ” ไป๋หรงเสียนเลิกคิ้วขึ้น พลางหัวเราะเบา ๆ เพราะเริ่มสนุกกับเกม