LOGINชาติที่แล้ว นางเลือกผิดเพราะความรัก หัวใจนำทาง จึงต้องซ้ำใจจากรักนั้น ถูกตัดสินชีวิตอย่างไร้ค่า ตราหน้าว่าเป็นหญิงหลายใจ หยามเหยียดนางแม้ในวาระสุดท้าย ชะตาใหม่ชาตินี้ นางจะไม่ขอความรักจากผู้ใด นางจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีใครกล้าตัดสินนางอีก และนางจะเป็นผู้ตัดสินชะตาของผู้อื่นแทน
View More“เลือด—! เลือดไม่หยุด!” สาวใช้วิ่งออกมาจากเรือน หน้าซีดเผือด มือเปื้อนแดง
อีกคนรีบคว้าโคมไฟ พลางเร่งฝีเท้าไปยังเรือนหน้า
“เร็วเข้า! ไปตามหมอประจำตระกูล!”
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินดังระรัว
ข่าวการตกเลือดของ อนุสี่กู้หวั่นถง แพร่ไปทั่วในเวลาอันสั้น
เรือนจิ้งซู่ เรือนฮูหยินผู้เฒ่า เสิ่นเหล่าฟูเหริน เซี่ยเหวินหรู กำลังสวดมนต์เบา ๆ ใต้แสงตะเกียง เมื่อสาวใช้คุกเข่ารายงาน เสียงนั้นก็เงียบลงทันที
“เกิดเรื่องใด”
“อนุสี่…ตกเลือดหนักเจ้าค่ะ”
เสิ่นเหล่าฟูเหรินนิ่งไปครู่หนึ่ง มือที่จับลูกประคำหยุดเคลื่อนไหว “เจ้าไปดูสักหน่อยเถอะ…”
น้ำเสียงนั้นมิได้เร่งเร้า หากแฝงความเมตตาที่พึงมี
“อย่างน้อย นางก็คลอดทายาทให้ตระกูลเสิ่น”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วรีบถอยออกไป
เรือนจันทร์ฉาย
หลินจิ้งอี๋ยืนรออยู่หน้าห้อง นางกำมือแน่นดวงตาจับจ้องไปยังม่านประตูที่ยังปิดสนิท
ในที่สุด—ม่านก็ถูกแหวกออก
หมอหลี่ก้าวออกมา สีหน้าอิดโรยกว่าตอนเข้าไป เคราขาวสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเขาหยุดยืน
หลินจิ้งอี๋รีบก้าวเข้าไป “ท่านหมอหลี่…”
เสียงนางเผลอสั่นเล็กน้อย “อาการของอนุสี่เป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลี่ถอนหายใจยาว “เรียนฮูหยินน้อย…”
เขาเอ่ยเสียงต่ำ “อาการของอนุสี่ไม่ยิ่งนัก”
“จัดการสิ่งที่ต้องจัดการเถอะ”
คำพูดนั้นไม่ต้องอธิบายต่อ เพราะทุกคนล้วนเข้าใจความหมาย
หลินจิ้งอี๋รู้สึกเหมือนแรงทั้งหมดในร่างถูกดึงออกไปในชั่วพริบตา
ร่างนางซวนเซไปหนึ่งก้าว สาวใช้จนเข้ามาประครอง
ริมฝีปากซีดขยับแผ่ว “อนุสี่…”
เสียงนางเบาจนแทบเป็นลมหายใจ
“ช่างวาสนาน้อยนัก”
ความมืดคลี่คลุมเรือนจันทร์ฉายราวผืนผ้า ลมยามราตรีพัดม่านเตียงไหวแผ่ว กลิ่นคาวเลือดเจือสมุนไพรยังไม่จาง
ร่างบนเตียงแน่นิ่ง
ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจบางเบาจนแทบไม่อาจจับได้
แล้ว—ลมหายใจนั้นก็สะดุด
อนุสี่มองร่างของตนเองครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหายไปกับผู้นำวิญญาณ
ในห้วงเงียบงัน ปรากฏวิญญาณหนึ่งค่อย ๆ แทรกซึม
ปลายนิ้วกระตุก ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ
ชีพจรที่เคยร่วงหล่นกลับมาจับจังหวะใหม่—ไม่ใช่จังหวะเดิม หากเป็นจังหวะของผู้ครอบครองคนใหม่
ดวงตาคู่นั้นค่อย ๆ เปิดขึ้น
เลือดยังคงซึมไม่หยุด กลิ่นคาวอบอวลอยู่ในเรือน ราวกับเตือนว่านี่คือร่างที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมาไม่นาน
วันทองขยับปลายนิ้วช้า ๆ ร่างนี้อ่อนแรงนัก
แต่ความอ่อนแอของกาย…ไม่อาจแตะต้องวิญญาณ
คาถาติดกาย…ยังอยู่
นางหลับตาลง ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ
เสียงหัวใจที่เต้นแรงค่อย ๆ ถูกกดให้สงบ
ริมฝีปากซีดขยับแผ่ว
ถ้อยคำโบราณไหลออกมาอย่างชำนาญ ราวกับมิใช่สิ่งที่ต้องคิด—
แต่เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในเลือดเนื้อ “โลหิตหยุด ลมปราณตั้ง ดุจสายน้ำพบตลิ่ง อย่าหลั่ง อย่าริน จงคืนสู่ทางเดิม”
ปลายนิ้วของนางกดลงบนหน้าท้อง
ความร้อนวูบหนึ่งแล่นผ่านฝ่ามือ แผ่ซ่านเข้าสู่ร่าง
ลมหายใจของนางสั่นเพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมานิ่งสนิท
เลือดที่เคยไหลไม่หยุด…ค่อย ๆ แผ่วลง
จากซึม เป็นหยด
จากหยด เป็นเพียงคราบ
วันทองปรายตามองดูรอบข้างอีกครั้ง ความปวดร้าวแล่นวาบทั่วร่าง ราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะถูกร้อยกลับอย่างหยาบกระด้าง
นี่…มิใช่ร่างที่ข้าตกลงไว้
นางหลับตาลงอีกครา
ชาติที่แล้ว—
นางไปพบสตรีผู้ใกล้ตายจากการคลอดบุตร
หญิงผู้นั้นน้ำตานองหน้า มือเย็นเฉียบ ขณะเอ่ยขอร้องด้วยเสียงแผ่ว
“ร่างของข้า ข้าไม่เสียดาย…ขอเพียงช่วยเลี้ยงดูลูกข้าให้รอดพ้นปลอดภัย ข้ายอม…ข้ายอมทุกอย่าง”
วันทองรับปาก นางมอบทองคำส่วนหนึ่งเป็นคำมั่น
และร่ายมนต์ในจังหวะที่เพชฌฆาตกำลังร่ายรำ—
เสียงกลอง เสียงเท้า เสียงลมหายใจสุดท้ายประสานกัน
เมื่อวิญญาณหลุดจากร่าง นางควรจะลืมตาขึ้น…ในร่างนั้น
แต่กลับไม่ใช่
เหตุใด…ข้าถึงมาอยู่ที่นี่
นางเปิดตาขึ้นอีกครั้ง มองเพดานไม้แกะสลักของเรือนจันทร์ฉายอย่างมึนงง ความทรงจำใหม่หลั่งไหลเข้ามา—
ชื่อ ฐานะความอัปยศ
อนุสี่…กู้หวั่นถง บรรณาการจากองค์รัชทายาท
สตรีที่ถูกส่งให้รองแม่ทัพบูรพา
หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรให้ตกเลือดจนเกือบสิ้นใจ
วันทองหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นแหบพร่า
“ชีวิตนี้…”
นางพึมพำกับตนเอง “จะไม่ย่ำแย่กว่าเดิม…หรือ”
ตอนที่ 5 เริ่มรุกหวั่นถงฟักฟื้นอยู่หลายวัน ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งป่วยต่อแล้ว นางลุกขึ้นอุ้มบุตรไว้แนบอกทอดมองใบหน้าเล็ก ๆ อย่างรักใคร่จากนั้นจึงส่งเด็กน้อยให้แม่นมหลิว กล่าวเพียงสั้น ๆ“ฝากแม่นมหลิวด้วย”แม่นมหลิวรับคำ อุ้มเด็กออกไปอย่างระมัดระวัง แม่นมหลิวออกไปแล้ว เหลือเพียงหวั่นถงกับชิงยวน ในขณะที่ชิงยวนกำลังเก็บอาภรณ์ หวั่นถึงจับจ้องครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีซีดขยับ เสียงนั้นเบาจนแทบเป็นเพียงลมหายใจก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเป็นคนของผู้ใด”ชิงยวนชะงัก ปลายนิ้วที่จับผ้าแข็งค้างแววตาเลือนลอย“บ่าว…บ่าวเป็นคนของฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”“แล้วที่นี่ยังมีคนของฮูหยินน้อยอีกหรือไม่” ชิงยวนส่ายหน้าเบา ๆ “บ่าวเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”หวั่นถึงจะเอ่ยต่อ “ต่อไปนี้ เจ้าเป็นคนของข้า...ทำทุกอย่างเป็นปกติทว่าสิ่งใดที่จะบอกต่อฮูหยินน้อย...ต้องบอกข้าเสียก่อน”“บ่าวทราบแล้ว”ในเรือนนี้นอกจากจะมีชิงยวน แล้วยังมีบ่าวอีกคนคือเสี่ยวจู่ที่ทำงานจิปาหวั่นถงจึงเอ่ยบอก “เจ้าไปตามเสี่ยวจู่เข้ามา” “เจ้าค่ะ” เสี่ยวจู่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสำรวมหวั่นถงเพียงถามไถ่ไม่กี่ประโยคก็รู้ได้ทันที—เสี่ยวจู่เป็นคน
ฮูหยินเอก—หลินจิ้งอี๋ ไม่มีวันกล้าล่วงเกินเด็กน้อยในอ้อมแขนของนาง ต่อให้มีความคิดเพียงใด ก็ต้องเก็บซ่อนไว้ใต้หน้ากากคุณธรรมแต่กับ “อนุต่ำต้อย” ผู้หนึ่ง—หากพลาดพลั้งถึงแก่ชีวิต เหล่าผู้อาวุโสก็ทำได้เพียงถอนหายใจกล่าวคำเวทนาแล้วปล่อยให้เรื่องนั้นกลายเป็นชะตากรรมสตรีคนหนึ่งตาย เด็กชายหนึ่งถูกอุ้มไปเลี้ยงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายดายเหลือเกินในเรือนหลังบุรุษตระกูลเสิ่น เมื่อเติบใหญ่ล้วนเข้าสู่สนามรบ ความสุขกับครอบครัวมีน้อยยิ่ง เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลต่างตระหนักถึงชะตานั้นดีจึงเห็นใจบุตรหลานและให้คุณค่ากับช่วงวัยเยาว์อย่างยิ่ง พวกเขาจะถูกให้อยู่ในเรือน อยู่กับมารดาให้อิ่มเอมกับความสงบเพียงไม่กี่ปี ก่อนชะตาจะเรียกตัวไป หากนางไม่ตาย นางจะเป็นคนเลี้ยงบุตรด้วยตนเองนั่นคือ กับฮูหยินเอกที่ยังไม่มีบุตรชายนางจึงจำเป็นต้องตายในวันที่คลอดบุตรการตกเลือดไม่ใช่อุบัติเหตุแต่ข้ายังไม่ตาย!! ลูกของข้า จะไม่กลายเป็นหมากของผู้ใดในเรือนหลังแห่งนี้ ข้าอาจเป็นเพียงอนุสี่ไร้ตระกูลหนุนหลัง ไร้อำนาจในมือทว่า ถึงอย่างไร—หวั่นถงก็หาใช่สตรีไร้รากชาติที่แล้ว ข้าคือเมียเอกของขุนแ
ตอนที่ 3 เสิ่นรุ่ยเหิน แม่นมหลิวเห็นท่าทีของหวั่นถง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นางรีบก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม แต่แฝงความกดดัน“อี้เหนียงสี่” เสียงนั้นรีบเร่ง “ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวเถอะเจ้าค่ะ”นางเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขนหวั่นถงแล้วกดเสียงลงต่ำอย่างระมัดระวัง “ท่านยังไม่ฟื้นดี…” น้ำเสียงอ่อนลง “ถนอมร่างกายไว้ก่อนนะเจ้าคะ”หวั่นถงมิได้เงยหน้าขึ้น มือยังคงลูบหลังเด็กน้อยอย่างช้า ๆ“ตอนนี้ข้าอยู่ตรงนี้” นางเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าจะแย่งเขาจากมือข้าหรือ” แม่นมหลิวสะดุ้ง รีบคุกเข่าลงทันที “บ่าว…มิกล้าเจ้าค่ะ”หวั่นถงไม่สนใจ นางคลายผ้าห่อตัวออกอย่างช้า ๆแม่นมหลิวเหลือบมองอยู่เงียบ ๆ ในใจกลับนิ่งกว่าที่แสดงออกอี้เหนียงสี่ยังเป็นสาว นี่ก็เป็นบุตรคนแรกร่างกายเพิ่งตกเลือดหนักจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว…จะมีน้ำนมได้อย่างไรต่อให้ตั้งใจพยายามเพียงใด เด็กก็ย่อมต้องร้องและในที่สุด—ก็ต้องพึ่งนางอยู่ดีเมื่อถึงตอนนั้น เรื่องนี้อาจกลายเป็นเหตุอันเหมาะสมให้ฮูหยินน้อยรับคุณชายสามไปดูแลคิดได้เช่นนั้น แม่นมหลิวจึงค่อย ๆ ถอยออกมารอเวลา ท่าทางของหวั่นถงนิ
ตอนที่ 2 จากกันชั่วนิรินดร์รุ่งเช้าที่เรือนฟู่หย่าหลินจิ้งอี๋ชะงักมือ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งหรี่ลงเล็กน้อย“อะไรนะ…ยังไม่ตาย?”น้ำเสียงนั้นไม่ดังแต่เย็นจนสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างรู้สึกหนาววาบ“เจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้าต่ำ เสียงสั่นเล็กน้อย“หมอหลี่บอกว่า…เลือดหยุดแล้ว”ความเงียบปกคลุมเรือนฟู่หย่าในทันทีหลินจิ้งอี๋ไม่เอ่ยคำใด เพียงวางถ้วยชาลงอย่างช้า ๆนิ้วเรียวค่อย ๆ กำแน่น ก่อนจะคลายออก“ทั้งที่หมอหลี่บอกให้เตรียมงานแล้ว…”หลินจิ้งอี๋เอ่ยเสียงต่ำ ดวงตานิ่งสนิท “นางกลับรอดมาได้”สาวใช้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างก้มหน้าต่ำลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง“ฮูหยินน้อย…จะให้ข้าจัดการอย่างไรต่อดีเจ้าคะ”เสียงนางแผ่วลง “ถึงอย่างไร ตอนนี้อนุสี่ยังอ่อนแรง ต้องดื่มน้ำแกงบำรุงอีกมาก…”หลินจิ้งอี๋ส่ายหน้าเบา ๆ “ในเมื่อลงมือไปแล้ว…”น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่สะท้อนอารมณ์ “ก็ไม่ควรลงมือต่อ”คำพูดนั้นมิใช่การยอมแพ้หากเป็นการถอยหนึ่งก้าว—เพื่อดูท่าที“เจ้าไปจัดการดูแลนางให้เหมาะสม”หลินจิ้งอี๋เอ่ยต่อ “อย่าให้ผู้ใดกล่าวได้ว่าเรือนฟู่หย่าขาดธรรม”“เจ้าค่ะ”เรือนจันทร์ฉาย หวั่นถงลืม

















