เมื่อความรักไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนด แต่เป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง …เรื่องราวของหญิงสาวยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลาไปอยู่ในร่างหญิงบ้าในยุคที่ไม่คุ้นเคย กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
View Moreงานแต่งงานสุดหรูในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข ถูกจัดขึ้นบริเวณสนามหญ้ากว้างกลางแจ้งที่ตกแต่งอย่างงดงาม รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น แสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบกับดอกไม้สีขาวที่ประดับตามขอบทางเดินไปยังแท่นพิธีการ บรรยากาศอบอุ่นและเปล่งประกายไปด้วยความหวาน
เสียงเพลงคลาสสิคดังเบาๆ เคล้าคลอไปกับสายลม พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขและการพูดคุยของแขกที่มาร่วมงาน
รอบๆ บริเวณ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตูโค้ง ภาพถ่ายของคู่บ่าวสาวในอิริยาบถต่างๆ ที่นำมาจัดแสดง บนโต๊ะเก้าอี้ที่มีเอาไว้ต้อนรับแขก ต่างตกแต่งเอาไว้ด้วยดอกกุหลาบขาวเรียงรายราวกับทุ่งหญ้าแห่งความรัก
เจ้าบ่าวใบหน้าหล่อเหลาในชุดทักซิโด้สีดำยืนรออยู่ที่แท่นพิธีอย่างสง่างาม ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นและความสุข ในขณะที่คนเป็นเจ้าสาวปรากฏตัวในชุดเจ้าสาวหรูหราสีขาวบริสุทธิ์ ปักดอกไม้เล็กๆ อย่างสวยงาม และมงกุฎดอกไม้ที่ประดับบนหัวดูเหมือนเจ้าหญิงจากเทพนิยาย
ทุกสายตาจับจ้องมายังเจ้าสาว เมื่อเธอเดินไปตามทางเดินที่ประดับด้วยดอกไม้ขาว แสงแดดยามเย็นทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นยิ่งขึ้น แขกที่ถูกเชิญมาเป็นสักขีพยานเฝ้าดูด้วยความตื่นตาตื่นใจในช่วงเวลาที่สวยงามนี้
เมื่อเจ้าสาวเดินมาถึงแท่นพิธี เจ้าบ่าวยิ้มกว้างและจับมือเจ้าสาวอย่างมั่นคง สายตาของทั้งสองมองกันอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก
เสียงดนตรีแว่วหวานเงียบลง ขณะที่พิธีกรเริ่มต้นพิธีการ โดยมีคำสาบานรักที่เต็มไปด้วยคำพูดหวานๆ และคำสัญญาที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตของคู่บ่าวสาว
ในขณะที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแลกคำสาบาน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น ทุกคนรอบข้างล้วนยิ้มแย้มและปรบมือให้กับคู่รักที่เริ่มต้นการเดินทางใหม่ร่วมกัน
หลังจากพิธีการเสร็จสิ้น เสียงเปียโนก็เริ่มบรรเลงท่วงทำนองเพลงสากลสุดหวานแสนโรแมนติก ท่วงทำนองสุดคลาสสิค บวกกับเสียงนุ่ม ๆ และอ่อนโยนของคนเป็นเจ้าบ่าว เป็นเซอร์ไพรสุดพิเศษที่เจ้าบ่าวมอบให้เจ้าสาว เนื้อเพลงนั้นก็มีความหมายหวานซึ้งสุดใจ
ตราบเท่าที่ผมมีชีวิต ผมจะรักคุณ โอบกอดคุณ และมีเพียงคุณ ผมขอสัญญา จากวันนี้และตลอดไปจนลมหายใจสุดท้ายของผม…คุณในชุดสีขาวนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
ช่างเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความรักให้อบอวลยิ่งขึ้น เป็นงานแต่งที่โรแมนติกอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ
หลังจากการแสดงความรักของคู่บ่าวสาวจบลง ทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือของบรรดาสักขีพยานที่ยืนน้ำตาคลอ เพราะรู้สึกซาบซึ้ง ตราตรึงใจในความรักที่เจ้าบ่าวมีต่อเจ้าสาว
ไม่เว้นแม้กระทั่งหญิงสาวในชุดเดรสสีม่วงพาสเทลที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของงานแต่งงานหรูหรา เธอคลี่ยิ้มกว้างน้ำตาคลอไปกับความรักนั้น
กันตา หญิงสาววัยสามสิบแปด แขก ผู้มาร่วมงานแต่งงานของผู้ชายที่เธอเคยรักสุดหัวใจ ผู้ชายที่เธอเคยยืนเคียงข้างเขามาเป็นสิบปี แต่กลับไม่อาจเดินร่วมทางจับมือเขาในฐานะคู่ชีวิต เธอเป็นได้แค่เพียง แฟนเก่า ที่ยังมีความปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น
สายตาของกันตาจับจ้องไปที่คู่บ่าวสาวที่ยืนอยู่บนแท่นพิธี การมองเห็นคนทั้งสองกำลังยิ้มและแลกคำสาบานรักกัน ทำให้หัวใจของเธอเหมือนจะเจ็บขึ้นมาเพราะความรู้สึกอิจฉาอย่างไม่อาจควบคุมได้
หญิงสาวหลุบสายตามองแก้วไวน์ในมือที่ถูกเติมเป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจนับได้ ก่อนจะยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก พยายามกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไปพร้อมกับของเหลวสีแดงเข้ม
รสขมฝาดแทรกซึมอยู่ปลายลิ้น แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความขมขื่นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ที่ตรงนั้น...มันเคยเป็นของเธอ
กันตาหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกมากมายที่ถาโถม เธอยอมปล่อยมือจากเขาเองแท้ ๆ แต่ทำไมกัน... ทำไมถึงยังรู้สึกอิจฉาอยู่แบบนี้
สิบปีแห่งความรัก สิบปีแห่งความผูกพัน ต้องพังลงเพียงเพราะเธอไม่อาจตั้งครรภ์ได้ เธอมีลูกไม่ได้
กันตายังจำได้ดีถึงวันที่ตัดสินใจปล่อยมือจากอดีตคนรัก จำได้ถึงแววตาสับสนและลังเลของเขา
แต่เธอรู้ดีว่า... ครอบครัวในฝันของเขา คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เขาอยากมีลูกมาก และเราก็พยายามกันมาตลอด แต่กลับไร้วี่แววว่าเธอจะตั้งครรภ์
นั่นจึงทำให้กันตายอมปล่อยมือจากอดีตคนรัก ปล่อยให้เขาไปสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาฝัน เธอไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จะดึงรั้งเขาไว้
หึ นั่นมันก็แค่การหลอกตัวเองของเธอเพื่อให้ฟังดูดีเท่านั้นแหละ
ที่เธอยอมปล่อยมือเพราะไม่อาจทนกับความอึดอัด ความห่างเหินที่สัมผัสได้จากชายคนรักมากกว่า แม้เขาจะพูดว่ายังคงรักเธอเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกที่เธอสัมผัสจากเขามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ความสุข ความรักที่เคยมีให้กันมันลดน้อยถอยลงจนเธอไม่อยากดึงดันหลอกตัวเองอีกต่อไป
เธอจึงเลือกจบความสัมพันธ์นั้นด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีวันเอ่ยขึ้นมาก่อนแน่
เราจบกันด้วยดี และยังคงสถานะความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ดีมาก จนเธอยอมตกปากรับคำมาร่วมยินดีในวันสำคัญของเขา เพียงเพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากและไม่สบายใจ
"ทำไมกันนะ... สวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับฉันถึงเพียงนี้"
เสียงกระซิบแผ่วเบารอดผ่านริมฝีปากอิ่ม ความเจ็บปวดคล้ายเสียงสะอื้นที่ติดอยู่ในลำคอ เธอรู้ว่าคำถามนี้คงไม่มีวันได้รับคำตอบ
เมื่อรู้สึกว่าไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจและผิดหวังเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวจึงเลือกที่จะหันหลังเดินเข้าห้องน้ำ และขังตัวเองอยู่ในนั้น ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หยดลงมาไม่ขาดสายทันทีที่อยู่เพียงลำพัง แม้เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของแขกจะดังเข้ามาในหู แต่ภายในใจของเธอกลับเงียบและว่างเปล่า เธอรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว
กันตาเงยหน้ามองตัวเองในกระจกของห้องน้ำ กระจกที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เคยอ่อนเยาว์สดใสงดงาม และเต็มไปด้วยความสุข เธอนับได้ว่าเป็นคนที่สวยจัดคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความสวยนั้นกลับถูกบดบังด้วยร่องรอยแห่งความหม่นเศร้า และร่องรอยแห่งวัยที่มากขึ้น ผิดกับคนเป็นเจ้าสาวในวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นดอกไม้งามที่พึ่งจะเบ่งบาน
"ฉันเคยทำบาปทำกรรมอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้"
น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นไหว ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดไปหมดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ทุกคำถามดูเหมือนจะยิ่งตอกย้ำความว่างเปล่าในใจเธอ กันตาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยายามยิ้มให้ตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่างน้อยคนที่เธอรักและหวังดีก็กำลังมีความสุข
หญิงสาวเลือกที่จะหันหลังและเดินออกไปจากงานเลี้ยง เธอไม่อยากให้ใครเห็นความเศร้าที่มี ไม่อยากให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ต้องแปดเปื้อนเพราะความผิดหวังของเธอ
หญิงสาวก้าวเดินออกจากงานเลี้ยงอย่างโซซัดโซเซ ร่างกายไร้ซึ่งการทรงตัวจากปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเกินขีดจำกัด เธอเดินสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ไม่อาจแยกแยะได้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด
กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายก็ตอนที่มีแสงไฟสว่างจ้าพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าอย่างกะทันหัน สายตาพร่าเลือนจนต้องยกมือขึ้นปิดป้อง ดวงตาหรี่ลงตามสัญชาตญาณ ทว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เสียงแตรรถดังลั่นท้องถนน ก้องสะท้อนเข้ามาในหูจนอื้ออึง ความตื่นตระหนกพุ่งขึ้นกลางอก แต่ยังไม่ทันจะตั้งสติ ร่างกายของเธอก็ถูกแรงกระแทกอันมหาศาลซัดเข้าจนปลิวไปตามแรงปะทะ
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง รุนแรงจนแทบจะรับไม่ไหว แต่เพียงเสี้ยววินาที ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยๆ เลือนหาย ความปวดร้าวทั้งทางกายและใจคล้ายจะมลายหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบลง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าอันเงียบงัน…
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ
ช่วงเย็นของอีกวัน จื่ออิงนั่งอยู่ที่โต๊ะในครัวหลังร้าน ดวงตาหยุดนิ่งอยู่บนสมุดบัญชีตรงหน้า แต่เธอไม่ได้อ่านตัวเลขใดๆ เลย ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลกว่าแถวตัวเลขเหล่านั้นในเมื่อไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ จึงเลือกที่จะปิดสมุดบัญชีรายวันของร้านลง มือของเธอสั่นเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งจนแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองออกไปยังหน้าร้าน สายตาหยุดที่ภาพของหลี่เฉินสามีของเธอ ที่กำลังสอนบุตรสาวทำการบ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอยยิ้มของเขายังคงอบอุ่นเหมือนเคย แต่แววตากลับดูครุ่นคิด เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงเขาไปไกลจากตรงนั้นทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะลงตัว แต่ในหัวใจของจื่ออิง กลับรู้ดีว่า บางสิ่งยังคงค้างคาภาพหลี่เฉินกับเจียงซินหยาเมื่อวานนี้ยังวนเวียนอยู่ในหัว คำพูดของพวกเขายังคงก้องชัดในใจใช่ เธอบังเอิญได้ยินมันทั้งหมดการได้เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อวานนี้ ทำให้ตัวตนของทั้งสองที่เธอหลงลืมไปหวนกลับมาอีกครั้งจู่ๆ จื่ออิงก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างเนื้อเรื่องในนิยายเลยสักอย่าง จนเธอเกือบลืมไปแล้วว่า โลกใบนี้เป็นโลกของนิยาย เป็นโลกขอ
ในเวลาเดียวกันภายในหอร้อยรส ช่วงบ่ายคล้อยแสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านกระจกหน้าร้าน ลำแสงสีทองแตะต้องขอบหน้าต่างและโต๊ะไม้ในร้านอย่างแผ่วเบา ภายในร้านยังคงคึกคักไม่ขาดสาย เสียงจานช้อนกระทบกันเบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมของอาหารที่ยังอบอวลอยู่ในอากาศ หลี่เฉินกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ คิดเงินค่าอาหารส่งให้พนักงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบน้ำชาให้ลูกค้าประจำโต๊ะหนึ่ง ท่าทางของเขาขะมักเขม้น เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและใส่ใจในทุกรายละเอียดจนกระทั่งเสียงกระดิ่งเหนือประตูหน้าร้านดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมเอ่ยประโยคต้อนรับอย่างเคย"สวัสดีครับ หอร้อยรสยินดีต้อน..."แต่ประโยคนั้นกลับหยุดลงกลางคันเมื่อเขาเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มอ่อนโยนประจำตัวชะงักไปในทันทีหญิงสาวรูปร่างโปร่งบางในชุดกระโปรงสีครีมยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวสะอาดตา ผมยาวถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย แววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาเจียงซินหยาหลี่เฉินยืนนิ่งไปชั่วครู่ รอยยิ้มจางๆ ประจำตัวค้างอยู่บนใบหน้า ในฐานะเจ้าของร้านเขาไม่แน่ใจว่าควรจะรักษามันไว้หรือปล่อยมันหายไปความเงียบแผ่วบางพาดผ่านระหว่างสายตาของทั
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร้านอาหารเล็กๆ อย่าง "หอร้อยรส" ก็กลายเป็นที่รู้จักในย่านนั้นอย่างรวดเร็ว จากร้านอาหารที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับกลายเป็นจุดหมายของผู้คนที่แวะเวียนกันมาแทบทุกวัน ใครจะเชื่อว่าอาคารหลังนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รกร้างเก่าโทรม ไม่มีใครคิดจะหันกลับมามอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นร้านอาหารแสนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความสุขของผู้คนที่แวะมาใช้บริการและอิ่มท้องในแต่ละวันลูกค้าขาประจำบางคนถึงกับมาทุกเช้า บางคนแวะมาเย็น บางคนแค่เดินผ่านก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าเข้ามาดูว่ามีเมนูอะไรบ้างที่น่าสนใจในวันนี้ ส่วนลูกค้าใหม่ก็ทยอยตามกันมาแบบปากต่อปากไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงของร้านจากคำบอกเล่าของเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่เจอกันระหว่างต่อแถวซื้อของ ไม่มีวันไหนเลยที่ร้านจะเงียบเหงา ทุกๆ วันมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงช้อนกระทบชาม กลายเป็นเสียงประจำร้านที่อบอวลไปด้วยชีวิตชีวา กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมเหมือนคำเชิญชวนที่ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจและแรงกายแรงใจของจื่ออิงกับหลี่เฉิน คู่สามีภรรยาที่ทุ่มเทในทุกขั้นตอน เน
ในที่สุดร้านอาหารของพวกเขาก็เสร็จสมบูรณ์ จื่ออิงกับหลี่เฉินยืนเคียงข้างกันอยู่หน้าร้าน มองดูคนงานกำลังติดตั้งป้ายชื่อร้านเหนือประตูทางเข้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกออกแบบอย่างสวยงามและพิถีพิถัน รูปลักษณ์ดูทันสมัยแต่ยังแฝงกลิ่นอายของความเป็นจีนดั้งเดิม ลวดลายที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ให้ความรู้สึกคลาสสิก ไม่ฉูดฉาดแต่กลับโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ เมื่อติดตั้งเสร็จ ป้ายนี้ก็เสริมให้บรรยากาศของร้านดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวของอาหารและวัฒนธรรมที่รออยู่ภายในและสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นชื่อร้านที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม"หอร้อยรส (百味楼)"ชื่อนี้จื่ออิงใช้เวลาคิดอยู่นานหลายวัน เธออยากได้ชื่อที่ไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ต้องสื่อถึงอาหารทุกจานในร้าน ร้านที่รวมร้อยรสชาติเอาไว้ รสชาติหลากหลายที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เปรียบเหมือนรสชาติร้อยแบบพันอย่างที่ลูกค้าจะได้สัมผัสและลิ้มลองวันนี้เมื่อเห็นชื่อร้านของเธอถูกยกขึ้นติดไว้อย่างสง่างามเหนือทางเข้า จื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าทุกอย่างจะยั
บ่ายวันนั้น หลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จเรียบร้อย จื่ออิงกับหลี่เฉินก็พากันไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนทันทีที่แม่หนูน้อยเห็นพ่อกับแม่มายืนรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ใบหน้าเล็กๆ ก็เปล่งประกายสดใส ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่ร่างเล็กๆ จะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ"แม่คะ พ่อคะ วันนี้หนูสนุกมากเลยค่ะ"เด็กหญิงร้องบอกเสียงใส ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แก้มกลมนุ่มนิ่มขึ้นสีชมพูอ่อนดูน่าเอ็นดู"วันนี้หนูได้ระบายสีสมุดภาพ ได้เล่นกับเพื่อน แล้วก็..."เหยียนเหยียนพูดเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด มือเล็กๆ แกว่งไปมาประกอบคำพูดอย่างกระตือรือร้นฝ่ามืออ่อนนุ่มของจื่ออิงยกขึ้นลูบศีรษะเล็กเบาๆ อย่างเอ็นดู รอยยิ้มละมุนกระจายเกลื่อนใบหน้าหลี่เฉินย่อตัวลงรับลูกสาวขึ้นมากอดด้วยท่าทีอบอุ่น แล้วอุ้มขึ้นไปนั่งบนเบาะจักรยานด้านหน้า ขณะฟังเรื่องราวของลูกอย่างตั้งใจ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแต่ยังไม่ทันจะได้จัดให้เจ้าตัวนั่งดีๆ เสียงใสๆ ก็ประท้วงขึ้นเบาๆ"วันนี้หนูขอนั่งข้างหลังกับแม่ได้ไหมคะ"จื่ออิงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางสบตากับหลี่เฉินอย่างรู้ทัน เห็นท่าทางกระตือรือร้นของลูกสาวก็พอจะเ
Comments