ค่ำคืนไร้จันทร์ ท้องฟ้าดำทะมึนบดบังทุกแสงสว่างด้วยเมฆหนาทึบ สายลมเย็นพัดผ่านสวนกว้างของจวนตระกูลเหวิ่นปลิดใบไม้ร่วงปลิว ราวกับธรรมชาติกำลังเตรียมตัวเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น กลางลานกว้างแสงสลัวจากคบไฟส่องต้องร่างของเหวิ่นจือหยูและองค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อที่ยืนเคียงข้างกัน มื
ภายในห้องทรงงานอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงปลายพู่กันขีดเขียนลงบนกระดาษเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทว่าคนที่จับพู่กันกลับไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย หลี่หยวนเจ๋อนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะทรงงาน คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นับตั้งแต่เมื่อคืนที่เหวิ่นจือหยูสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายนางดูไม่เหมือนเดิม นางพยายามทำตัวปกติ แต่เขาเห็
เหวิ่นจือหยูเบิกตากว้างมีบางอย่างเกี่ยวกับเลือดและศาลานั้น นางไม่แน่ใจว่าควรจะกลัวหรือไม่ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า นี่อาจเป็นกุญแจที่นำไปสู่คำตอบของทุกอย่างหลังจากการพบกับนักบวชหลิวซาน เหวิ่นจือหยูตกอยู่ในสภาวะหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภายในตำหนัก เหวิ่นจือหยูนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างหน้าต่าง สาย
สองวันถัดมา ขณะที่เหวิ่นจือหยูกำลังตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ นางรู้สึกได้ถึงสายตาที่คอยจับจ้องอยู่ตลอดทุกครั้งที่นางหันไป ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแต่ความรู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ“พระชายา” องครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้พร้อมรายงาน“มีนักบวชคนหนึ่งมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ เขาบอกว่า
เสียงหยาดฝนโปรยปรายลงบนหลังคากระเบื้องเคลือบเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท้องฟ้าภายนอกถูกบดบังด้วยเมฆดำทะมึน บรรยากาศเย็นชื้น แต่ภายในห้องบรรทมกลับอบอุ่นจากเปลวเทียนที่ส่องสว่างอยู่ปลายเตียงเหวิ่นจือหยูนอนหลับตาอยู่บนเตียงไม้แกะสลัก ดวงหน้าดูสงบ ทว่าหัวใจของนางกลับไม่เป็นเช่นนั้น ภาพในห้วงฝันชวนประหลาดปรากฏข
“วาดรวี คุณต้องช่วยผม”เสียงภาษาที่คุ้นเคย แต่ไม่รู้จัก เรียกชื่อเธอเหวิ่นจือหยูกำลังยืนอยู่ข้างถนนท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าสีเทาหม่น รอบกายเต็มไปด้วยแสงไฟส่องวูบวาบจากรถยนต์ที่แล่นไปมา บีบแตรเสียงดัง เสียงเครื่องยนต์ดังกึกก้อง ผู้คนเดินขวักไขว่ในอาภรณ์แปลกตา ภาพเบื้องหน้าที่เห็นแตกต่