“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้าอีกแล้ว!” พูดจบฉู่หนิงก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป หมีเหิงถึงกับร้อนใจขึ้นมาทันที เขารู้ว่านี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของตนเองแล้ว หากฉู่หนิงไป หลังจากวันนี้แค่เขาคิดจะพบฉู่หนิงก็แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว “ท่านอ๋อง ช้าก่อน!” หมีเหิงรีบคลานไปที่ขาของฉู่หนิงทันที ก่อนจะกอดขาอ่อนของฉู่หนิงไว้แน่นพลางร้องตะโกนว่า “ข้าหมีเหิงยังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในใต้หล้า หากเก็บข้าไว้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องแน่ หลังจากนี้ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านอ๋องอย่างสุดกำลังความสามารถขอรับ!” หากยังไม่แสดงจุดยืนตอนนี้ก็ไม่ได้การแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่เด็ดขาด บาดแผลตามตัวแม้ไม่สาหัสมากนัก แต่ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่มีสักสตางค์แดงเดียวแล้วตอนนี้ มิหนำซ้ำยังเดินไม่ได้อีกต่างหาก ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะต้องตายลงตรงนี้เท่านั้นแล้ว โอกาสรอดเดียวตอนนี้ก็คือต้องกลายเป็นคนของฉู่หนิงไปซะ! “อ้อ? เจ้ายินดีสวามิภักดิ์กับข้าหรือ?” ฉู่หนิงหรี่ตา มุมปากกระตุกขึ้นเผยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา “เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าอีกไม่นานข้าก็ต้องไปรบที่แนวหน้าแล้ว และอา
จวนอ๋องภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน สรรพเสียงล้วนเงียบสงัด โคมไฟแดงที่แขวนอยู่ไหวตามสายลม ยิ่งเพิ่มบรรยากาศแปลกประหลาดเข้าไปอีก ภายในห้องเก็บฟืนของจวนอ๋อง คนผู้หนึ่งซึ่งถูกโบยจนหนังเปิดเนื้อแตกกำลังร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นแทรกผ่านความมืดมิดยามราตรีลอยเข้าไปในเรือนซึ่งอยู่ด้านนอก ผู้คุ้มกันจวนอ๋องร่างสูงใหญ่สองนายที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ในแววตายังสะท้อนประกายดูแคลนออกมาชัดเจน หมีเหิงเจ้าคนผู้นี้ช่างกล้าเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายในจวนอ๋อง ท่านอ๋องไม่จัดการสั่งประหารคนผู้นี้ยังถือว่าใจดีเกินไปด้วยซ้ำ บัดนี้ยังมีหน้ามาส่งเสียงโอดครวญน่ารำคาญอยู่ตรงนี้อีก ช่างหน้าไม่อายเสียจริง ในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นขัดห้วงความคิดของพวกเขาสองคนลงกะทันหัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเป็นฉู่หนิงที่เดินมือไพล่หลังเข้ามา ด้านหลังยังมีจ้าวอวี่และกวนอวิ๋นเดินตามมาติด ๆ “คารวะท่านอ๋อง!” ผู้คุ้มกันสองคนรีบประสานมือขึ้นทำความเคารพอย่างไม่รอช้า ฉู่หนิงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะถามขึ้นว่า “สถานการณ์ของหมีเหิงเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้คุ้มกันตอบกลับด้วยเสียงเคร่งขรึม “คนผู้นี้
“ท่านอ๋องเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ท่านอยากให้พวกเราแม่ลูกค้างแรมที่จวนอ๋องคืนนี้หรือ?” แม้แต่เฝิงมู่หลานในตอนนี้ก็ยังมองฉู่หนิงด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจ “เจ้าคนผู้นี้ไม่ใช่ว่ากำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่หรอกนะ?” เพิ่งจะหมั้นกันแท้ ๆ ก็หวังจะให้เสิ่นหว่านอิ๋งค้างแรมในจวนอ๋องแล้ว เจ้าหมอนี่เหมือนกับฮ่องเต้ไม่มีผิด บ้ากามทั้งคู่เลย! เสิ่นหว่านอิ๋งกลับไม่พูดอะไร ทว่าสีหน้าก็ยังแสดงความประหลาดใจออกมาเช่นกัน คิดจะให้ข้าค้างแรมที่จวนในเวลาแบบนี้ หรือฉู่หนิงคิดจะทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกจริง ๆ ? “เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว!” ฉู่หนิงรีบร้อนอธิบาย “ข้าเพียงมองว่าร่างกายของท่านแม่ยายยามนี้ไม่สะดวกเดินทาง ถึงได้อยากให้คืนนี้ท่านแม่ยายค้างได้ที่จวนอ๋องก่อนสักคืน” “ยิ่งไปกว่านั้นคืนนี้ข้ายังต้องไปจัดการกับเจ้าหมีเหิงคนนั้นอีก ไหนเลยจะมีเวลามาทำเรื่องอื่นกัน?” คำอธิบายนี้ทำให้สีหน้าขมึงทึงของฮูหยินเสิ่นผ่อนคลายลงไม่น้อยทีเดียว ขณะเดียวกันเฝิงมู่หลานที่อยู่ด้านข้างพลันแววตาเป็นประกายขึ้นมา จิตช่างจ้อในร่างกายถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นมาแล้ว “เจ้าจับตัวหมีเหิงได้แล้วหรือ? เจ้าคิดจะจัดการกับเขาอ
“ฉู่หนิง เจ้าเก็บคนอย่างหมีเหิงไว้มีเจตนาใดหรือ?” ฮ่องเต้ไม่ปิดบังความกังวลใจของตนเองแม้แต่น้อย เลิกคิ้วขึ้นพลางตรัสถาม ฉู่หนิงยิ้มเล็กน้อย “เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย ลูกไม่ประหารคนผู้นี้ เพียงเพราะเขาเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในที่แห่งนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ลูกแค่อยากให้บทเรียนเขาสักเล็กน้อยก็เท่านั้น” ได้ยินว่าฉู่หนิงจะไม่ประหารหมีเหิง จิตใจที่สั่นคลอนของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ตราบใดที่ไม่เอาชีวิตหมีเหิงไป จะเรื่องอะไรก็เจรจากันได้ทั้งสิ้น “เจ้าเข้าใจสถานการณ์ก็ดีแล้ว!” ฮ่องเต้พูดจบก็หยัดกายขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “บัดนี้สมควรแก่เวลาแล้ว เราและฮองเฮาต้องขอตัวกลับพระราชวังก่อน” “ลูกน้อมส่งเสด็จพ่อ และพระนางฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่หนิงประสานมือค้อมตัวคำนับ เหล่าขุนนางโดยรอบต่างก็ทยอยกันแสดงความเคารพน้อมส่งเสด็จเช่นกัน ฮองเฮาที่อยู่ด้านข้างแย้มพระสรวลบาง ๆ ก่อนจะประคองพระหัตถ์ฮ่องเต้ไว้และเสด็จออกไป ทว่า ในยามที่เสด็จออกมาถึงหน้าประตูจวน ฮ่องเต้คล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็หมุนศีรษะมองฉู่หนิง พร้อมกับกำชับว่า “วันนี้ฮูหยินเสิ่นคงตกใจเสียขวัญ คืนนี้ให้พำนักท
แม้จะเคยติดต่อกับฉู่หนิงเพียงสองครั้ง ทว่านางกลับเข้าใจนิสัยของฉู่หนิงเป็นอย่างดี คนอย่างเขาจะต้องฉวยโอกาสนี้รีดไถตนเองแน่ ไม่ได้การ วันนี้แค่เสียหน้าก็เกินพอแล้ว จะยอมถูกฉู่หนิงรีดไถอีกไม่ได้เด็ดขาด สายตาสอดมองไปทางรัชทายาท ใบหน้าฉายแววเยือกเย็นออกมา ดวงตายังแฝงด้วยความรู้สึกคล้ายตักเตือน หัวใจของรัชทายาทเย็นวูบ เข้าใจทันทีว่าจ้าวเฟยเยี่ยนกำลังบอกใบ้ให้ตนเองลงมือ มิเช่นนั้นจะเปิดโปงเรื่องที่สองคนลอบสมคบกันออกมา หากเรื่องนี้รั่วไหลออกไป เขาจะยังสามารถรักษาตำแหน่งรัชทายาทได้หรือไม่ก็พูดยากแล้ว! คิดได้ถึงจุดนี้ รัชทายาทก็ถอนหายใจเฮือกยาวออกมา แสร้งทำเป็นทอดถอนใจว่า “น้องสิบแปด ไม่เห็นจะต้องมององค์หญิงเฟยเยี่ยนเลวร้ายถึงเพียงนี้เลย” “แต่ว่า อย่างไรเสียเรื่องในวันนี้องค์หญิงเฟยเยี่ยนเป็นคนทำผิดขึ้นมาก่อน เจ้าอยากจะให้เรื่องนี้ยุติลงอย่างไร จงชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาเถิด!” ด้วยนิสัยหน้าด้านของเจ้าเด็กเวรฉู่หนิงคนนี้ หากไม่ได้ผลประโยชน์ติดไม้ติดมือไปบ้างก็ไม่มีทางยุติเรื่องนี้แน่ แทนที่จะปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ก็ไม่สู้รีบให้ผลประโยชน์อะไรบางอย่างไปเร็ว ๆ ดีกว่า เรื่องนี้จะได้สิ้น
ความโหดเหี้ยมเลือดเย็นของจ้าวเฟยเยี่ยนเกินความคาดหมายของทุกคน แม้ว่าวันนี้หมีเหิงจะดูหมิ่นฉู่หนิงจริง อีกทั้งยังแสดงความโอหังพูดจาอวดดีต่อหน้าทุกคนตรงนี้ แต่เขาก็ถูกฉู่หนิงลงโทษไปแล้ว หากยังประหารหมีเหิงตรงนี้อีก ก็นับว่าเกินกว่าเหตุจริง ๆ ทว่าฉู่หนิงได้ยินดังนั้นนัยน์ตากลับฉายประกายสว่างวาบออกมา คล้ายมีความคิดบางอย่าง “คำพูดนี้ขององค์หญิงเฟยเยี่ยนดูจะมีเหตุผลทีเดียว!” ฉู่หนิงเอ่ยพลาง มองไปทางหมีเหิงที่บัดนี้ถูกโบยจนหนังเปิดเนื้อแตกพลาง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “คนผู้นี้กร่างกล้าเพียงนี้ ยังถึงขั้นอาฆาตอยากแก้แค้นในภายหลัง คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด!” “ใครก็ได้ จับตัวมันไปตัดศีรษะ!” สิ้นคำสั่งนี้ ทั้งจ้าวอวี่และกวนอวิ๋นรีบรุดเข้ามาลากตัวหมีเหิงออกไปข้างนอกทันใด หมีเหิงนิ่งชะงักไปก่อน จากนั้นความเจ็บปวดที่แล่นทั่วร่างกายทำให้เขาเข้าใจกระจ่างว่า ขืนยังไม่คิดหาหนทางอีก วันนี้ได้สิ้นใจตายอยู่ที่นี่จริง ๆ แน่ “จวิ้นอ๋องได้โปรดให้อภัย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นคำสั่งของจ้าวเฟยเยี่ยนทั้งสิ้น นางเชิญข้ามาที่นี่ก็เพื่อจงใจสร้างความปั่นป่วน และทำให้ท่านขุ่น