LOGINจากอดีตสู่ดวงดาว แผ่นดินล่มสลาย นางเดินทางไกล ข้ามดวงดาว จากคุณหนูใหญ่หอการค้า สู่ลูกสาวขุนนางอาณาจักรใหญ
View Moreจวนตระกูลถังตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่และวิจิตรบรรจง เสียงหัวเราะสดใสของเหล่าเด็กน้อยดังเจื้อยแจ้วขณะวิ่งเล่นหลบหนีเหล่าสาวใช้ที่พยายามไล่กวดจับอย่างสนุกสนาน พวกนางใช้ชีวิตทุกวันราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์ที่ตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอก
ทว่าภายใต้ความสงบสุขนั้น ทั้งตระกูลถังและตระกูลหยางยังคงยึดมั่นในปณิธานของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด กฎเหล็กที่สลักลึกในสายเลือดคือ
“ห้ามข้องแวะกับราชสำนักเป็นอันขาด”
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา จึงไร้ซึ่งเงาร่างของคนจากสองตระกูลในราชสำนัก แม้กระทั่งอำนาจโอรสสวรรค์ก็มิอาจบีบบังคับให้เกี่ยวดองทางสายเลือดได้ ด้วยราชโองการคุ้มครองที่แลกมาด้วยความชอบในอดีตกาล
ในขณะที่หอการค้าภายใต้การดูแลของพวกเขาเติบโตจนกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเมืองหลวงเก่า ความมั่งคั่งนี้กลับกลายเป็นที่ริษยา ฮ่องเต้ผู้กระหายอำนาจทรงหาทางยึดครองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการออกคำสั่งที่ยากจะเป็นไปได้ หรือการหาเหตุใส่ความเพื่อประหารคนในตระกูลเพื่อหวังริบทรัพย์สิน แต่ทว่าพระองค์ยังทรงเกรงอกเกรงใจในกำลังทหารลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในมือของสองตระกูลใหญ่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหล่าคนในตระกูลต่างตั้งคำถามในใจ... เหตุใดเจ้าตระกูลรุ่นก่อนจึงสั่งให้สะสมกำลังคนและอาวุธไว้มากมายมหาศาลเช่นนี้แม้จะเคลือบแคลง แต่พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นมานับร้อยปีโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เหล่ารุ่นเยาว์ถูกเคี่ยวกรำฝึกวิทยายุทธ์อย่างหนักหน่วงควบคู่ไปกับศาสตร์ศิลป์ทุกแขนง จนชื่อเสียงของ “กองทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุด” ขจรขจายไปทั่วทั้งยุทธภพ
"ลูกรัก... วันนี้เป็นวันสืบทอดของเรา เจ้าต้องผ่านพิธีในวันนี้ไปให้ได้ เข้าใจไหม?” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่สั่นเครือเล็กน้อย แววตาที่มองดูลูกสาวเปี่ยมไปด้วยความรักและความเวทนาที่ปิดไม่มิด
"เจ้าค่ะท่านแม่” เด็กสาวตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ในอกข้างซ้ายกลับเต้นรัวด้วยความประหวั่น
นางค่อยๆ เปลื้อง เสื้อผ้าออกจนหมดสิ้น ร่างกายอันบอบบางสัมผัสกับอากาศเย็นเยือกก่อนจะก้าวลงสู่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้าง กายใจ พิธีสืบทอดนี้มิต่างจากดาบสองคม มีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ลิ้มรสอำนาจนี้ “พลังอำนาจดุจเทพเจ้า”
ถามว่าคนอื่นอิจฉานางไหม? ตอบได้เลยว่าไม่! เพราะลึกลงไปในความศรัทธา ภาระนี้มันหนักหน่วงไม่ต่างจาก “คำสาป” ที่ต้องแบกรับไปจนวันตาย
"อ้ากกกกกก!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนจะขาดใจดังระงมออกมาจากเรือนกลางที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองตระกูล ความเงียบสงบถูกทำลายลงทันที
“ฟ้าเปิดแล้ว เริ่มได้!”
“ตั้งค่ายกลเปิดฟ้า!”
“พลิกฟ้ากลับแผ่น! ธาตุทั้งหกหลอมรวมเป็นหนึ่ง!”
เหล่าอาวุโสและนักบวชต่างผนึกกำลังตั้งจิตมั่นเพื่อควบคุมกระแสพลังอันบ้าคลั่งในค่ายกล เสียงลมพัดหวีดหวิวปะทะร่างกายศิษย์ในพิธีอย่างรุนแรง
“อ้ากกกกกก! ข้าต้องผ่านมันไปให้ได้! ย้ากกก!” เด็กสาวกัดฟันสู้กับความเจ็บปวดที่ราวกับมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าไปในกระดูก พลังธาตุที่ไหลเวียนเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของนาง
ในขณะเดียวกัน ณ สุดเขตแดนเหอเป่ย์อันไกลโพ้น บรรยากาศพลันหนักอึ้ง กลิ่นอายความชั่วร้ายเริ่มก่อตัวขึ้นช้าๆ ราวกับหมอกพิษที่กลืนกินแสงสว่าง สายตาเย็นเยียบของสิ่งลี้ลับจ้องมองมายังเมืองท่าอันเจริญรุ่งเรืองด้วยความกระหาย
พวกมันซ่อนเร้นในเงา มืดมิดและเยือกเย็น รอคอยเวลามานานนับร้อยปี... และบัดนี้ สองศตวรรษที่รอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว สงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลายเดือนต่อมา ณ ด่านเซี่ยโจ ปราการด่านสุดท้ายที่คอยปกป้องแผ่นดินจงหยวนจากแดนเหนือ
“ลั่นกลองรบ! ลั่นกลองรบเดี๋ยวนี้!”
เสียงตะโกนกึกก้องปนไปกับเสียงรัวกลองศึกดั่งฟ้าผ่า ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ปลุกหัวใจที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นสู่ฝันร้าย
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ท่านแม่ทัพ! กองทัพมืดขอรับ... พวกมันบุกมาแล้ว!” พลทหารรายงานด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าซีดเผือดมองไปยังขอบฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีดำสนิทของกองทัพศัตรู
“คำทำนายของท่านผู้นั้นเป็นความจริงรึนี่...” แม่ทัพพึมพำกับตนเอง ดวงตาสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาแข็งกร้าว “ไม่ได้การแล้ว! รีบอพยพชาวบ้านเดี๋ยวนี้ ใช้ช่องทางลับพาพวกเขาทั้งหมดออกไป! เร็วเข้า!”
ความวุ่นวายอุบัติขึ้นทันที ชาวบ้านหอบลูกจูงหลานด้วยความตื่นตระหนก เสียงร้องไห้ของเด็กระงมไปทั่ว ขณะที่ทหารอีกส่วนหนึ่งแบกสังขารและอาวุธที่เริ่มเก่าคร่ำคร่าขึ้นสู่ป้อมกำแพงเมือง เตรียมเผชิญหน้ากับความตายที่รออยู่เบื้องหน้า
“ส่งพิราบสื่อสารไป! แจ้งหัวเมืองอื่นและเมืองหลวง... บอกพวกเขาว่าเราต้องการกำลังเสริมด่วนที่สุด!!”
แม่ทัพก้มมองดาบในมือที่มีรอยบิ่นและชุดเกราะที่บางลงกว่าแต่ก่อน “ขอให้ทันทีเถอะ... หากฝ่าบาทไม่ทรงละเลยกองทัพเพียงเพื่อประหยัดงบประมาณไปจัดงานสำราญ พวกเราคงมีอาวุธที่ดีกว่านี้ อนิจจา สามร้อยปีมานี้ กองทัพย่ำแย่เกินกว่าจะฟื้นคืนให้เกรียงไกรดังเก่าได้”
เขามองดูทหารของตนที่ยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว “ดูปืนไฟ ดูดาบ หอก และปืนใหญ่พวกนี้สิ มันแทบจะทำอะไรศัตรูไม่ได้แล้ว หากไร้ซึ่งความช่วยเหลืออย่างลับๆ จาก ‘ที่นั่น’ เราคงเสียชายแดนไปนานแล้ว”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกขวัญทหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
“ทหารทุกคนจงฟัง! วันนี้เราจะถ่วงเวลาให้นานที่สุด เพื่อให้ครอบครัวและพี่น้องของเราหนีไปได้ไกลพอ! ข้าไม่บังคับให้พวกเจ้าสู้เพื่อฮ่องเต้ที่โง่เขลาและเหล่าขุนนางกังฉินที่คอยแต่จะโกงกินบ้านเมือง... แต่จงสู้เพื่อคนที่พวกเจ้ารัก! แม้ประวัติศาสตร์จะมิจารึกชื่อของพวกเรา แต่มันจะอยู่ในความทรงจำของลูกหลานเราไปตลอดกาล! สู้!!!”
“สู้!!!” เสียงตอบรับดังกึกก้องสั่นสะเทือนถึงก้อนเมฆบนฟ้า สัญญาณไฟถูกจุดขึ้นเหนือหอแจ้งเตือน แสงเพลิงลุกโชนท่ามกลางความหวังอันริบหรี่
ทว่า... เพียงครึ่งวัน ด่านเซี่ยโจที่ยืนหยัดมาหลายชั่วอายุคนกลับพังทลายลง ทหารกล้ากว่าห้าพันนายต้องสังเวยชีวิตให้แก่ความประมาทของผู้ปกครอง ซากศพกองสูงท่วมหัว กลิ่นคาวเลือดและเขม่าควันไฟเปลี่ยนเมืองชายแดนที่เคยรุ่งเรืองให้กลายเป็นนรกบนดินในชั่วข้ามคืน
********
ณ ท้องพระโรงอันหรูหรา
ตึก! ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าเร่งรีบกระทบพื้นหินอ่อนดังสะท้อนไปทั่วโถงทางยาว
ปึ้ง! ประตูท้องพระโรงถูกผลักออกอย่างแรง ฮ่องเต้และเหล่า ขุนนางในชุดผ้าไหมหรูหราพากันสะดุ้งโหยง
“อาญามิพ้นเกล้า! บัดนี้ด่านเซี่ยโจแตกแล้วพะย่ะค่ะ! สัญญาณไฟเตือนภัยมองเห็นได้ชัดจากที่นี่... เมืองเหนือขอกำลังเสริมด่วนที่สุด!” พลทหารเดินสารรายงานด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเลือดที่เริ่มแห้งกรัง
“บังอาจ! เจ้านำความเท็จมากล่าวในที่สำราญแห่งนี้ได้อย่างไร!” ขุนนางกังฉินผู้หนึ่งตวาดลั่น “ทหาร! เอาตัวมันไปขัง!”
“ฝ่าบาท! ทรงทำเช่นนี้ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ! หากเสียหัวเมืองเหนือ ชาวเมืองจะถูกฆ่าล้างเมือง... ฝ่าบาท!!!” เสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมร่างที่ถูกลากออกไป
“ฝ่าบาท... มันอาจเป็นเพียงข่าวลือพะย่ะค่ะ หากเราเคลื่อนทัพตอนนี้ เมืองหลวงจะไร้การป้องกันทันที” ขุนนางอีกคนรีบประจบ
“แต่ฝ่าบาท... หากเรื่องนี้เป็นจริง เราจะรับมือไม่ทันนะพะย่ะค่ะ” ขุนนางน้ำดีพยายามแย้งด้วยความกังวล
ฮ่องเต้ผู้ประทับบนบัลลังก์ทองโบกพระหัตถ์อย่างรำคาญ “พอๆ พวกท่านหยุดเถอะ... เรากำลังจะจัดงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสิบปี อย่าเอาเรื่องอัปมงคลมาทำให้เสียบรรยากาศเลย”
“แต่ว่าฝ่าบาท...”
"ข้าบอกว่าพออย่างไรเล่า!" ฮ่องเต้ตวาดเสียงดังลั่น
“พะย่ะค่ะ...” เหล่าขุนนางน้ำดีได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้น หัวใจของพวกเขาหนักอึ้งด้วยความห่วงใยในชะตากรรมของแผ่นดินที่กำลังจะลุก เป็นไฟ
สองสัปดาห์ถัดมา ข่าวร้ายที่ทุกคนพรั่นพรึงก็คืบคลานมาถึงเมืองหลวงดั่งพายุทมิฬ เมื่อเมืองหน้าด่านหลายแห่งแตกพ่ายลงอย่างย่อยยับ หนำซ้ำข้าศึกยังเข่นฆ่าสังหารชาวเมืองอย่างทารุณไร้ความปราณี หน่วยข่าวของหอการค้าที่รอดชีวิตมาได้เพียงครึ่งเดียวรีบนำสารมาแจ้งด้วยสภาพสะบักสะบอม
“บัดซบที่สุด!”
หญิงสาวผู้งดงามในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ดวงตาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหวด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มือบอบบางที่ถือจดหมายนั้นสั่นระริก ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความเวทนาต่อราษฎรที่ต้องรับกรรม
“พี่ใหญ่... เกิดอะไรขึ้นขอรับ” ชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนน้องชายก้าวเข้ามาถามด้วยสีหน้ากังวล
“เมืองชายแดนล่มสลายแล้ว...” นางหลับตาลงอย่างข่มขืน ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยว “เจ้าพาคนของเราทั้งหมดไปขึ้นเรือเดี๋ยวนี้ บอกพวกเขาให้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว... ในตอนที่ลมหายใจยังคงอยู่ และตอนที่ยังทำได้”
น้ำเสียงของนางสั่นพร่าด้วยความเจ็บปวดลึกซึ้งที่มิต่ออาจปกป้องแผ่นดินเกิดไว้ได้ทั้งหมด
“ขอรับ!” ชายหนุ่มรับคำสั่งด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
ทันใดนั้น ความเคลื่อนไหวลับๆ ก็เริ่มขึ้น ขุนนางน้ำดีที่เป็นพันธมิตรกับหอการค้าต่างทยอยอพยพครอบครัวหนีความตาย มุ่งหน้าสู่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือลับไปยังเกาะลี้ลับที่เป็นเขตปกครองพิเศษ มีเพียงเหล่าผู้นำสูงสุดของหอการค้าเท่านั้นที่รู้จักเส้นทาง
ผ่านไปหลายเดือน ความเงียบเหงาเริ่มปกคลุมเมืองหลวงเก่า เหล่าคนของหอการค้าทยอยย้ายออกไปจนเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงกองทหารกล้าที่ยอมอยู่รักษาสุรเสียงสุดท้าย แม้แต่คนในตระกูลถังและตระกูลหยางก็เริ่มอำลาจวนที่เคยรุ่งเรืองเพื่อขึ้นเรือรบ ทหารชายแดนหลายนายมองดูครอบครัวของตนที่ถูกฝากไปกับเรือด้วยแววตาอาลัยรัก
หลายวันต่อมา เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบข่าวก็ทรงกริ้วจัด สั่งการให้ปิดท่าเรือทันที! แต่ทว่า... ทหารที่เหลืออยู่กลับไม่มีใครยอมรับฟังคำสั่งโฉดนั้น บริเวณท่าเรือที่เคยพลุกพล่านกลับกลายเป็นพื้นที่ร้าง ร้านรวงปิดตัวลงอย่างถาวร สถานกงสุลต่างประเทศพากันขนย้ายข้าวของทิ้งเมืองไปอย่างเร่งรีบ
ท่ามกลางความโกลาหล ขุนนางกังฉินและทหารวังหลวงยืนประจันหน้ากับกองกำลังต่างชาติและทหารรับจ้างที่ตรึงกำลังคุ้มครองชาวบ้านอยู่
“พวกเจ้าคิดจะไปไหน! นี่คือการขัดราชโองการ!” ขุนนางเฒ่าตวาดเสียงดังจนได้ยินไปทั่วท่าเรือ
“สงครามใกล้มาถึงตัวแล้ว หัวเมืองหน้าด่านถูกทำลาย เหอเป่ย์ ถูกล้อมไว้หมดสิ้น! ท่านหญิงสั่งให้พวกเราช่วยอพยพผู้บริสุทธิ์ แล้วพวกท่านเล่า... นอกจากยืนสั่งการโง่ๆ อยู่ตรงนี้ ได้ทำอะไรเพื่อชาวบ้านบ้าง!” แม่ทัพผู้ดูแลท่าเรือตอกกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
"ฝ่าบาทมีรับสั่งห้ามผู้ใดออกจากเมือง! ใครฝ่าฝืนคือ ‘กบฏ!’ นั่น! เจ้ากรมเกษตร! ท่านจะไปไหน!” ขุนนางกังฉินชี้หน้าขุนนางน้ำดีที่กำลังก้าวขึ้นเรือ
“ข้าขอลาออก! แผ่นดินซ่งใต้ไร้อนาคต ซ่งเหนือย่ำแย่เกินเยียวยา!” ขุนนางเฒ่าหันมามองด้วยสายตาเวทนา “ตราบใดที่คนยังอยู่ การกู้ชาติย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ!” พูดจบเขาก็เดินขึ้นเรือหอการค้าไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
“ไปรายงานฝ่าบาท... หอการค้าคิดก่อกบฏ!”
“แต่... ท่านขุนนางขอรับ หากสงครามมาถึงจริงๆ ชาวเมืองที่เหลือจะตายกันหมดนะขอรับ” นายทหารผู้น้อยคนหนึ่งแทรกขึ้นด้วย ความกลัว
“บังอาจ! สงครามที่ไหนกัน? เจ้าไปเอาข่าวลวงพวกนี้มาจากไหน!”
“เช่นนั้นท่านก็อยู่ที่นี่ไปเถอะ! รอความตายในกงขังแห่งนี้ไปคนเดียวเถอะ!” ชาวบ้านที่รอขึ้นเรือต่างพากันตะโกนสาปแช่งด้วยความโกรธแค้น
“จะ... พวกเจ้า! กลับ! กลับเข้าวัง!” ขุนนางเฒ่าหน้าถอดสี รีบสะบัดหน้าเดินขึ้นรถม้าหนีไปท่ามกลางเสียงโห่ไล่
กระแสการอพยพหลั่งไหลราวกับเขื่อนแตก ชาวบ้านผู้สิ้นหวัง ต่างเลือกทิ้งถิ่นฐานมุ่งหน้าลงสู่ทิศใต้ บ้างก็โชคดีได้รับความช่วยเหลือจากเรือของหอการค้ามุ่งหน้าสู่เกาะลี้ลับทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง
“ปั้ง!”
เสียงฝ่าพระหัตถ์กระแทกลงบนโต๊ะทรงอักษรดังสนั่นหวั่นไหว
“บังอาจ! พวกมันคิดจะไปไหนกัน! ไม่เห็นหัวข้าที่เป็นฮ่องเต้รึไง!” องค์เหนือหัวทรงแผดสุรเสียงด้วยความพิโรธ เมื่อสดับรายงานความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมือง
“รายงานพะย่ะค่ะฝ่าบาท! เมืองเหอเป่ย์ขอกำลังเสริมเร่งด่วน บัดนี้กำแพงเมืองใกล้พังทลายแล้วพะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์วิ่งพรวดพราดเข้ามาถวายฎีกาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ขุนนางกังฉินผู้หนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า แววตาเจ้าเล่ห์ฉายชัด “ฝ่าบาท... ในเมื่อพวกตระกูลถังและหยางมีกำลังทหารในมือนัก เหตุใดเราไม่ใช้พวกมันไปตายแทนเสียเล่าพะย่ะค่ะ? ถือเป็นการยืมดาบฆ่าคน กำจัดเสี้ยนหนามไปในตัว”
“ดีมาก! เอาตามนั้น!” ฮ่องเต้ทรงเห็นดีเห็นงามด้วยความเขลา
ทว่า... เมื่อขบวนรถม้าของพระราชวังและกองทหารบุกไปถึงจวนตระกูลถังและตระกูลหยาง กลับต้องพบกับความเงียบงันที่น่าขนลุก ประตูบานใหญ่เปิดอ้าทิ้งไว้ แต่ภายในกลับ “ว่างเปล่า” ไร้ซึ่งร่องรอยสิ่งมีชีวิต แม้แต่เครื่องเรือนหรือสิ่งของมีค่าก็ถูกขนย้ายไปจนเกลี้ยง ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าคือ “เรือนกลาง” ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสองจวนกลับหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ทิ้งไว้เพียงพื้นที่ราบเปล่าและความเงียบที่ตะโกนก้องถึงการละทิ้งเมืองหลวงแห่งนี้
เมื่อบุกไปถึงหอการค้า พวกทหารวังก็ต้องชะงักเมื่อพบกับแนวป้องกันที่แน่นหนา ประตูฝั่งตะวันออกถูกยึดครองและควบคุมโดยยอดฝีมือของหอการค้าอย่างเบ็ดเสร็จ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” กงกงชราผู้นำขบวนถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“เมืองชั้นรองแตกหมดแล้วขอรับ” บัณฑิตหนุ่มในชุดปัญญาชน สีสะอาดตาเดินออกมาขวางหน้ากองทหาร “กองทัพทมิฬกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ทหารจากหัวเมืองที่รอดตายกำลังอพยพประชาชนลงใต้ ที่นี่กำลังจะกลายเป็นปราการสุดท้าย... หากท่านยังรักชีวิต ก็รีบหนีไปเสียเถอะ”
“คุณชายซ่ง... ท่านเป็นถึงบัณฑิตผู้ทรงเกียรติ เหตุใดถึงมาคลุกคลีกับคนกบฏเหล่านี้!” กงกงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านกงกง... ตระกูลซ่งของข้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลหยางมาหลายชั่วอายุคน พวกเราฝึกทั้งบู๊และบุ๋มาเพื่อรอวันนี้... วันที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟเพราะความเขลาของคนในวัง แล้วเหตุใดข้าจะมายืนตรงนี้มิได้?” คุณชายซ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่บาดลึก
กงกงชราได้ฟังดังนั้นก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว แม้จะรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมานาน แต่เขาก็รับรู้ถึงความฟอนเฟะภายในวังหลวงมาตลอด เพื่อรักษาชีวิตตนเองจึงต้องแสร้งปิดหูปิดตาทำตามคำสั่งโฉดมาเนิ่นนาน
“เสียดายนัก... ที่ขุนนางน้ำดีไร้อำนาจต่อรองกับฝ่ายกังฉิน มิเช่นนั้นด่านเซี่ยโจคงไม่แตกพ่ายยับเยินเช่นนี้” กงกงเอ่ยอย่างท้อแท้
“บ้านเมืองอ่อนแอเพราะผู้ปกครองรุ่มหลงเพียงความสุขสำราญ ใส่ใจเพียงตำราและบทกวีที่ฉาบฉวย แต่กลับละเลยการบริหารราชการแผ่นดิน” บัณฑิตหนุ่มมองไปยังท้องฟ้าที่มีควันไฟพุ่งขึ้นมาจากขอบฟ้าไกลๆ “ช่างแตกต่างกับอดีตผู้บัญชาการผู้ก่อตั้ง… หอการค้าท่านนั้นเหลือเกิน”
“ขอรับ... ข้าเห็นด้วยจากใจจริง” กงกงยอมรับอย่างพ่ายแพ้
ตึ่งๆๆๆๆๆๆ!
เสียงรัวกลองศึกดังแว่วมาตามลม พร้อมควันไฟที่หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เพียงไม่กี่เดือน ข้าศึกก็รุกรานมาถึงประตูสู่จงหยวน กงกงชรายืนมองไปยังประตูเมืองด้วยสายตาที่สิ้นหวัง
“รีบเคลื่อนย้ายชาวบ้านเร็วเข้า! รีบไป!” กองทหารรับจ้างและคนของหอการค้าเร่งมือช่วยชาวบ้านกลุ่มสุดท้าย จนในที่สุด เมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองก็ค่อยๆ เงียบเหงาลงจนกลายเป็นเมืองที่ว่างเปล่า... พร้อมรับศึกสุดท้ายที่จะตัดสินชะตากรรมของแผ่นดิน
กงกงชราเร่งฝีเท้ากลับเข้าสู่เขตพระราชฐาน ทว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับมิใช่ความเข้มแข็งของอาณาจักร แต่เป็นความโกลาหลขั้นสุดยอด ฮ่องเต้ผู้เคยประทับบนบัลลังก์อย่างทนงตน บัดนี้กลับมีรับสั่งให้อพยพหนีสงครามลงใต้ดั่งผู้แพ้ที่ละทิ้งไพร่ฟ้า
ภายในวังหลวงที่เคยเงียบสงบและเต็มไปด้วยระเบียบวินัย บัดนี้กลับวุ่นวายจนยากจะควบคุม เหล่านางกำนัลและทหารชั้นผู้น้อยวิ่งวุ่นหนีตาย บ้างก็หอบข้าวของมีค่า บ้างก็ร่ำไห้อย่างไร้จุดหมาย กงกงชราหยุดยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความสับสนนั้น เขาหลับตาลงนิ่งงัน ราวกับกำลังยืนไว้อาลัยให้กับชีวิตที่อุทิศให้แก่แผ่นดินอันเน่าเฟะแห่งนี้
“ฮ่องเต้เสด็จไปที่ใดแล้ว!” เขาตวาดถามขันทีรุ่นหลานที่วิ่งสวนมา
“ท่านกงกง... พระองค์เสด็จออกนอกเมืองไปแล้วพะย่ะค่ะ พร้อมด้วยเหล่าเชื้อพระวงศ์และกองทหารรักษาพระองค์ที่ฝีมือดีที่สุด... ทรงเสด็จไปตั้งแต่หนึ่งชั่วยามก่อนแล้ว!”
“บัดซบ!” กงกงชราสบถออกมาด้วยความแค้นเคือง “ทรราชผู้โง่เขลานั่นทิ้งราษฎรทิ้งเมืองหลวงหนีไปแล้วรึ!” หัวใจของชายชราเต็มไปด้วยความสมเพช นี่หรือคือโอรสสวรรค์ที่เขาเคยหมอบกราบ
“ขอรับ... แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับท่านกงกง”
“พวกเราจะหนีไปทางไหนดีเจ้าคะ”
เหล่าทหารระดับล่าง นางกำนัลผู้บอบบาง และขันทีที่ไร้ทางสู้พากันมารวมตัวรอบตัวกงกงชรา แววตาทุกคู่เต็มไปด้วยความหวังสุดท้ายที่ฝากไว้กับเขา
“สั่งการลงไป! อพยพเดี๋ยวนี้!” กงกงชราประกาศกร้าว แววตาที่เคยหม่นแสงกลับมาเด็ดเดี่ยว “ทหารที่ยังเหลือความกล้า จงไปเสริมแนวรบที่ประตูเมืองร่วมกับคนของหอการค้า! ส่วนพวกเธอที่เหลือ... จงรีบออกจากเมืองหลวงไปเสีย ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่สองเท้าจะพาท่านไปได้! หากทางบกถูกปิดตาย จงมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือ... เรือของหอการค้าและกองทัพลับยังคงอยู่ที่นั่น พวกเขาไม่มีวันทิ้งพวกเราเหมือนฮ่องเต้ผู้นั้น!”
“ขอรับ!”
“เจ้าค่ะ!”
เสียงรับคำสั่งดังกึกก้องพร้อมน้ำตาแห่งความหวังเพียงริบหรี่ กงกงชรามองดูแผ่นหลังของเหล่าข้าราชบริพารที่วิ่งแยกย้ายกันไป ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มถูกย้อมด้วยสีแดงเพลิงของควันไฟ... สงครามที่แท้จริงได้มาถึงธรณีประตูบ้านเขาแล้ว
เพียงไม่กี่วันถัดมา เมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองกลับเงียบสงัดราวกับ ป่าช้า ไร้ซึ่งเสียงพ่อค้าแม่ขายและเสียงหัวเราะของเด็กๆ มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านจวนร้าง บนกำแพงเมืองสูงตระหง่าน เหล่าทหารชายแดนผู้เหนื่อยล้าและกองทหารรับจ้างยืนหยัดตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังขอบฟ้า... ที่นั่น กลุ่มเมฆดำทะมึนมิใช่พายุฝน แต่คือ “กองทัพมืด” นับแสนที่เคลื่อนพลมาดั่งคลื่นยักษ์สีดำที่จะกลืนกินทุกสิ่ง
“วู่!!!!!!!”
เสียงแตรศึกดังสนั่นหวั่นไหว บาดลึกเข้าไปในถึงขั้วหัวใจ กองทัพมืดเคลื่อนมาหยุดนิ่งอยู่ตรงจุดที่คมธนูเอื้อมไม่ถึง บรรยากาศกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก
“เตรียมปืนใหญ่!” เสียงประกาศกร้าวสั่งการ
“คุณหนูใหญ่ขอรับ... เราเหลือกระสุนยิงได้เพียงสามชุดเท่านั้น ฮ่องเต้และขุนนางพวกนั้นขนปืนใหญ่รุ่นใหม่และดินปืนไปเกือบหมดสิ้นแล้วขอรับ” ทหารรายงานด้วยน้ำเสียงขื่นขม
คุณหนูใหญ่มองปืนใหญ่สำริดที่ตั้งเรียงราย “เรายังมีของสำรองอีกเยอะ... แม้พวกมันจะดูเก่าคร่ำคร่า แต่อายุสี่ร้อยปีของมันถูกหล่อหลอมด้วยความรักชาติของบรรพบุรุษ เก็บรักษามาอย่างดีเพื่อรอวันนี้... วันที่มันจะได้ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย!”
“บุก!!!!!”
สิ้นเสียงคำรามของฝ่ายศัตรู กองทัพมืดพุ่งเข้าใส่กำแพงเมืองดั่งสัตว์ป่ากระหายเลือด
“ปืนใหญ่! ยิงได้!”
ตึ้ม! ตึ้ม! ตึ้ม! เสียงกัมปนาทดังสนั่นสลับกับเสียงโห่ร้อง “เฮ!!!!”ลูกไฟยักษ์พุ่งแหวกอากาศ ฟิ้ว~ ตู้ม! ร่างของศัตรูปลิวว่อน แต่ทว่าพวกมันกลับมีมากเกินไป... มากจนฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่หมด
“อย่าให้พวกมันขึ้นบนกำแพง! ดันไว้! สู้ตาย!!!” เสียงตะโกนแข่งกันดังกึกก้อง ทหารทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันอย่างบ้าคลั่ง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วกำแพงหิน
ทว่าทันใดนั้น ทหารบนหอคอยกลับต้องหน้าถอดสีเมื่อเห็นข้าศึกถอยร่นออกจากประตูเมืองกะทันหัน
“พวกมันถอยทำไม... หรือว่า... ระเบิด! พวกมันกำลังจะระเบิดประตู!”
“รีบหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!”
แต่ทุกอย่างสายเกินไป หน่วยพลีชีพของกองทัพมืดวิ่งฝ่าห่าฝนธนูเข้าใส่โคนกำแพง
บึ้ม!!!!!
แรงระเบิดมหาศาลสั่นสะเทือนไปทั้งปฐพี ประตูเมืองหนาหนักพังทลายลงในพริบตา แนวป้องกันที่เหลืออยู่ขาดสะบั้น ทหารที่รอดชีวิตต้องถอยร่นไปรวมตัวกันที่หอการค้าซึ่งเป็นปราการสุดท้าย ส่วนผู้ที่บาดเจ็บจนหนีไม่พ้น... ถูกคมดาบของศัตรูพรากวิญญาณไปทันทีอย่างไร้เมตตา
เมื่อรัตติกาลมาเยือน สงครามหยุดพักชั่วคราวทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดและควันไฟที่ลอยอวล ทหารที่เหลืออยู่มีสภาพบอบช้ำจนถึงที่สุด
“เราเหลือทหารเพียงห้าพันนายเท่านั้นขอรับคุณหนู...” ท่านพ่อบ้านรายงานด้วยเสียงที่แหบพร่า
“รวมคนของเราด้วยแล้วใช่หรือไม่?” คุณหนูใหญ่ถามขณะเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า แววตาของนางนิ่งสงบจนน่าประหลาด
“ขอรับ... กองกำลังส่วนใหญ่และครอบครัวถูกย้ายไปที่เกาะหมดแล้วขอรับ”
“ดี... เช่นนั้นจงไปที่ท่าเรือซะ พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่หอการค้าจะเปิดทำการ”
“คุณหนู!! ท่าน... ท่านจะใช้ ‘เจ้านั่น’ จริงๆ หรือขอรับ!” ท่านพ่อบ้านถามด้วยความตระหนก
“พวกมันมีเป็นล้าน แต่เรามีเพียงห้าพัน... ทหารกล้ามากกว่า สี่หมื่นต้องสังเวยชีวิตอยู่บนกำแพงและตามท้องถนน ท่านคิดว่าเราจะมีทางรอดอื่นอีกหรือ?”
ตึก! ชายชราคุกเข่าลงกับพื้นจนเสียงดังสนั่น น้ำตาไหลอาบแก้มที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น “ชายชราผู้นี้ช่างโชคดีนักที่ได้ติดตามคุณหนูและคนของตระกูลถังตระกูลหยาง... ข้าเห็นท่านตั้งแต่ลืมตาดูโลก ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย... ข้าไม่เสียใจอีกแล้วที่จะต้องตายเคียงข้างท่าน”
คุณหนูใหญ่ย่อตัวลงประคองชายชรา ก่อนจะส่งห่อผ้าเล็กๆ ให้ “ท่านพ่อบ้าน... ฝากสิ่งนี้ให้ท่านแม่ด้วย บอกนางว่าลูกอกตัญญูนัก ชาตินี้มิอาจตอบแทนบุญคุณค่าน้ำนมได้... หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะขอเกิดมาเป็นลูกของนางเพื่อชดใช้ให้ทุกอย่าง”
“คุณหนู!”
“รีบไป!”
นางเปิดประตูออกไปหาเหล่าทหารที่ยืนรออยู่ ทันทีที่เห็นนาง ทุกคนพากันคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
“พวกเจ้าทำอะไร! ข้าสั่งให้พวกเจ้ารีบไปขึ้นเรือ!”
“ขอบคุณที่คุณหนูให้พวกเราได้สู้เพื่อแผ่นดินเกิด... พวกเราขอสู้เคียงข้างท่านจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะดับสิ้น!”
คุณหนูใหญ่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มอย่างสง่างาม “พวกเจ้า... เกิดมามิเสียชาติเกิดแล้วจริงๆ” นางหันไปหากงกงชรา “ท่านกงกง... รบกวนท่านนำกระดาษและหมึกมา ช่วยพวกเขารังสรรค์จดหมายถึงครอบครัว... เป็นครั้งสุดท้าย”
ท่ามกลางแสงตะเกียงที่วูบไหว กงกงชราและเหล่าบัณฑิตที่เหลืออยู่ต่างตั้งใจจรดปลายพู่กัน บรรจงเขียนถ้อยคำสั่งเสียจากใจเหล่านักรบที่สั่นเครือ เสียงขีดเขียนพู่กันบนกระดาษดังสอดประสานกับเสียงสะอื้นไห้อย่างเงียบเชียบ ทุกประโยคคือคำลา ทุกตัวอักษรคือหยาดน้ำตา... นี่คือจดหมายที่จะไม่มีวันได้รับคำตอบ แต่จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความภักดีที่หยั่งรากลึกลงในแผ่นดินนี้ตลอดกาล
ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล ร่างของผู้บาดเจ็บถูกลำเลียงขึ้นเรืออย่างเงียบเชียบ กล่องไม้ล้ำค่าที่บรรจุจดหมายสั่งเสียนับพันฉบับถูกส่งต่อขึ้นสู่เรือปืนและเรือคุ้มกัน ทหารบนดาดฟ้าเรือพากันยืนนิ่ง สงบนิ่งดั่งรูปปั้น สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังแผ่นดินเกิดและสหายที่ยังคงหยัดยืนอยู่ในเมือง
พวกเขายกมือขึ้นทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย เป็นการคำนับให้แก่ผู้ที่เลือกจะอยู่เพื่อเป็นโล่กำบัง เพื่อรั้งเวลาให้ชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายหนีรอดไปให้ไกลที่สุด
เมื่อแสงแรกของตะวันสาดส่องขอบฟ้า... มันมิใช่แสงแห่งความหวัง แต่เป็นสัญญาณของนรกบนดิน กองทัพมืดบุกถล่มเมืองอย่างไร้ความเมตตา ทหารซ่งสู้สุดกำลังด้วยลมหายใจที่เหลืออยู่ นักรบหญิงกลุ่มหนึ่งหันมาสบตากันเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏบนใบหน้าที่เปื้อนเลือด
“ฟู่!!” ชนวนระเบิดถูกจุดขึ้น! พวกนางควบม้าฝ่าห่าฝนธนูและดงดาบ พุ่งเข้าสู่ใจกลางข้าศึกดั่งลูกไฟบรรลัยกัลป์ ทั้งคนและม้าถูกพันธนาการด้วยระเบิดดินดำ ทันทีที่เข้าถึงระยะ พวกนางเค้นลมปราณเฮือกสุดท้ายกระตุ้นกลไก...
“ตู้ม!!!!!”
แรงระเบิดมหาศาลฉีกกระชากทุกสิ่ง สังเวยชีวิตเพื่อกวาดล้างศัตรูไปพร้อมกัน
“ย้าก! ฆ่าพวกสารเลวให้หมด!”
คุณชายซ่งพร้อมผู้ติดตามตะลุมบอนเข้าสู่กองทัพข้าศึกอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางดวงตะวันที่ลอยสูงขึ้นเหนือหัว กองทัพซ่งที่เหลือเพียงน้อยนิดเริ่มแตกพ่าย
ร่างของคุณชายซ่งถูกลูกธนูยิงพรุนไปทั่วร่าง เขาทรุดกายลงนั่งมองดูหอการค้าที่กำลังถูกเปลวเพลิงกลืนกิน ลมหายใจมอดดับลงช้าๆ แต่แววตากลับไร้ซึ่งความเสียดาย เขาหัวเราะร่าด้วยความทระนงก่อนจะจุดระเบิดที่มัดติดตัว...
“บึ้ม!”
ปิดฉากชีวิตนักรบด้วยรอยยิ้มของบุรุษผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
“หึ หึ... ฮ่าๆๆๆ ... อึก!”
คุณหนูใหญ่แห่งหอการค้าลากสังขารที่แหลกเหลวของตนเองเข้าไปในห้องลับใต้ดิน เสียงไอโขลกดังสะท้อนกำแพงหิน
“แค่ก! แค่ก! พรวด!”
เลือดคำโตพุ่งออกจากปากพรมลงบนพื้นเย็นเยือก นางรู้ดี... เวลาของนางเหลือไม่มากแล้ว และศัตรูก็กำลังพังประตูตามเข้ามา
นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงหยิบมือ ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้มั่นคงที่สุด
“ข้า... จินซูเหยา... ทายาทลำดับที่หนึ่งร้อยสิบห้าผู้สืบทอดหอการค้าแห่งนี้... แค่ก... วันนี้... หอการค้าจะเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย!”
นางปักดาบประจำกายลงในช่องบนแท่นหินกลางห้อง บิดหมุนกลไกจนเกิดเสียง “กึก! กึก! กึก!” ดั่งเสียงนับถอยหลังของชะตากรรม
ในวินาทีที่เปลือกตากำลังจะปิดลง ภาพความทรงจำในวัยเยาว์พลันผุดขึ้นมา... ภาพของท่านแม่ที่ยิ้มให้นางท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวในวันฟ้าใส วันที่นางสัญญาว่าจะกลับไปหา...
“ท่านแม่... ลูกอกตัญญูนัก” นางพึมพำแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้ม ขื่นขม ภาพความทรงจำในวัยเยาว์ยามที่ท่านแม่ลูบหัวนางใต้ต้นท้อผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ช่างห่างไกลและเลือนรางเหลือเกินในท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดนี้ “คำรักที่ติดค้างในใจ... คงต้องรอไปบอกท่านในชาติหน้า”
นางใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายบิดกลไกเข้าสู่จุดตาย แรงสั่นสะเทือนจากใต้พสุธาเริ่มกัมปนาท แผ่นดินจงหยวนที่โง่เขลาเอ๋ย... จงล่มสลายไปพร้อมกับข้าเถิด!
‘ข้าเสียใจ... ที่ไม่สามารถรักษาสัญญาไว้ได้... ท่านแม่... ข้ายังไม่เคยบอกรักท่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว... คุณ... หนู... ข้า... ขอโทษ’
นางสิ้นลมหายใจพร้อมน้ำตาหยดสุดท้ายที่ไหลริน ทหารข้าศึกที่บุกเข้ามาเห็นร่างไร้วิญญาณของนาง พลันเงื้อดาบหมายจะบั่นศีรษะนางไปเอาความชอบ แต่ทว่า...
“ครืน!!!!!”
แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างรุนแรงจนทหารทั้งเมืองเสียหลัก ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดดับลงฉับพลันด้วยกลุ่มเมฆประหลาด ทหารข้าศึกนับล้านเริ่มรับรู้ถึงลางหายนะ ม้าศึกต่างพากันตื่นตระหนกวิ่งพล่านอย่างไม่อาจควบคุม
“ด้วยความสัตย์จริง... ลูกได้ทำบาปมหันต์แล้ว” แม่ทัพฝ่ายศัตรูรำพึงในใจด้วยความหวาดกลัวสุดขีดก่อนที่ทุกสิ่งจะมืดสนิท...
“ตู้มมมมม!!!!!”
คลื่นกระแทกมหาศาลกวาดล้างทุกสรรพสิ่งหายไปในพริบตา ทหารข้าศึกเกือบล้านคนดับสูญไปพร้อมกับเสียงกัมปนาท เมืองทั้งเมืองถูกธรณีสูบและโถมทับด้วยคลื่นยักษ์ จมลงสู่ใต้บาดาลมหาสมุทร... หายไปจากแผนที่โลกตลอดกาล
. . ตึก! ตึกตึก! ตึก! ตึกตึก! เสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
“เฮือก!”
ดยุคแม็กซ์น่าเดินตามฟอร์เร่เข้าไปยังมุมสงบของห้องรับแขก แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามนับร้อย แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยปากถามซี้ซั้วในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วย “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ระดับตำนานเช่นนี้เมลในชุดคนรับใช้เดินเข้ามายกชาและขนมชุดใหม่มาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเอง ก่อนจะถอยฉากออกไปทำงานต่ออย่างเงียบเชียบ โดยที่ดยุคยังคงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ฟอร์เร่?” ดยุคกระซิบถามภรรยา“ก็อย่างที่เห็น... พี่สาวขององค์ราชา ท่านอเล็กซานดราก็พักอยู่ที่นี่ ส่วนคนอื่นๆ ก็คือแขกของพระนางที่อยู่ในรายชื่อผู้มาเยือนนั่นแหละค่ะ” ฟอร์เร่ตอบเลี่ยงๆ โดยอ้างชื่ออัศวินศักดิ์สิทธิ์“แล้วจอมมารมาได้อย่างไร? เรื่องนี้เจ้าต้องอธิบายข้าให้กระจ่าง”“ท่านไม่เห็นภรรยาของจอมมารที่นั่งอยู่กับองค์ราชินี?”ดยุคพยักหน้าช้าๆ “เห็น...”“ภรรยาของจอมมารคนปัจจุบันกับองค์ราชินีของเรา เคยเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันสมัยยังเป็นนักผจญภัยค่ะ... และอีกเดี๋ยว ‘อดีตจอมมาร’ ก็กำลังจะมาถึงแล้วด้วย”“พวกนั้นมาทำไมกัน? นี่มันเรื่องใหญ่ระดับโลกเลยนะ”“ก็แค่... บัตรเชิญงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ ของเพื่อนฝูง เดี๋ยวข้าจะให
ตกดึกคืนนั้น... ท่ามกลางป่าลึกที่เงียบสงัด เสียงฝีเท้าม้าขยับเข้ามาใกล้บ้านพักตากอากาศ สตรีสองนางในผ้าคลุมสีเข้มขี่ม้าตรงมาด้วยท่าทีเร่งรีบ คนหนึ่งมีรูปร่างเหมือนเด็กสาววัยสิบห้า ผิวเข้ม ผมสีแดงเพลิงดุจเปลวไฟ อีกคนมีผิวขาวนวลใบหน้าสะสวยทว่ามีใบหูแหลมยาวบ่งบอกถึงเชื้อสายเอลฟ์ ทั้งสองมาพร้อมผู้ติดตามชุดดำที่ดูแคล่วคล่องอีกสองคนครึ่ม!!! เปรี้ยง!!!เสียงอสนีบาตฟาดคำรามเป็นสัญญาณว่าพายุใหญ่กำลังมาเยือน“ที่นี่ใช่ไหม”“ค่ะท่านหญิง”คลึ่ม!!! เปรี้ยง!!!“แขกของท่านแม่ใช่หรือไม่คะ?” เสียงนิ่งเรียบแต่ทรงพลังดังขึ้นจากทางด้านหลังของทั้งสี่“ใช่... พวกเรามาหาฟอร์เร่” เอลฟ์สาวตอบพลางปัดผ้าคลุม“เช่นนั้นตามเข้ามาด้านในเถอะค่ะ ฝนกำลังจะตกหนักแล้ว” เมลเอ่ยเชิญ ก่อนจะนำทางทั้งสี่เข้าสู่คฤหาสน์ที่โอ่อ่าเกินคาด“บ้านหลังนี้มัน” เอลฟ์สาวมองสำรวจตัวบ้าน“หนูจะให้คนเอาม้าไปเก็บให้นะคะ”“ขอบใจมาก” ม้าสี่ตัวถูกอัศวินพาเข้าไปในโรงเก็บม้า ส่วนข้าวของทั้งหลายก็ถูกเหล่าเมดนำขึ้นไปไว้บนห้องพักเรียบร้อยหลังจากจัดการเรื่องม้าและสัมภาระเรียบร้อย เมลพาทั้งสี่มานั่งพักที่โต๊ะรับแขกริมหน้าต่างที่พายุฝนกำลังกระหน่ำซัด
บรรยากาศในงานเลี้ยงกร่อยลงทันตาหลังจากคำประกาศกร้าวของเมล แม้ผลลัพธ์จะทำให้นางได้รับอิสรภาพจากการถอนหมั้นพร้อมเหรียญทองค่าปลอบใจก้อนโต แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกยินดีนัก เลยปฏิเสธที่จะกลับพร้อมรถม้าหรูของโมโม่ ทว่าเลือกที่จะสวมชุดบุรุษเดินทอดน่องไปตามท้องถนนยามค่ำคืนเพื่อซึมซับ “ความเป็นจริง” ของเมืองหลวงแห่งนี้“สาวน้อย คืนนี้มาสนุกกับพี่สาวไหมจ๊ะ?” เสียงทักทายฉะอ้อนดังมาจากเงามืดริมทาง เหล่าสตรีที่หาเลี้ยงชีพด้วยร่างกายพากันส่งสายตาหวานให้ตลอดทางเมลหยุดยืนอยู่หน้าสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีแววตา อมทุกข์ “พี่สาว มีร้านนั่งดีๆ บ้างไหม?”“มีสิ... เจ้าเป็นลูกค้าคนแรกของคืนเลยนะ” หญิงสาวขยิบตาพร้อมทำนิ้วเป็นรูปวงกลมสัญลักษณ์ของเงิน“ไม่ใช่ปัญหา ข้าแค่อยากหาเพื่อนคุย” เมลพยักหน้าตกลง“เช่นนั้นตามพี่สาวมาเลย ร้านของพี่สาวบรรยากาศดีสุดแล้ว”“จริงหรอ”“ไม่จริงคืนนี้ยอมเสียตัวให้เลยอ่ะ”“พอเลย รีบเดิน”“เจ้านี่น่ะ ทำตัวเย็นชาแบบนี้ สงสัยสาวเยอะแน่เลย”“ไม่มี ว่าแต่ทำไมเดินออกมานอกเมือง” เมลมองรอบๆ เริ่มไม่เห็นบ้านคนยิ่งเดินออกไปไกล บ้านเรือนก็ยิ่งเบาบางจนถึงเชิงเขาห่างไกล เมลเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบว่า
ซูเหยายืนตระหง่านอยู่บนยอดอาคารที่ควันไฟยังคุกรุ่น สายตาเย็นชากวาดมองซากอสูรเกราะเหล็กเบื้องล่างที่กลายเป็นเพียงกองเศษเนื้อและเหล็กบิดเบี้ยว ผลจากการผสมผสาน“ระเบิดสมัยใหม่” เข้ากับ “การอ่านจุดตาย” แบบนักรบโบราณของนาง ทำเอาพวกฝ่ายช่างและเพื่อนร่วมห้องที่เหลือถึงกับอ้าปากค้าง“ใคร... ใครสอนให้พวกเธอเอากับดักรถถังมาดัดแปลงเป็นระเบิดเจาะเกราะแบบนี้!” อาจารย์ที่ปรึกษาอุทานขณะเร่งช่วยลูกศิษย์ประกอบอุปกรณ์ตามแบบที่วางไว้“เมลครับอาจารย์! ยัยนั่นเพิ่งยัดมันใส่ปากอสูรยักษ์นั่นจนระเบิดเป็นจุน” นักเรียนชายคนหนึ่งชี้ไปที่ซูเหยา“แล้ว.... ไปเรียนวิธีพรรค์นี้มาจากไหน? ในหลักสูตรทหารเวทมนตร์ไม่มีสอนเรื่องการดัดแปลงนอกตำราขนาดนี้นะ!” ทุกคนพากันสงสัย เมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาพูดแต่สำหรับพวกที่กำลังสู้ตายอยู่ในแนวหน้า ความสงสัยนั้นถูกกลบด้วยเสียงคำรามของศัตรู พวกเขาต้องการเพียงสิ่งที่จะทำให้รอดชีวิตจากอสูรพวกนี้ได้“เมล! รีบไปที่ส่วนกลางด่วน!” เพื่อนที่คุมวิทยุตะโกนบอกสุดเสียง“เธอจะแหกปากเชิญพวกมันขึ้นมาร่วมโต๊ะอาหารหรือไง?” ซูเหยาตำหนิเสียงเรียบพลางกระโดดลงจากขอบตึก เข้าที่กำบังเพื่อหลบการ