เพิ่งไล่คนเล่าเรื่องออกไปจากหน้าประตูได้ แต่ก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นเหล่าบรรดาแม่สื่อต่างทยอยมาเยือนถึงที่ บอกว่าต้องการจับคู่กับหยานหรูอวี้คนที่พวกเขาพูดถึง เกือบจะทำให้พ่อแม่ของหยานหรูอวี้โกรธแทบคลั่ง ทั้งหมดมีแต่พวกน่าเกลียดดูไม่ได้ คนแบบนี้ปกติอย่าพูดถึงว่าจะจับคู่แต่งงานเลย แม้จะเจอตามท้องถนน ก็แทบอยากถุยน้ำลายใส่ไม่ได้หมายความว่าฐานะจะต่ำต้อย แต่เพราะการประพฤติตัวไม่ดี บ้างก็มีสาวใช้ต้นห้องที่ให้กำเนิดบุตรอนุและบุตรีอนุ บ้างก็เที่ยวเล่นในบ่อนพนันตลอดทั้งวัน จนฟ้าสว่างคาตาก็ยังไม่ยอมลุกจากโต๊ะ หรือไม่ก็เป็นลูกค้าประจำของสถานบันเทิง หรือไม่ก็เลี้ยงภรรยาไว้นอกบ้านปกติพวกเขาจะไม่กล้ามาขอแต่งงาน แต่ตอนนี้ทุกคนทำราวกับว่าตัวเองกำลังแสดงความมีน้ำใจ ทำตัวหยิ่งผยอง ราวกับว่าถ้าหยานหรูอวี้ไม่แต่งงานกับพวกเขา แล้วจะไม่มีทางรอด หยานไท่ฟู่ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมาไล่ตีคนออกไป ซึ่งแน่นอน ว่ามันยังเพิ่มเรื่องให้นินทาอีกไม่น้อยทัศนคติของสาธารณชนต่อเรื่องนี้คือคำว่า หัวเราะเยาะ!“พูดราวกับว่านางยังมีทางเลือก คนเขายอมสู่ขอนาง ก็นับเป็นบุญเก่าส่งผลแล้ว”“คนที่ถู
ฉีซี่หลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าดูซีดเซียวมากในใจของนางยังคงขุ่นเคืองหวังจืออวี่อยู่มาก แต่ใครใช้ให้นางพูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝางล่ะ? เรื่องราวในบ้านเหล่านั้นชุลมุนวุ่นวาย ได้ยินแล้วก็อยากจะอาเจียนเรือนในของตระกูลฝางยุ่งเหยิงขนาดนั้น สิ่งยุ่งเหยิงเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในจวนหลังใหญ่เช่นนี้ได้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดอย่างนั้นหรือ?นางตบหวังจืออวี่อย่างหุนหันพลันแล่น แต่หวังจืออวี่มีปัญหาเอง นางไม่ควรพูดแทนเจ้าสิบเอ็ดฝาง คุณหนูดีๆ ต้องอยู่ให้ไกลจากคนประเภทนี้ อยู่ให้ไกลกับเรื่องพวกนี้ทั้งสองนั่งด้วยกัน จูช่างอวี่สูดน้ำมูกเป็นครั้งคราว ขณะที่ฉีซี่หลี่ยังคงเงียบจิตใจของนางสับสนวุ่นวาย ครุ่นคิดหลายเรื่อง สุดท้ายก็พูดเบาๆ ว่า "จริงๆ แล้วการกลับไปสถาบันการศึกษาสตรีก็ดี แต่ฮองเฮาไม่ชอบสถาบันการศึกษาสตรี"ท้ายที่สุดแล้วนางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ถูกปกป้องมากเกินไป ไม่สามารถเก็บความลับได้ ไม่รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงบอกจูช่างอวี่จูช่างอวี่หยุดร้องไห้ ตกตะลึงเล็กน้อย "ฮองเฮาไม่ชอบ? ทำไมฮองเฮาถึงไม่ชอบ? สถาบันการศึกษาสตรีก่อตั้งโดยไทเฮานะ"“อาจเป็นเพราะพระชายาเป่ยหมิงเป็นเจ้า
ข่าวลือเกี่ยวกับหยานหรูอวี้มีมาตลอดไม่เคยหยุด อาจารย์หยูได้สอบสวนแล้ว พบว่ามีคนชักนำจริงๆ เรื่องราวเก่าๆ เหล่านั้นถูกขุดขึ้นมา เชื่อมโยงกับนางและสถาบันการศึกษาสตรีการพูดจาให้ร้ายหยานหรูอวี้ ก็เท่ากับพูดจาให้ร้ายหยานไท่ฟู่ และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการพูดจาให้ร้ายสถาบันการศึกษาสตรีหญ่าจวินด้วยเดิมทีหยานไท่ฟู่และอาจารย์ฉีเป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุด ตอนนี้เนื่องจากเหตุการณ์นี้ทำให้หยานไท่ฟู่ได้ตกลงมาจากที่สูง ทำให้ทุกคนเริ่มยกย่องอาจารย์ฉีอย่างไรก็ตามไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เจ้ากรมฉีเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนอย่างไรก็ตาม การพยายามยกยอปอปั้นอย่างเต็มที่เช่นนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้ทำให้ตระกูลฉีได้รับประโยชน์ หากต้นไม้ใหญ่ดึงดูดความสนใจ ตระกูลฉีควรหาวิธียับยั้งความคิดเห็นของประชาชนควรจะถูกอาจารย์หยูพบว่าตระกูลฉีกำลังยับยั้งไว้จริงๆ แต่ยับยั้งไว้ไม่ได้ ตระกูลฉีจึงต้องให้ผู้คนเปลี่ยนหัวข้อกลับไปวิจารณ์เรื่องสถาบันการศึกษาสตรีและหยานหรูอวี้แทน ทั้งสร้างความเสื่อมเสียและเหยียบย่ำการแต่งงานของหยานหรูอวี้ไปต่างๆ นานอาจารย์ยูอดไม่ได้ที่จะโกรธ หยานหรูอวี้ผู้บริสุทธิ์ กลับ
ผู้ที่เคยไปก่อเรื่องที่จวนไท่ฟู่เพื่อก่อปัญหา บัดนี้ยืนเรียงแถวอยู่นอกประตู ด้วยท่าทางหดหู่ แววตาหวาดกลัวเบื้องหน้าของพวกเขามีคนจับจ้องอยู่ ทุกคนตัวสูงใหญ่ล่ำสัน หมัดใหญ่กว่าลูกมะพร้าว ราวกับว่าสามารถเป่าหัวของพวกเขาให้หลุดออกจาคอได้ด้วยหมัดเดียวหลังจากที่เจ้าสิบเอ็ดฝางลงจากรถม้า ดวงตาที่เย็นชาก็กวาดมองไปทั่วใบหน้าของพวกเขา เปล่งเสียงหัวเราะที่เย็นชาออกมาเท่านั้น บรรยากาศอันน่าเกรงขามและน่ากลัวนั้น ทำให้พวกเขากลัวจนใจสั่นขาอ่อน แต่ละคนขยับเข้าไปใกล้กัน ไม่กล้าเผชิญกับสายตาที่เย็นชาของเจ้าสิบเอ็ดฝางหยานไท่ฟู่สั่งให้ใครสักคนเปิดประตูกลาง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าตระกูลฝางมาสู่ขอที่นี่ อาการป่วยก็หายเป็นปกติในทันที รีบเรียกให้คนไปเตรียมน้ำร้อนมาล้างหน้าล้างตา แต่หน้าแต่งตัว ต้องการไปดูให้เห็นกับตาตนเองหยานหรูอวี้ยังไม่รู้เรื่องนี้ หลายวันนี้ปู่ให้นางอยู่ที่เรือนชิวเยว่ ไม่อนุญาตให้คนรับใช้คนใดบอกข่าวลือภายนอกให้นางทราบท่าทางที่แสดงภายนอกเหมือนนางกำลังอ่านหนังสือ ชมหิมะ และจิบชาอย่างสบายใจ แต่จริงๆ แล้วนางกลับรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างในนางคิดว่าตัวเองสามารถจัดการกับมันได้โดยไม่แยแ
ครึ่งชั่วยามต่อมา หยานไท่ฟู่ส่งคนมาเชิญนางออกไปนางเฝ้าดูจิงเจ๋อเลือกเสื้อผ้าที่ประณีตและหรูหรา รวมถึงเครื่องประดับที่เข้าคู่กันสำหรับนาง ในที่สุดนางก็เลือกที่จะเดินออกไปทั้งแบบนี้นางแต่งกายด้วยชุดสีขาว เสื้อคลุมสีเหลืองลูกท้อ อย่างคนเรียบง่ายและสบาย ราวกับว่าไม่ใช่การไปพบแขกหรือพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของตัวเอง หากแต่เป็นการไปเดินเล่นในสนามหญ้าเมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ของลานด้านนอก เห็นผู้คนมากมาย ขบวนรถม้ายิ่งใหญ่เมื่อเห็นเขา ดวงตาของเขามองสบตาลึก ฉายแววสดใส เจือความยับยั้งชั่งใจไว้จางๆนางมองเพียงแวบเดียวแล้วก็ไม่กล้ามองตรงไปที่เขา หัวใจเต้นรัวราวกับเสียงตีกลอง หน้าแดงจนถึงใบหูแต่เรื่องกิริยามารยาทนั้นฝังแน่นอยู่ในกระดูก นางค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า เมื่อลู่ซูเหรินมองเห็นนาง นางก็รู้สึกมีความสุขอย่างสุดจะพรรณนาในใจ จับมือนางแล้วพูดว่า "เด็กน้อย ช่วงนี้ทำให้เจ้าลำบากแล้ว"ความเอาใจใส่จากผู้หลักผู้ใหญ่นี้ เกือบทำให้หยานหรูอวี้น้ำตาไหลสะกดกลั้นอาการแสบจมูก เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วง ความลำบากแค่นี้ไม่นับประสาอะไร"ฮูหยินเสนาบดีเห็นนางเช่นนี้ก็รู้สึ
จิงเจ๋อที่อยู่หน้าประตูเมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ นางรู้ดีที่สุดว่าช่วงเวลานี้คุณหนูใช้ชีวิตแบบไหน รู้สึกทรมานจิตใจเพียงใด ตอนนี้แม่ทัพฝางก็มาตีฆ้องร้องป่าวเพื่อขอแต่งงาน ทั้งยังได้เชิญฮูหยินเสนาบดีมาเป็นแม่สื่อให้ด้วย หากการแต่งงานเป็นไปได้ด้วยดี ไม่รู้ว่าจะตบหน้าคนไปมากมายเพียงใดเหตุใดคุณหนูถึงไม่ตกลงนะ? นางอยากจะหันหลังกลับ ไปตอบตกลงแทนคุณหนูเสียเลยหยานหรูอวี้แสบจมูก "ถ้าวันนี้ข้าไม่ตกลง แม่ทัพจะต้องถูกหัวเราะเยาะ"เจ้าสิบเอ็ดฝางยิ้มแล้วพูดว่า "ข้าไม่กลัวที่จะถูกคนหัวเราะเยาะ ให้พวกเขาหัวเราะเยาะข้า มาหัวเราะเยาะข้าให้หมดเลย ข้าเป็นบุรุษจะต้องกลัวอะไร? คุณหนูช่วยชีวิตผู้คนอย่างกล้าหาญในสถาบันการศึกษาสตรี ไม่ควรถูกโจมตีด้วยข่าวลือพวกนั้นด้วยซ้ำ”เมื่อหยานหรูอวี้ได้ยินเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่เขามาอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพราะเขาคิดว่าถ้ามันไม่สำเร็จ ประเด็นต่างๆ ก็จะมุ่งเป้าไปที่เขาแทน เพื่อช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์กระนั้นหรือ?เจ้าสิบเอ็ดฝางยืนขึ้น ยังคงยิ้มอยู่ "คุณหนูค่อยค่อยๆ ไตร่ตรองดู ไม่จำเป็
ทั้งหมดจึงถูกจัดการเช่นนี้ ซ่งซีซีจึงมีอิสระที่จะจัดการกับคนที่ก่อความวุ่นวายเจ้าสิบเอ็ดฝางเรียกคนเหล่านั้นมาแค่ตอนแต่งงานเท่านั้น ไม่ได้ใช้การลงโทษ ซ่งซีซีก็ไม่ทำ ต่างก็ทำงานโดนยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมนางให้ลู่เจินนำคนทั้งหมดกลับมา ลงโทษพวกเขาที่แพร่ข่าวลือและสร้างปัญหาถ้าไม่จ่ายค่าปรับก็ต้องถูกโบย ไม่ว่าใครที่มีชื่อปรากฏในรายชื่อของอาจารย์หยู ไม่มีใครสามารถหนีรอดได้แม้แต่คนเดียวสำหรับตระกูลฉีก็ยังส่งคนไปเบี่ยงเบนความสนใจด้วย มีความสงสัยว่าจงใจทำร้ายหยานหรูอวี้ ดังนั้นซ่งซีซีจึงมอบหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ให้กับองค์หญิงใหญ่หมิ่นชิง องค์หญิงใหญ่หมิ่นชิงก็ส่งมอบให้ผู้ตรวจการกงเตีย ก่อนเลิกประชุม ยังฟ้องร้องตระกูลฉีด้วยแม้ว่าเจ้ากรมฉีจะบอกว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จักรพรรดิซูชิงยังคงปรับเงินเดือนเขาครึ่งปี แถมยังไม่ได้ให้ประทานรางวัลสิ้นปีให้เขาด้วยซ้ำ เนื่องจากการควบคุมที่หละหลวมเมื่ออู๋ต้าปั้นส่งรางวัลไปที่จวนเป่ยหมิงอ๋อง ซ่งซีซีก็มาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง และเชิญเขาไปดื่มชารุ่ยเอ๋อร์รับไว้แล้ว ซ่งซีซีก็ดึงเขาออกมาคำนับอู๋ต้าปั้นในปีนี้รุ่ยเอ๋อร์เติบโตขึ้นมา
หลังจากส่งอู๋ต้าปั้นแล้ว ซ่งซีซีก็ไปคุยกับอาจารย์หยูสองสามคำ จากนั้นก็ไปร่วมกับเสิ่นว่านจือและศิษย์พี่ห้าที่ย่างมันเทศรอบกองไฟกิจการของหอหนานเฟิงจะถูกปล่อยให้เป็นของอาจารย์หยู ซึ่งอาจารย์หยูจะส่งคนไปจับตาดูพวกเขาทั้งสองกำลังพูดเรื่องอาจารย์ฉีกันอยู่เสิ่นว่านจือ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง คงจะไม่มีทางเชื่อมันหวังเยว่จางบอกว่าเขาเดินทางไปทั่วแคว้น ได้เห็นทุกอย่าง แต่เรื่องเช่นนี้...เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อายุจนปูนนี้แล้ว สถานะก็ยังได้รับความเคารพมากมาย ทำไมถึงไปสถานที่แบบนั้น?จากการสังเกตของพวกเขา ตอนที่อาจารย์ฉีไปที่หอหนานเฟิง ก็ไม่ได้ทำอะไรที่อุจาดสายตา แค่เรียกบริกรสองสามคนยกอาหารเข้าไปให้ ดื่มสุรา ฟังบทเพลง และสัมผัสมือเล็กๆ อาจารย์ฉีเป็นอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ และอดีตฮ่องเต้ไม่ชอบชายรักชายมากที่สุด ถึงขั้นเกลียดชังด้วยซ้ำในฐานะอาจารย์ของอดีตฮ่องเต้ เขาได้ช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ในการปกครองบ้านเมืองหลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ โดยปกติแล้ว เมื่อพิจารณาจากความระมัดระวังและความอ่อนน้อมถ่อมตนของตระกูลฉี ในช่วงปีแรกๆ เขาควรจะเกลียดกระแสเช่นนี้อย่างสุดซึ้งถึงจะถูกเป็น
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร