ในวันนี้ เซี่ยทิงหลานพาคนเข้าไปที่หมู่บ้านด้วยตัวเอง ไม่นานหลังจากที่เขามาถึง รถม้าคันหนึ่งก็เข้ามาพร้อมเสบียงอาหาร มีทั้งซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำตาลพวกนี้เป็นของใหม่ที่เพิ่งมาเพิ่ม ส่วนข้าวสารก็ส่งไปไว้ในหมู่บ้านตั้งนานแล้วที่นี่ไม่มีการคุ้มกันเข้มงวดนัก ในช่วงระหว่างวันผิงหวูจูงสามารถแอบฟังความเคลื่อนไหวในหมู่บ้านและบทสนทนาของพวกเขาบนหลังคาได้เซี่ยทิงหลานออกคำสั่ง บอกให้เริ่มทำงานคืนนี้ไม่เพียงแต่จะมีการเคลื่อนไหวในหมู่บ้านเท่านั้น แต่ที่ทางออกอื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวบ่อยครั้งอีกด้วยตอนแรกอูโซเว่ยคิดว่าเฝ้าอยู่ข้างนอกดีกว่า แต่ตอนนี้ในเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม เช่นนั้นจึงให้พวกเขาเดินตามอุโมงค์ ยังสามารถตรวจสอบได้ด้วยว่าเป็นไปตามที่แสดงบนแผนที่หรือไม่สิ่งที่ดีที่สุดคือการค้นหาว่าหลูโจวมีทหารและม้าเพียงห้าพันคนหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีความคิดที่บังอาจแล้วเพราะมีกลุ่มคนจากภูเขาเหม่ยชานที่ยังอยู่ระหว่างทาง ซึ่งจะเข้ามาในเมืองด้วยฐานะต่างๆ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าคราวนี้เขาก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นแล้ว เขามีเซี่ยหลูโม่เป็นลูกศิษย์โดยตรงเพียงคนเดียว หากเกิด
วันนี้อาหารเย็นของเซี่ยหลูโม่ดีขึ้น จางต้าจ้วงไปจับปลาเล็กๆ มาได้ไม่กี่ตัว มันถูกย่างจนดำทั้งด้านในและด้านนอก หลังจากกินเข้าไปในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวและกลิ่นถ่านสาเหตุที่บอกว่าดีขึ้นคือ กินแล้วอย่างน้อยก็ไม่รู้สึกเลี่ยน แค่รู้สึกคลื่นไส้คืนนี้เห็นคนในถ้ำใหญ่มีจำนวนมากขึ้น มีชายสวมหน้ากากสวมชุดสีดำขึ้นมาบนภูเขาทีละคน และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะลงมือหลังจากที่เซี่ยหลูโม่กินปลาย่างเสร็จแล้ว เขาก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ เฝ้าจับตามองจางต้าจ้วงได้ลงไปที่ถ้ำใหญ่และกำลังคลานคุกเข่าอยู่ พวกเขาเฝ้าสังเกตสถานที่นั้นมาเป็นเวลานาน คนพวกนั้นถ่ายหนักถ่ายเบาอยู่ที่นี่กลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนแต่นี่เป็นสถานที่ลงมือที่ดีที่สุด เพราะปกติแล้วพวกเขาจะมาปลดทุกข์เป็นกลุ่มละสองสามคน สามารถบุกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นลากขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้หลังจากคลานไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีโอกาสลงมือชายสวมหน้ากากสองคนเข้ามาปลดทุกข์ จางต้าจ้วงก้าวไปข้างหน้าทันที และสังหารพวกเขาด้วยการโจมตีสามครั้งเขาแบกใส่ไหล่ข้างละคน แล้วเหาะขึ้นภูเขาอย่างรวดเร็ว กลับไปยังถ้ำเล็กๆเซี่ยหลูโม่เหาะลงมาจากต
ขณะที่พวกเขาเดิน ก็มองสำรวจไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีทางลับเชื่อมต่อกับสถานที่อื่นหรือไม่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ที่กำลังเฆี่ยนอยู่ข้างหน้า ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยจากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวหน้าคำรามว่า “ลืมกฎไปแล้วรึ? ห้ามเหลียวซ้ายแลขวา เดินตรงไปข้างหน้าเท่านั้น”คนที่ถูกเฆี่ยนตีคือชายถือคบเพลิงที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าหัวหน้า จู่ๆ ก็มีรอยเลือดปรากฏบนหลังของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแส้นั้นเฆี่ยนรุนแรงมากคนที่ถูกเฆี่ยนไม่กล้าร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เขามองไปข้างหน้าทันที ชูคบเพลิงไว้ในมือให้สูง แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเซี่ยหลูโม่กับจางต้าจ้วงมองหน้ากัน “ปกครองแบบกองทัพ” ค่อนข้างเข้มงวดพอสมควรส่วนทางด้านนี้ ซ่งซีซีและคนอื่นๆ ก็ลากเซี่ยทิงหลานเดินเข้าไปในเส้นทางลับ ข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกลพวกเขานั้น มีชายรูปร่างกำยำหลายสิบคนกำลังขนย้ายเสบียงอาหาร ทางเส้นนี้ไม่สามารถเข็นรถผ่านได้ จึงทำได้เพียงให้คนหนึ่งแบกถุงใบใหญ่ เดินไปอย่างยากลำบากมีเสบียงอาหารมากมาย ดังนั้นเย็นนี้พวกเขาอาจจะต้องเดินไปกลับหลายครั้ง หรืออาจต้องใช้เวลาหลายคืนติดต่อกันในการขนส่งอาหารจำนวนมากทั้งหมดเมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่
เซี่ยหลูโม่และจางต้าจ้วงตามกลุ่มส่งอาหารออกไป เนื่องจากคนที่นี่ไม่มีการปิดบังใบหน้า จู่ๆ มีคนสองคนที่ไม่รู้จักเดินเข้ามา พวกเขารู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้ถามอะไรบางที อาจเป็นคนมาใหม่ เมื่อครู่ก็อยู่ข้างหลังตลอดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในหมู่บ้านต้าสือแล้ว กลุ่มคนของเซี่ยทิงหลานนั้นไม่เป็นระเบียบจริงๆอูโซเว่ยกับซ่งซีซีก็กลับไปตามทางที่เข้ามา โดยรักษาระยะห่างไว้ เซี่ยหลูโม่รู้ส่าข้างหน้ามีคน แต่ถึงฝันละเมอก็ไม่กล้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะเป็นซ่งซีซีและอาจารย์เขาคิดว่าคนที่นำกลุ่มเป็นหัวหน้า มีหน้าที่ตรวจตรา เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาแอบขโมยเสบียงอาหาร เพราะคนเหล่านี้ดูเหมือนคนที่มาทำงานหนักชั่วคราวซ่งซีซีมองย้อนกลับไปหลายครั้ง แต่นางไม่เห็นเซี่ยหลูโม่ เพราะมีคนมากเกินไป เห็นแต่หัวดำๆ เต็มไปหมด และระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อนข้างไกลนางหันกลับไปมองตลอด เพราะได้ยินเพียงเสียงของจางต้าจ้วง ไม่ใช่เสียงของเขาเสิ่นว่านจือกระซิบข้างหูของนาง “วางใจเถอะ ตอนนั้นที่เกิดความวุ่นวาย มีคนสองคนแอบเข้ามาในกลุ่มของเรา แม้ว่าจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่พวกเขาก็น่าจะเป็นท่านอ๋องกับจางต้าจ้
ในหมู่บ้านถูกคนของพวกเขายึดครองหมดแล้ว ต้องการน้ำอุ่นก็มีน้ำอุ่น ต้องการเสื้อผ้าก็มีเสื้อผ้า แต่เสื้อผ้าเหล่านี้ค่อนข้างสั้น อูโซเว่ยไม่ยอมให้เขาดูไม่ดี สั่งให้คนไปหาเสื้อผ้าชุดใหม่มา เลือกขนาดที่พอดีกับตัวเขาเซี่ยหลูโม่แช่ตัวในอ่าง ส่วนซ่งซีซีช่วยเช็ดสิ่งสกปรกออกจากร่างกายและสระผมที่ยุ่งเหยิงของเขาเซี่ยทิงหลานเป็นคนที่รู้จักเพลิดเพลินกับความสำราญ น้ำยาสระผมกลิ่นหอมที่เขาใช้สระผมนั้นดีเป็นพิเศษ หลังจากขัดและสระผมสักพักหนึ่ง ผมของเขาก็นุ่มขึ้นเพียงว่ามันสกปรกเกินไป เขาจึงต้องเปลี่ยนน้ำสามครั้ง ถึงอาบสะอาด ซ่งซีซีค่อยๆ ช่วยเขาโกนเครา เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาดังเดิมในทางกลับกัน เซี่ยหลูโม่รู้สึกใจสลายเมื่อมองดูใบหน้าที่ซูบเซียวของนาง หลายวันมานี้นางกลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้ารู้แต่แรกก็คงจะส่งจดหมายหานางสักฉบับ นางจะได้ไม่เป็นห่วงขนาดนี้ยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้ากลับมา จำต้องสวมเสื้อผ้าของเซี่ยทิงหลานก่อน มันสั้นเกินไปนิดหน่อย เมื่อสวมถุงเท้าจึงดูเรียบร้อยขึ้นสองสามีภรรยากอดกันแน่น น้ำเสียงของเขาก็แหบห้าว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมา ไม่คิดว่าศิษย์พี่เสิ่นจะคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับข้า
ในหลูโจวมีร้านแห่งหนึ่งชื่อตึกหย่งเล่อ ตั้งตระหง่านริมแม่น้ำหลูโจว ผู้ที่มาใช้จ่ายที่ถนนหย่งเล่อล้วนมีแต่คนร่ำรวยหรือไม่ก็ผุ้สูงศักดิ์แต่มุมซ้ายของถนนหย่งเล่อ หันหน้าไปทางท่าเรือ มีสถานที่ว่างๆ รกๆ จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงขายของทุกวันมีทั้งคนขายข้าว คนขายขนมงา และคนขายเกี๊ยว ของที่นี่ถูกและดี ที่มาหาอาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดาและคนงานรับจ้างที่ท่าเรือด้านนอกแต่ละแผงมีโต๊ะเตี้ยๆ ตั้งอยู่ไม่กี่ตัว และมีม้านั่งเล็กๆ หลายตัวไว้ให้ผู้มารับประทานอาหารสามารถนั่งกินอาหารได้ที่นี่พลุกพล่านมาก ผู้คนพูดถึงทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องกิจการบ้านเมือง สำหรับคนธรรมดา สิ่งนั้นอยู่ไกลเกินไปในหมู่พวกเขามีสองคนนั่งอยู่หน้าแผงขายเกี๊ยว เสื้อผ้าของพวกเขาค่อนข้างเรียบง่ายและธรรมดา หนึ่งในนั้นสวมเสื้อบุผ้าฝ้ายสีเทาและหมวกสีขาวชายอีกคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบปี สวมเสื้อผ้าผ้าหยาบสีเขียว ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น เสื้อผ้าของเขาดูค่อนข้างบางเล็กน้อย แต่หลังจากกินเกี๊ยวไปหนึ่งชาม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขาหลังจากกินอาหารเสร็จวางชามลง ชายในเสื้อบุผ้าฝ้ายสีเทาก็พูดว่า “แบบนี้ ไม่สน
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถูกประกาศว่าเป็นการปราบปรามโจรก่อนมีการเคลื่อนไหว พวกเขานั่งคุยกันหารือกัน การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่เป็นอันตราย ภารกิจก็ไม่ยาก อย่างไรก็ตามสามารถมั่นใจได้ว่าคนจากหมู่บ้านต้าสือในหลูโจว ไม่ใช่อดีตทหารส่วนตัวของอำเภอหยงดังนั้น คนของอ๋องเยี่ยนย้ายไปอยู่ที่ไหน?เซียหรูหลิงกล่าวก่อนหน้านี้ว่ามีฐานที่มั่นแบบเดียวกันนี้ในหลายอำเภอหลายเมือง เขาคิดว่า มันน่าจะใหญ่เท่ากับหมู่บ้านต้าสือหลายพันคน จะบอกว่ามากก็ไม่มาก จะบอกว่าน้อยก็ไม่น้อยในสถานที่ที่ไม่มีกองทหารรักษาการณ์ อาศัยเพียงทางการท้องถิ่นเพียงลำพังไม่สามารถทำลายล้างคนห้าพันคนได้ ในทางกลับกัน กลับเป็นเรื่องง่ายที่จะถูกตอบโต้และเข้ายึดครองถ้าหลายแห่งเกิดเรื่องขึ้นพร้อมกัน จะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประชาชน เมื่อกองทัพมาถึง ก็ไม่รู้ว่าถูกยึดครองไปกี่แห่งแล้วดังนั้นการทำลายล้างทหารส่วนตัวของหลูโจวในครั้งนี้จึงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาใหญ่จะตามมาทีหลังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสงครามในเขตหนานเจียง อ๋องเยี่ยนยังคงขยายอำนาจตลอด ราชสำนักยังไม่ได้เตรียมการป้องกันเขาเลย แม้ว่าเขาจะถูกควบคุมได้หลังจากชัยช
ปฏิบัติการฉับพลัน คนกลุ่มหนึ่งตรงไปที่ถนนทางทิศเหนือของหมู่บ้านต้าสือ ซึ่งเป็นทางเข้าไปในหมู่บ้านแต่แน่นอนว่าก่อนที่กลุ่มนี้จะเคลื่อนไหว กลุ่มอื่นๆ ได้เข้าสู่ภูเขาแล้ว โดยโจมตีจากด้านหน้า ซ้ายและขวา ซึ่งได้วางแผนล้อมจับพวกเขาไว้ทุกด้านแล้วอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้เนื่องจากพท้นที่กว้างขวาง ศัตรูคุ้นเคยกับภูมิประเทศที่เป็นภูเขามากกว่า โชคดีที่อูโซเว่ยพาคนล่วงหน้ามาปิดกั้นทางเข้าเส้นทางลับในหมู่บ้านต้าสือ บังคับให้พวกเขาต่อสู้ต่อไปจางต้าจ้วงยังแวะช่วยสองคนก่อนหน้านี้ที่ถูกจับมัดด้วย ให้เขาช่วยตามหาคนเหล่านั้น และเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาออกจากหมู่บ้านต้าสือโดยไม่มีอาวุธทั้งสองคนนั้นในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาทั้งหนาวทั้งหิว เมื่อรู้ว่ามีการต่อสู้กันข้างนอก พวกเขาจึงรีบลนลานไปพบคนที่อาศัยอยู่บนภูเขา พาพวกเขาอพยพออกไปแต่พวกที่ทำงานหนักเหล่านี้เป็นคนจำนวนน้อยเสมอ จริงๆ แล้วที่นี่มีทหารส่วนตัวถึงห้าพันคน ดังนั้นการต่อสู้จึงค่อนข้างยากไม่กี่ชั่วยามต่อมา กลุ่มที่สองได้ยึดครองหมู่บ้านต้าสือ ตัดเสบียงอาหาร บังคับพวกเขาขึ้นภูเขา ตราบใดที่ยึดอาหารได้
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง