ซ่งซีซีและพวกถูกไล่ออกไปยืนรออยู่หน้าประตู ข้างในแม่ทัพทั้งหลายกำลังหารืออย่างลับๆ ชั่งน้ำหนักระหว่างคุณและโทษ คิดหาหนทางอื่นว่าอาจมีหรือไม่หมั่นโถวหมอบอยู่ใต้ระเบียง เงยหน้ามองกุ้นเอ่อร์แวบหนึ่ง “เจ้าตอนนี้อย่างไรก็ถือเป็นขุนนางแล้ว เจ้าว่า หากพวกเราย่างกรายไป โอกาสชนะจะมีเพียงใด?”กุ้นเอ่อร์หันไปมองซ่งซีซี “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?”ซ่งซีซีกล่าวว่า “แน่นอนว่ามีอุปสรรค แต่ยังดีกว่าการส่งทหารทั้งกองไป โอกาสสำเร็จย่อมมีมากกว่า อีกทั้งความเสี่ยงต่ำกว่า หากแม้ไม่อาจทำสำเร็จ พวกเราก็ยังสามารถล่าถอยได้โดยปลอดภัย”เฉินเฉินก็พูดเสริมว่า “จริงอย่างที่สุด หากเรื่องการหนีล่ะก็ พวกเรานี่แหละอันดับหนึ่ง”เสิ่นว่านจือถลึงตาใส่นาง “หนีอะไร? ต้องเรียกว่าตัวเบา พวกเราตัวเบายอดเยี่ยมอันดับหนึ่งต่างหาก”เฉินเฉินหัวเราะ “ใช่แล้วล่ะ ตัวเบาของพวกเรานั้นอันดับหนึ่งจริงๆ งานนี้หากไม่ให้พวกเราทำ แล้วจะให้ใครเล่า?”ขณะกำลังพูดอยู่ ก็เห็นทหารรักษาการณ์เดินเข้ามา รายงานหน้าประตูว่าจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝางขอเข้าเฝ้าซ่งซีซีรีบยืนตัวตรง แววตาแฝงไว้ด้วยความระแวดระวังไม่อาจปล่อยให้พวกเขาไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์
เสียงกลองศึกดังขึ้นพร้อมกันทั่วสนามรบ สถานการณ์ยังคงดุเดือด ซีจิงต่างกระวนกระวายยิ่งกว่าวันก่อน ต่างคนต่างพุ่งเข้าใส่ประหนึ่งไม่กลัวตายซูลันซือไม่ได้ออกศึก หากแต่บัญชาการอยู่ด้านหลัง ซ่งซีซีจึงคิดว่าการจับโจรต้องจับหัวหน้าเสียก่อนนั้นทำไม่ได้ในสถานการณ์ที่ศัตรูเหนือกว่าหลายเท่า แม่ทัพใหญ่เซียวจึงลงศึกด้วยตนเอง และนำทัพอยู่แนวหน้า เพื่อปลุกใจทหารให้ฮึกเหิมซ่งซีซีเป็นกังวลยิ่ง กลัวว่าเขาจะถูกธนูจนบาดเจ็บสาหัส ด้วยเหตุนี้ แม้อาจทำให้ตนถูกเปิดโปง นางก็จำต้องเบียดเข้าไปใกล้เขาเหล่าบุตรหลานตระกูลเซียวต่างก็ล้อมคุ้มกันแม่ทัพใหญ่เซียวไว้ แม่ทัพใหญ่เซียวจึงฮึกเหิมยิ่งนัก นำขุนพลทะลวงศัตรูออกไปซ่งซีซีจึงมีสมาธิต่อสู้กับข้าศึก ศัตรูแต่ละรายล้มลงใต้ปลายทวนของนางแม่ทัพใหญ่เซียวสังเกตเห็นนางเข้า แต่ยังจำไม่ได้ว่าเป็นใคร จนกระทั่งมีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาทางเขา ซ่งซีซีจึงกระโจนขึ้น หมุนทวนในมือสะบัดลูกธนูนั้นตกลง แล้วหันกลับไปมองเขาเพียงครู่เดียว แม่ทัพใหญ่เซียวจึงจำได้ว่านางเป็นใคร ถึงกับตกตะลึงเพียงแต่สนามรบกำลังระอุ แม่ทัพใหญ่เซียวจึงทำได้เพียงตะโกนบอกนางว่า “ระวังตัวด้วย”ซ่งซีซีรู้ว่
ซ่งซีซีไม่คิดไม่ฝันว่าจ้านเป่ยว่างจะจำตนได้ตั้งแต่แรกเห็น เพียงแต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ท่านตากับท่านลุงทั้งหลายไม่อยู่แถวนี้ ไม่ถูกจับได้ก็พอนางรีบดึงเสิ่นว่านจือและคนอื่นๆ ไปยังอีกด้านหนึ่ง เร่งจัดการศพของทหารที่เสียชีวิตให้เสร็จโดยเร็วเมื่อเวลาล่วงเลยถึงกลางดึกหลุมศพใหญ่ทั้งเจ็ดหลุมก็ถูกกลบดินจนเต็ม ทหารทุกนายยืนไว้อาลัยอย่างเงียบงันบางคนร้องไห้โดยไร้เสียง บางคนเศร้าหมองสะเทือนใจ บางคนโกรธแค้นแทบทนไม่ไหว…แม่ทัพหลูสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน ส่วนตนจะไปตรวจนับกำลังพล และลงชื่อผู้เสียชีวิตในบัญชีทหารที่พลีชีพทุกคนต่างทยอยกันเดินกลับ ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาซ่งซีซีเดินอยู่ด้านหน้าของจ้านเป่ยว่างกับยี่ฝาง แล้วได้ยินเสียงสนทนาเบาๆ จากด้านหลังว่า “นางคือคุณหนูซ่งที่เจ้าตามจีบหรือ? มองผิดไปรึเปล่า? ผู้หญิงสูงศักดิ์เช่นนั้น จะลงสนามรบได้อย่างไร?”“ไม่ผิดแน่ คือนาง” จ้านเป่ยว่างตอบเบาๆ“เหอะ” ยี่ฝางหัวเราะเยาะ “เจ้าทำหน้าแบบนั้นเพื่ออะไรกัน? คนเขาปฏิเสธเจ้าตั้งแต่ต้น เห็นเจ้าไม่คู่ควร ยังจะมานั่งเศร้าอยู่อีกหรือ?”“ไม่ใช่ เพราะเห็นพี่น้องเสียชีวิตมากมายแบบนี้ จะไม่เสียใจได้อย่างไร?
สู้รบจนเลือดโชกตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตะวันตกดิน กองทัพแคว้นซีจิงก็ถอยออกจากกำแพงอ่างทว่า ประตูและกำแพงของกำแพงอ่างถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่อาจใช้ขวางข้าศึกได้อีกพวกเขาถอยในตอนนี้ พรุ่งนี้ย่อมกลับมาอีกแน่นอน เพียงแค่ฟ้ามืดไม่เหมาะกับการรบจึงยอมถอยไปก่อนเท่านั้นคราเมื่อพวกเขาถอย กลับไม่ได้นำศพของทหารตนเองกลับไป ทว่ากลับราดน้ำมันลงบนศพ แล้วจุดไฟเผาเสียสิ่งที่ถูกเผา ไม่เพียงแค่ศพทหารซีจิง หากแต่รวมถึงศพของทหารแห่งชายแดนเฉิงหลิงด้วย แม่ทัพใหญ่เซียวรีบสั่งให้คนช่วยกู้ศพกลับมา เกรงว่าทุกศพจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปพร้อมกันหมดแต่เพราะถูกเผาด้วยน้ำมันเพลิง ไฟลามอย่างรวดเร็ว จึงสามารถช่วยกลับมาได้เพียงเล็กน้อย ทหารที่เหลือล้วนถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม ไม่อาจจำแนกได้ว่าใครเป็นใคร ไม่อาจรู้ว่าเป็นศพของทหารแคว้นซางหรือแคว้นซีจิง สุดท้ายก็ต้องฝังรวมกันไปเดิมทีนายท่านเซียวสามตั้งใจจะตามหาเจ้าทหารกล้าผู้นั้นหลังศึกจบ ทว่ายังหาไม่พบ จึงคิดว่าน่าจะถูกส่งไปช่วยฝังศพแล้วซ่งซีซีและพวกก็ถูกส่งไปช่วยฝังศพจริง งานเช่นนี้สำหรับซ่งซีซีแล้วไม่ใช่ครั้งแรก แต่คนอื่นๆ ล้วนไม่เคยทำ จึงรู้สึกสะเทือนใจนักไม่ใช่เพียงพว
กองทัพทั้งสามจัดแถวเรียงราย โดยมีแม่ทัพใหญ่เซียวออกมากล่าวปลุกใจแม่ทัพใหญ่เซียวกล่าวอย่างฮึกเหิมจบลง ก็เปล่งเสียงตะโกนอีกประโยค “เหล่าทหารแห่งแคว้นซางของข้า ไม่กลัวอันตราย ไม่กลัวพลีชีพ ขอปกป้องแผ่นดินของแคว้นซางทุกตารางนิ้ว ให้คุ้มครองราษฎรของแคว้นซางทุกคน!”เหล่าทหารพลันรู้สึกโลหิตพลุ่งพล่าน ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงตะโกน “ไม่กลัวอันตราย ไม่กลัวพลีชีพ ขอปกป้องแผ่นดินของแคว้นซางทุกตารางนิ้ว ให้คุ้มครองราษฎรของแคว้นซางทุกคน!”ซ่งซีซีก็ยืนอยู่ในหมู่พวกเขา ตะโกนออกไปพร้อมกันด้วย นางอยู่ห่างออกไป จึงมองไม่เห็นหน้าท่านตาชัดเจน เพียงเห็นว่าชุดเกราะพลิ้วไหว ดุดันและทรงอำนาจ ออร่าของแม่ทัพเอกปรากฏเด่นชัดนางจำได้ว่า ในศึกป้องกันเมืองครั้งนั้น ท่านตาถูกยิงด้วยลูกธนู บาดเจ็บสาหัสจนใกล้สิ้นใจ น้าเจ็ดสิ้นชีพในศึกนี้ และนายท่านเซียวสามก็เสียแขนข้างหนึ่งเพื่อช่วยจ้านเป่ยว่างนางอาจไม่มีความสามารถมากพอจะแก้ไขชะตาทั้งหมด แต่จะทำทุกอย่างเท่าที่นางทำได้เสียงกลองและเสียงแตรเริ่มกระหึ่ม กึกก้องไปทั่วชายแดนเฉิงหลิงประตูเมืองด้านข้างเปิดออก ทหารถืออาวุธกรูกันออกไปทีละกลุ่มซ่งซีซีใช้ทวนยาว แขนเสื
ขณะเตรียมรับศึก ก็ได้เริ่มเคลื่อนย้ายราษฎรที่อยู่ใกล้ประตูชายแดนเฉิงหลิงเข้าสู่ภายใน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ได้รับผลกระทบจากสงครามนอกด่านยังมีหมู่บ้านอีกหลายแห่ง ซึ่งล้วนเป็นราษฎรแคว้นซาง ที่อยู่อาศัยสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ก่อนหน้านี้แม่ทัพใหญ่เซียวก็เคยชักชวนให้ย้ายเข้าด่าน แต่พวกเขาไม่ยินยอมพวกเขาเห็นว่า ชายแดนเฉิงหลิงกับแคว้นซีจิงมีปัญหามานาน แต่ก็ไม่เคยกระทบถึงพวกตน การย้ายเข้าเมืองก็ไม่ต่างจากทิ้งบ้านเกิด พวกเขายอมตายยังไม่ยอมจากไปครานี้แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้ไปเจรจาด้วยตนเอง อีกทั้งยังรับปากว่า หากเกิดสงครามแล้วหมู่บ้านถูกทำลาย เหล่าทหารจะช่วยสร้างบ้านเรือนใหม่ให้แม่ทัพใหญ่เซียวเป็นผู้มีบารมี เป็นที่ยอมรับในหมู่ราษฎร เมื่อเขาไปเจรจาด้วยตนเอง ใช้เวลาพูดอยู่นาน ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมสำเร็จเหล่าทหารก็ช่วยกันขนย้าย ซ่งซีซีก็อยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งไปช่วยงานนี้ ภายในไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เสร็จสิ้นซ่งซีซีจำได้ว่า เมื่อคราสงครามใหญ่ระหว่างสองแคว้นปะทุ แม้เคยตกลงกันว่าจะไม่สังหารราษฎร ไม่ทำร้ายชาวบ้าน แต่หากเกิดเพลิงสงครามขึ้นจริง การปล้นสะดมและขับไล่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบาดเจ็บ