เป่าจูพยักหน้าบอกว่ารับทราบแล้ว จากนั้นรีบร้อนวิ่งออกไปเพื่อให้คนเตรียมน้ำร้อน เอามาให้ท่านเขยล้างหน้าล้างตาซ่งซีซีพยุงเขาให้นอนลงที่เก้าอี้ พอวางเขาให้เรียบร้อย เป่าจูเข้ามาแล้วพูดว่า "ถูกอาจารย์และพวกศิษย์พี่มอมสุรา รองผู้บัญชาการจางบอกว่าเขาไม่กล้าไม่ดื่ม ถูกมอมหนักเลย พร้อมกับคนจากนิกายอื่นๆ ด้วย สุราที่ดื่อคือสุราดอกทอ"ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "ท่านอาจารย์ยังมอมสุราเขาหรือ"นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งชัดๆ งั้นเหรอ? มีผู้คนมากมายจากนิกายมา คนละแก้วก็พอที่จะให้เขาหมดสติเลย“ใช่ ดื่มไปเยอะมาก สุราดอกพีชของนิกายกู่เยว่ไม่ใช่ว่าเบาๆ เหรอ? ทำไมมันถึงแรงขนาดนี้?”“เกรงว่าเป็นสุราที่อาจารย์ปรุงเอง ไม่ใช่ของที่นิกายกู่เยว่ที่มอบให้ข้าเป็นของขวัญ” ซ่งซีซีมองไปยังเซี่ยหลูโม่ที่หน้าแดงไปหมดเนื่องจากถูกมอมสุรา การดื่มสุราแลกแก้วกันในคืนนี้คงทำไม่ได้แล้ว แล้วอาหารเต็มโต๊ะนี้ก็คงมีแต่นางคนเดียวที่กินตามลำพังเดิมทีนางมีหลายเรื่องที่จะถามเขา เรื่องที่แม่นมเหลียงบอกกับนางในคืนนี้ นางอยากถามรายละเอียดเพิ่มเติมอย่าว่าแต่ถามเลย ขนาดยังปลุกเขาให้ตื่นก็ไม่ได้แล้วหมิงจูนำน้ำร้อนมา และซ่งซีซีพูดว่า "พวกเจ้
แม่นมเหลียงมองดูอยู่ข้างๆ รู้แล้ว ไม่ต้องไปยุ่งจากนั้นก็พาทุกคนถอยออกไป แล้วปล่อยให้ทั้งคู่ได้จัดการเอง จะด่าหรือทะเลาะกัน แล้วแต่พวกเขาเลย ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงคุณหนูโกรธแล้ว หากพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ กลัวว่าจะทำเอาความโกรธนี้เพื่มขึ้น เดิมทีคุณหนูก็ไม่ได้โกรธท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่โกรธอาจารย์ของนางมากกว่าดังนั้นทิ้งทั้งสองอยู่ตามลำพัง นางถึงกับไม่ได้เป็นห่วงท่านอ๋องหลังจากเช็ดหน้า ล้างมือเสร็จแล้ว และบ้วนปากด้วยชาอุ่นๆ บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็รู้สึกมีสติได้มากขึ้นสร่างเมาแล้วก็จริง แต่กลับพบว่าซีซีโกรธแล้วเขารู้ว่าไม่ได้โกรธเขา เพียงแต่เวลาที่นางโกรธ ใบหน้าที่สวยงามของนางก็เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง และงดงามมากทีเดียวแสงของเทียนมงคลส่องสว่างทุกสิ่งในเรือนหอ และแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจนั้นมีติดไว้ทุกที่ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจมากเขาไอเล็กน้อยแล้วถามว่า "รูปหัวใจพวกนี้ ส่วนมากเป็นฝีมือของข้า สวยไหม?"ซ่งซีซีตักแกงให้เขา เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ หากเขาไม่ได้บอก นางยังไม่ได้สังเกตเห็นแถบผ้าแพรไหมที่ผูกเป็นรูปหัวใจพวกนั้น มิใช่ว่ารูปหัวใจไม่มากพอ เพียงแต่คืนนี้ อารมณ์ของกระสับกระส่า
เซี่ยหลูโม่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตาของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า "ข้าไม่ได้โง่สักหน่อยเลย การมีอำนาจทหารจะมีประโยชน์อะไร? อำนาจทางทหารจะเทียบกับเจ้าได้ยังไง บัดนี้ ในประเทศไม่มีสงครามแล้ว ข้ายังกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ก็จะทำให้คนอื่นอิจฉา เดี๋ยวจะเป็นเรื่องได้ ต่อให้เขาไม่ได้บังคับข้า ข้าก็ต้องคืนอำนาจทางทหารให้อยู่ดี"ขนาดเขายังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "หากเขาไม่บังคับข้าแบบนี้ ข้าก็ยังคงปวดหัวอยู่ว่าจะเอ่ยปากมาสู่ขอเจ้ายังไง พอมีกฤษฎีกาจากฮ่องเต้ ข้าเชื่อระหว่างข้ากับการเป็นนางสนม เจ้าจะต้องเลือกข้า เขาช่วยข้าแล้ว"ซ่งซีซีจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ "ท่านนี่ยังรู้สึกปลื้มใจเสียอีก จริงๆ เลย คนโง่ที่ถูกหลอกลวงแล้วยังขอบคุณอีกฝ่ายเสียอีก ท่านนี่และก็เป็นคนแบบนั้น"สาวสวยออดอ้อน จนเขาใจอ่อนระทวยทุกราย ซึ่งอ่อนราวกับเมฆฝ้ายที่โรยด้วยน้ำตาลเขาพูดว่า "ไม่เป็นไร ข้าสมหวังแล้ว"ซ่งซีซีหรี่ตาลง แต่ใจของนางก็ยังรู้สึกหวานชื่น สมหวังแล้ว นางเองก็เช่นกันมิใช่หรือ?ปรากฎว่าการมีใจให้นกันและกัน จะทำให้คนเรามีความสุขขนาดนี้เขาตักอาหารให้นาง และคีบให้อย่างละนิด "คืนนี้คงหิวแย่สินะ
ชุดนอนของเซี่ยหลูโม่ถูกวางไว้ในห้องอาบน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชุดนอนก็เป็นสีแดงเช่นกัน แต่วัสดุก็นุ่นมาก มีเพียงลายเมฆดำและไม่มีลายปักแบบอื่น เป็นชุดแบบเดียวกันกับซ่งซีซีไม่ใช่ว่าไม่มีลายปักแบบอื่นเลย ที่แขนข้างหนึ่งมีคำว่า "ครองรักนิรันดร์" ส่วนอีกข้างหนึ่งได้ปักคำว่า "มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง" เพื่อเป็นอวยพรเซี่ยหลูโม่แค่อาบน้ำแบบลวกๆแต่ไม่แช่น้ำนาน เขารู้ว่าคืนนี้อาจจะต้องยุ่งจนถึงดึก เลยสระผมไปแล้วเมื่อคืนนี้เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะสวมชุดนอนสีแดงดูสะอาดและหล่อเหลาหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่ง ผิวของเขาก็ขาวขึ้นมากซ่งซีซียังจำได้ว่าตอนที่นางพบเขาครั้งแรกในสนามรบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา และมันเรียกได้ว่าสกปรกมาก มันยากที่จะจินตนาการว่าเขาเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางแสงเทียนมงคลสะท้อนให้เห็นผ้าห่มสีแดงสด และปลาบม่านเตียงก็ไปถึงพื้น เขาจับมือนาง แล้วเดินช้าๆ ไปยังเตียงขนาดใหญ่หัวใจของซ่งซีซีเต้นเร็วขึ้น และฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อออก นางไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้กับใครในชีวิตมาก่อนเลยแต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ เซี่ยหลูโม่รู้สึกตื่นเต้นมากก
ในปลายยามเหม่า แม่นมเหลียงก็เคาะประตูอยู่ข้างนอกเนื่องจากห้องนอนแบ่งออกเป็นภายในและภายนอก ประตูห้องนอนจึงอยู่ห้องด้านนอก ส่วนด้านในและด้านนอกถูกกั้นด้วยม่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งเกือบจะพร้อมกันซ่งซีซีลุกขึ้นนั่งและเห็นว่าเซี่ยหลูโม่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย นางสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าตนเองก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเช่นกัน นางก็คว้าผ้าห่มแล้วคลุมให้ตนเองทันทีใบหน้าของนางรู้สึกร้อนวูบวาบ และนางเดาว่าตนเองหน้าแดงแล้วแน่ๆเซี่ยหลูโม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ และรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีนัก เลยไม่กล้ามองหน้านาง สำหรับการเปลือยกายเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ชินในตอนนี้ จึงคว้าชุดนอนมา แล้วสวมใส่มันโดยใช้ผ้าห่มกันไว้หลังจากที่เขาสวมเสร็จแล้ว เขาก็ไอคำหนึ่ง แล้วพูดว่า "ข้าจะลุกขึ้นก่อน เจ้า... เจ้าใส่ชุดนอนก่อน แล้วค่อยให้คนใช้มาเปลี่ยนเสื่อให้"อ๊ะ ทำไมถึงรู้สึกน่าเขินอายขนาดนี้? แม้แต่ดวงตาของนางก็ไม่กล้าที่จะมองเลยแต่ขอแอบมองแวบนึงเถอะนะ ที่แท้สภาพเพิ่งตื่นนอนของนางเป็นแบบนี้ ดูซื่อๆ และเฉื่อยชานิดหน่อย แต่สวยงามและสดชื
เซี่ยหลูโม่ก็ต้องสวมเครื่องยศเช่นกัน แต่เขาสวมเองไม่ได้ เพราะมันก็ยุ่งยากมาก ดังนั้นในที่สุดเขาก็นำเครื่องยศออกจากห้องแล้วเรียกหัวหน้าลู่และเด็กรับใช้มาสวมให้เขาเขาสวมพระมาลาจิ่วเฉียวเมี่ยน และชเครื่องยศระดับชั้นห้าสีเขียว มีลายมังกรปักอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้าง และเอวของเขาผูกด้วยขอบสีแดง มีจี้หยกที่ด้านซ้ายและด้านขวา ฝั่งละชิ้น ลายเมฆสีทองและมังกรพร้อมลูกปัดหยก บนจี้หยกมีมีตะขอสีทอง เสริมด้วยสายสะพายเล็กสี่สีสายสะพายใหญ่ทอเป็นสี่สี แดง ขาว กำมะหยี่ และเขียว เขามีรูปร่างสูงและเพรียวอยู่แล้ว และการสวมเครื่องยศหรูหราชุดนี้ ดูทรงพลังและสง่างามมากยิ่งขึ้นซ่งซีซียังคงต้องแต่งหน้าแต่งตาสักหน่อย ไม่ว่านางจะสวยแค่ไหนก็ตาม เมื่อต้องไปเข้าเฝ้าก็ไม่เหมาะที่ไปแบบหน้าสดหลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ซ่งซีซีก็เดินออกไปโดยมีแม่นมเหลียงและพวกเป่าจูล้อมรอบข้างกาย ซ่งซีซีถามถึงรุ่ยเอ๋อร์ก่อน และรู้ว่าเขายังไม่ได้ตื่น อีกอย่างมีรุ่ยจูค่อยดูแลอยู่ นางก็รู้สึกโล่งใจเมื่อสบตากับเซี่ยหลูโม่ที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จอยู่ห้องข้างนอก อาจเป็นเพราะวันนี้ทุกคนต่างก็แต่งตัวอย่างหรูหราแลพเรียบร้อย จึงลืมเรื่องความใกล้ชิดเ
ฉากนี้ช่างสบายตาสบายใจยิ่งนัก ลูกชายหล่อเหลา ซ่งซีซีก็งดงาม และทั้งคู่ก็มีสีหน้าเยือกเย็น หน้าคลายกันมากเป็นคู่รักกันจริงๆเมื่อสักครู่นี้ แม่นมเกามารายงานอย่างเร่งรีบ ได้ยืนยันว่าซ่งซีซีเป็นผู้บริสุทธิ์ และเมื่อคืนนี้นางได้มอบตัวให้กับท่านอ๋องอย่างแท้จริงสนมฮุ่ยไทเฟยพอใจกับสิ่งนี้มาก แต่ก็แค่พอใจที่นางเป็นผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ซ่งซีซีได้แต่งงานครั้งที่สองนั้น นางยังไม่ได้ยอมรับไปทั้งหมดนางนั่งตัวตรง ทัศนคติของนางยังดูกำเริบ และดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววเคร่งขรึมเซี่ยหลูโม่ระงับความโกรธเคืองเอาไว้ จับมือของซ่งซีซี แล้วเดินเข้าไปคุกเข่าลงและกราบไหว้เพื่อเป็นการคารวะ"ลูกสะใภ้มาถวายน้ำชาให้ไทเฟยเจ้าค่ะ" แม่นมเกายืนข้างๆพร้อมถือถาดแล้วกล่าวซ่งซีซีหยิบถ้วยชา แล้วยื่นให้สนมฮุ่ยไทเฟยด้วยมือทั้งสองข้าง "เสด็จแม่ โปรดดื่มชาเจ้าคะ"สนมฮุ่ยไทเฟยยังคงรออยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่ดวงตาของเซี่ยหลูโม่เกือบจะระเบิดความโกรธออกมานั้น นางถึงค่อยๆ เอื้อมมือออกไปรับถ้วยชา จิบไปคำหนึ่งก็วางไว้ข้างๆ"ให้รางวัล!" เสียงของนางช้าๆ แฝงไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองแม่นมเกาวางถาดลง หยิบสร้อยข้อมือม
ซ่งซีซียิ้ม นางกัดฟันกรอดจนแทบจะได้ยินเสียงเลย ทว่ายังคงพูดอย่างอ่อนโยนว่า "เสด็จแม่พูดถูก การทำธุรกิจมีขาดทุนบ้างก็ต้องทำกำไรบ้าง โอ้ จริงสิ ร้านจิน ท่านกับนางคนละครึ่งหรือเปล่า ได้ทำข้อตกลงไว้หรือยัง ตั้งแต่เปิดร้านจนถึงปัจจุบันนี้ได้อ่านสมุดบัญชีหรือไม่?"สนมฮุ่ยไทเฟยทำท่าภูมิใจราวกับนกยูง "แน่นอนว่าทำข้อตกลงไว้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง ไม่ใช่คนละครึ่ง ข้าครองเจ็ดส่วน ได้อ่านสมุดบัญชีอยู่แล้ว ส่งมาทุกๆ สามเดือน ข้าตรวจสอบแล้ว มันขาดทุนจริง""เอ๊ะ เสด็จแม่มีส่วนเยอะกว่า เช่นนี้ หากขาดทุน งั้นไม่ใช่ว่าท่านต้องออกเงินเยอะกว่าเพื่อเอามาอุดหนุนให้แล้วหรือ เงินที่ออกให้ในช่วงหลายปีนี้ ท่านได้จดบันทึกไว้หรือไม่?""แน่นอนว่ามีการจดบันทึกไว้ เงินทุกเบี้ยที่ข้าออกให้ ข้าจดไว้หมดเลย"ซ่งซีซีคิดในใจว่าค่อยยังชั่ว "งั้นเสด็จแม่จำได้หรือไม่ว่าทั้งหมดได้ออกเงินไปเท่าไร"สนมฮุ่ยไทเฟยพูดอย่างไม่พอใจ "ใครจะจำในสมองได้ ต้องดูสมุดบัญชีสิ แต่น่าจะหลายหมื่นตำลึง""โอ้!" ซ่งซีซีเหลือบมองเซี่ยหลูโม่ซึ่งมีใบหน้าไม่สบอารมณ์จนถึงที่สุด แล้วถามต่อว่า "เสด็จแม่คงยังไม่เคยไปร้านจินสินะ"สนมฮุ่ยไทเ
สนมฮุ่ยไทเฟยย่อมมีฐานะมั่นคงเช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่าย รายรับกลับมากไม่น้อยเบี้ยหวัดจากในวัง ของกำนัลจากทุกบ้าน อีกทั้งบรรดาลูกหลานที่โตแล้วต่างก็สามารถตัดสินใจเองได้ บรรดาผู้ที่กตัญญูต่อท่านมีไม่น้อย โดยเฉพาะเสิ่นว่านจื่อ ยิ่งกตัญญูไม่ยั้งมือสำหรับหลานสาวคนเดียวนี้ ท่านไม่มีสิ่งใดที่เสียดายเลย คำพูดที่มักติดปากคือ เมื่อท่านสิ้นไป สมบัติทั้งปวงย่อมตกเป็นของหลานสาวบัดนี้เมื่อแม่ลูกสองคนไปถึงที่อยู่ของท่าน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่เซี่ยเจิงจะไปภูเขาเหม่ยชานฝึกวรยุทธ์อีกครา"ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นดีเห็นงาม เพียงแต่การไปนานถึงเพียงนั้น ปีหนึ่งกลับมาได้ไม่กี่ครั้ง อนาคตยังบอกว่าจะออกไปผจญภัยอีก เด็กหญิงน้อยๆ เช่นนี้ จะไปฝ่าโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าขัดท่านพ่อของเจ้าไม่ไหว เขาเป็นคนไม่เข้าใจโลก พูดอะไรก็ไม่เคยพูดให้เข้าใจได้ ข้าก็ไม่มีทาง""ท่านยาย หลานไม่ใช่เด็กสาวบอบบางหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองดูหมัดของหลานเถิด" เซี่ยเจิงชูหมัดขึ้น โบกไปมาอยู่ตรงหน้าสนมฮุ่ยไทเฟย กล่าวอย่างภาคภูมิว่า "หมัดนี้ของหลาน แม้แต่หมูป่ายังต้องสลบเหมือด"สนมฮุ่ยไทเฟยทอดถอนใจ "บุตรีบ้านอื่น มือเอา
สองสามีภรรยาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะซ่งซีซี ที่แต่เดิมรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนั้นเป็นการถูกบังคับ แต่ใครจะคาดคิดว่าจะได้พบกับความสุขเช่นวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดานักทันใดนั้นก็มีคนวิ่งพรวดพราดเข้ามาทางประตู ยังไม่ทันเห็นหน้าชัด ก็โผเข้ากอดเซี่ยหลูโม่แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดี "ท่านพ่อ ของขวัญพิธีปักปิ่นที่ท่านมอบให้ข้านั้น ข้าชอบมากนัก ขอบคุณท่านพ่อ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลยเจ้าค่ะ"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ยังคงซุกซนเช่นเดิมหรือ? โตเป็นสาวแล้ว ต้องสุขุมให้มากหน่อย"แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าดวงตากลับเปี่ยมด้วยความเอ็นดู มือช่วยจัดปิ่นที่นางสวมในพิธีปักปิ่นให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยต่อว่า "เครื่องประดับหัวทับทิมแดงนั่นเจ้าไม่ชอบหรือ? ท่านแม่ของเจ้าตั้งใจเลือกให้นัก""ชอบเจ้าค่ะ ชอบทุกอย่างเลย" เซี่ยเจิงยิ้มจนตาหยี รักทุกสิ่งที่พ่อแม่มอบให้เซี่ยหลูโม่มองรอยยิ้มของบุตรสาวแล้วพลันรู้สึกเคลิ้มใจบุตรสาวยิ่งโต ยิ่งเหมือนซ่งซีซี ในวันแรกที่พบซ่งซีซีที่ภูเขาเหม่ยชาน นางก็ยิ้มเช่นนี้แต่หลังจากนั้น นางก็แทบไม่เคยยิ้มแบบนี้อีก ต่อ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร