"ฮิฮิ ข้าอยากจะแอบบุกเข้าไปในจวนอ๋อง และฆ่าอ๋องเยี่ยนให้จบๆ ไปเลย" เสิ่นว่านจือพูดคนนี้ออกมาหลังจากพลิกตัวไปมาหลายรอบ"อย่าโง่ไปเลย ทำร้ายเชื้อพระวงศ์เจ้าอยากให้ทั้งครอบครัวของเจ้าตายเป็นเพื่อนเจ้าหรือไง" ซ่งซีซีหันไปมองนาง "เจ้ากังวลว่าครอบครัวของเจ้าจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้?"เสิ่นว่านจือวางมือไว้ด้านหลังศีรษะ "ข้าไม่รู้ แต่ท่านพ่อย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ท่านปู่มักจะตามใจข้าอยู่เสมอ ดังนั้นข้าเชื่อว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ตระกูลเสิ่นต้องการมีโอกาสเกี่ยวดองกับตระกูลชั้นสูงสักครั้งเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมา ก็กลัวว่าคนในตระกูลอื่นๆ จะให้ความกดดันจนบีบบังคับให้ท่านพ่อและท่านปู่ต้องยอมรับการแต่งงานนี้""ต่อให้ตอบตกลงแล้ว เจ้าก็จะไม่แต่งอยู่ดี""ใช่ ข้าจะไม่แต่ง" น้ำเสียงของเสิ่นว่านจือเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ "แต่ในเมื่อตอบตกลงการแต่งงานนี้ ถ้าข้าไม่แต่ง ก็ต้องมีสตรีอื่นในตระกูลที่ต้องมาแต่งแทน จะให้คนอื่นมาเสียสละเพื่อข้า ข้าทำไม่ลงคอ โดยเฉพาะเป็นพี่น้องในตระกูลของข้าด้วย"นางกังวลใจมาก และอยากกลับบ้านของตระกูลเสิ่นนทีเลย"เจ้าจะกลับไหม" ซ่งซีซีถาม"อยากกลับ แต่ข้าจะไม่กล
ในช่วงสิบห้าวันนี้ ฮ่องเต้จะเสด็จไปศาลเจ้าจี้เทียนด้วยตนเองและจะไปที่ประตูเมืองเพื่อรับชมดอกไม้ไฟพร้อมกับประชาชนกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยเมืองหลวงและค่ายลาดตระเวนจำเป็นต้องเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ และเร่งงานให้กระทรวงโยธาธิการสร้างเวทีสูงด้านนอกหอคอยเพื่อให้ฮ่องเต้และบุคคลสำคัญของราชสำนักได้ชมดอกไม้ไฟหลังจากเยี่ยมพระชายาอ๋องเยี่ยนแล้ว ซ่งซีซีก็คุยกับเขาที่กระท่อมด้านนอกกุ้นเอ๋อร์พักอยู่ที่นี่มาหนึ่งคืน แต่ชุดเครื่องนอนก็ถูดจัดอย่างระเบียบเรียบร้อย แม้ว่าโต๊ะและเก้าอี้จะเก่า แต่ก็ถูกทำความสะอาดอย่างสะอาดเลยซ่งซีซีเล่าสถานการณ์ของจวนอ๋องเยี่ยนให้เขาฟัง และเมื่อได้ยินว่าอ๋องเยี่ยนจะหย่ากับพระชายา เซี่ยหลูโม่ก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน"นี่ก็เหลวไหลเกินไป ไร้บุตรชาย ขี้อิจฉา มีข้อใดที่จะทำให้คนนอกยอมเชื่อล่ะ?""ยังยังก็หาข้อกล่าวหาให้คนเชื่อถือได้ เช่นโรคร้ายแรง" ซ่งซีซีระงับความอึดอัดใจในใจ และไม่สามารถระบายออกมาได้สักที"ยังอยากแต่งงานกับเสิ่นว่านจือ เสด็จอาคิดอะไรอยู่?" เซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว และเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด เรื่องบางเรื่องแค่ใช้สมองคิดสักหน่อยก็เข้าใจในทันที แ
พระชายาอ๋องเยี่ยนคว้าข้อมือของนางอย่างแรง แล้วมองออกไปข้างนอก นางหายใจแรงแต่ก็พยายามให้เสียงเบาลง "ฟังป้านะ เขาไม่ใช่คนดีอะไร เขาสมรู้ร่วมคิดกับองค์หญิงใหญ่"ซ่งซีซีตระหนก "อะไรนะ"นางรีบให้ทุกคนออกไป และขอให้เสิ่นว่านจือเฝ้าประตู"ท่านป้า ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร"ศีรษะของพระชายาอ๋องเยี่ยนนอนลง และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความกลัวและความเยือกเย็น "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาได้คัดเลือกทหารและซื้อม้าในเมืองเยี่ยนโจวอย่างลับๆ โดยใช้เงินขององค์หญิงใหญ่และชายารองจิน และพวกทหารกับม้าเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ในอำเภอหยง"ซ่งซีซีรู้จักอำเภอหยง นั่นเป็นดินที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่องค์หญิงใหญ่ และเป็นสินเดิมที่จักรพรรดิองค์ก่อนพระราชทานนาง"อย่าไปมีเรื่องกับเขา อย่าเป็นศัตรูกับเขา เขาไม่ง่ายอย่างที่คนนอกคิด" ลมหายใจของพระชายาอ๋องเยี่ยนเบาลง บางทีอาจจะเป็นเพราะพบกับความลับนี้ นางกลัวเหลือเกิน"ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาสร้างเรื่องรักใคร่อนุภรรยาและทอดทิ้งภรรยาเอก เจ้าคิดว่าเขารักใคร่ชายารองจินจริงๆ หรือ? มันเป็นเพียงการสร้างชื่อเสียงที่ไม่ดีเพื่อลวงตาฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เท่านั้น"เมื่อได้ยินอ
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้วปีใหม่เป็นเทศกาลที่มีความสุขที่สุดและเป็นวันที่รอคอยมากที่สุดแห่งปีสำหรับประชาชน ตามท้องถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ทุกครัวเรือนได้ติดคำอวยพรกลอนคู่ไว้ที่ผนัง กำลังเตรียมจะจุดประทัดเพื่อปัดเป่าสัตว์ร้ายปีใหม่ในวันแห่งครอบครัวอย่างมีความสุขของทุกคนนั้น ท่านป้าก็สิ้นลมอย่างเงียบๆ การตายของนาง ไม่แม้แต่มีผลใดๆ ต่อจวนอ๋องเยี่ยนเลยเพราะท่านอ๋องเยี่ยนพาครอบครัวของเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว บางทีอ๋องเยี่ยนอาจยังไม่รู้เรื่องก็ได้ทันทีที่ซ่งซีซีเข้าบ้าน นางก็ได้ยินว่าครอบครัวของอ๋องเยี่ยนมาเยี่ยม สนมฮุ่ยไทเฟยกำลังต้อนรับพวกเขาอยู่ทันทีที่เสิ่นว่านจือมอบแส้ม้าให้ผู้คนดูแลม้า ก็ได้ยินข่าวนี้ นางกำหมัดแน่น อยากจะวิ่งเข้าไปข้างในเพื่อซัดอ๋องเยี่ยนยกใหญ่อย่างรุนแรงเซี่ยหลูโม่ขมวดคิ้ว "ตอนที่ข้าออกจากจวนนั้น พวกเขายังไม่ถึงเมืองหลวง เห็นๆ อยู่ว่าเพิ่งถึงเมืองหลวง แทนที่จะเข้าวังเพื่อไปเข้าเฝ้าไทเฮา กลับมาจวนเป่ยหมิงอ๋องเพื่อเยี่ยมหลานชายอย่างข้า ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเสด็จอาของข้าคนนี้ต่ำเกินไปในอดีตสินะ"ซ่งซีซีทำหน้าไร้อารมณ์
ทันทีที่คำว่าสำนักแม่ชีชิงมู่ออกมา สีหน้าของสมาชิกทั้งเจ็ดคนในครอบครัวอ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนไปในทันทีทันที่ที่คุณชายใหญ่เซี่ยหรูหลิงกำลังจะนั่งลง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ถามว่า "สำนักแม่ชีชิงมู่ งั้นท่านพี่รู้ไหมว่าอาการของเสด็จแม่ของข้าเป็นยังไงบ้าง""ไม่ยังไง!" ซ่งซีซีมองไปที่เซี่ยหรูหลิง "ถ้าเจ้าห่วงใยนาง ทำไมไม่ไปเยี่ยมเองล่ะ"เซี่ยหรูหลิงเหลือบมองอ๋องเยี่ยนแวบหนึ่ง อ๋องเยี่ยนมีสีหน้าเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไร"น้อง...น้องอยู่ในสถานบันศึกษา ไม่มีเวลาไป" เขาตอบอย่างตะกุกตะกัก"จริงเหรอ? มีคนมากมายในจวนอ๋องเยี่ยนต่างก็ไม่มีเวลาเหรอ แค่ส่งสาวใช้เพียงสองคนไปรับใช้ ถ้าไม่ใช่เพราะจวี๋ชุนและชิงเชวี่ยที่เป็นลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ดันอยู่ด้วย นางจะมีชีวิตอยู่ในสำนักแม่ชีชิงมู่ได้กี่วันกัน?"เดิมทีเสี้ยวจู่อวี้หยินก็ดูถูกพี่สะใภ้ที่เคยหย่ามาก่อนอยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็ทำหน้าไม่พอใจ "ข้ากลับไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ของข้ามีงานอดิเรกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสินะ"ดวงตาของซ่งซีซีราวกับมีดคมฟันที่ใบหน้าของเสี้ยนจู่อวี้หยิน "ข้าก็ไม่รู้ว่ามีลูกสาวที่อกตัญญูเช่นนี้ในโลกนี้""เจ้า!" ดวงตาของเสี้ยนจู่
ทันใดนั้นสีหน้าของอ๋องเยี่ยนก็เปลี่ยนไป ทำไมจดหมายหย่ายังเก็บไว้อยู่? ผู้คนที่ทำงานนั้น ไม่ได้เรื่องสักคนเซี่ยหรูหลิงรับจดหมายหย่าด้วยมือทั้งสองข้างพลางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ลายมือในจดหมายหย่านั้นเขาจะอ่านไม่ออกได้ยังไง เป็นลายมือของท่านพ่อ เขาเป็นคนเขียนกับมือเองเขาเงยหน้าขึ้นมองอ๋องเยี่ยน และกำหมัดแน่น "เสด็จพ่อ ท่านจะอธิบายอย่างไร"อ๋องเยี่ยนเม้มริมฝีปาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความซื่อสัตย์และจริงใจก็หายวับไปหมด แต่กลับเป็นสีหน้าฉายแววอำมหิตแทนชายารองจินรีบพยายามแก้ต่างว่า "จะเป็นเสด็จพ่อของเจ้าเขียนให้ได้ยังไง? เห็นๆ อยู่ว่ามีคนลอกเลียนแบบลายมือของเสด็จพ่อเจ้า เสด็จพ่อของเจ้าจะหย่ากับเสด็จแม่ของเจ้าได้ยังไง"นางมองไปรอบๆ และไม่กล้าเอาเรื่องซ่งซีซี ได้แต่ถามจี้เสิ่นว่านจือว่า "เจ้าเป็นคนเอาจดหมายหย่าออกมาใช่ไหม เจ้ามีความแค้นอะไรกับจวนอ๋องเยี่ยนของเรากัน กลับต้องการใช้จดหมายหย่าปลอมเพื่อยั่วยุพระชายา ส่งผลให้นางอาการกำเริบอีก"เสิ่นว่านจือพูดอย่างเย็นชา "ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร หากไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงไปตระกูลเสิ่นเพื่อสู่ขอข้าล่ะ อ๋องเยี่ยนและข้าไม่เคยเจอหน้าก
เซี่ยหรูหลิงปาดน้ำตาพลางเดินไปหาเซี่ยหลูโม่ กำลังเตรียมจะถาม แต่อ๋องเยี่ยนก็ตะโกนใส่เขาว่า "ไม่ได้ยินหรือว่า คนอื่นเขารังเกียจเราจะนำโชคร้ายให้ รีบกลับซะ!"น้ำตาของเซี่ยหรูหลิงร่วงหล่นอีกครั้ง เขายกมือไหว้ให้เซี่ยหลูโม่และซ่งซีซี รูปร่างที่เรียวยาวและผอมแห้งของเขาราวกับใบหลิวที่ปลิวไปตามสายลม จากนั้นก็เดินตามไปด้วยก้าวที่เดินโซเซพวกคุณชายและเสี้ยนจู่นั้นต่างก็สบถขึ้นมาเบาและจากไปพร้อมกัน ทว่ามีแต่ชายารองจินยังคงรักษาความสุภาพที่เหมาะสมได้ และไหว้ให้สนมฮุ่ยไทเฟย "ไทเฟยดูแลตัวเองให้ดีๆ ด้วย หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนเพคะ"เมื่อชายารองจินจากไป ยังมองไปที่เสิ่นว่านจืออยู่สักพัก ดวงตาของนางฉายแววอย่างมีเลศนัย เสิ่นว่านจือก็กลอกตามองบนใส่นางตรงๆสนมฮุ่ยไทเฟยอยู่ในภาวะสับสนตลอดเวลาเมื่อกี้นางยังคุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนานเลย และแต่ละคนดูสุภาพและปากหวานด้วย กลับเป็นคนเนรคุณเช่นนี้?เมื่อพระชายาอ๋องเยี่ยนสิ้นพระชนม์ มีเพียงเซี่ยหรูหลิงเท่านั้นที่ร้องไห้ และคนอื่นๆ ไม่แม้แต่มีความโศกเศร้าบนใบหน้าเลยด้วยซ้ำโดยเฉพาะเสี้ยนจู่ทั้งสองเป็นนั้นยังเป็นลูกทางสายเลือดของพระชายาอ๋องเยี่ยน กลับปล่อยให้เส
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็สวมชุดออกงาน ดูหรูหราและสง่างามเกินจะพรรณนาได้อยู่แล้วซ่งซีซีทาแป้งเขียนคิ้วเบาๆ เพื่อปกปิดใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง และยังปกปิดรอยฟกช้ำใต้ตาด้วย เพื่อไม่ให้คนอื่นมองเห็นความซีดเซียวของนางงานเลี้ยงของราชวงศ์ บอกว่าเป็นงานรวมญาติครอบครัว แต่ต้องปฏิบัติตามมารยาทและกฎเกณฑ์มากมายนางส่องกระจกจก หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความเจ็บปวดใจที่คนในครอบครัวเสียไปนางบอกตนเองว่านางชินแล้ว ชินแล้วก็ดีแล้ว ชินแล้วมันจะไม่อึดอัดใจขนาดนั้นบุคคลในกระจกนั้นสวมชุดหรูหรา และมวยสูง บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุกและหยก สร้อยคอที่ทำจากไข่มุกตงจูนั้นเปล่งประกายแวววาวและห้อยยาวอยู่ที่หน้าอกนี่คือสินเดิมที่อาจารย์มอบให้ ไข่มุกตงจูในหลายกล่องนั้นมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่บรรจุแย่งกล่องไว้ต่างหูยังเป็นไข่มุกตงจูซึ่งปกคลุมใบหูส่วนล่างทั้งหมด และความฟุ่มเฟือยนั้นก็ไม่อาจบรรยายได้ไฝ่ใต้ตาของนางงดงามมาก และดูเหมือนว่าเป็นคราบเลือดจุดหนึ่ง เผยให้เห็นรัศมีแห่งการฆาตกรรมนางลดคิ้วลงเพื่อปกปิดความโกรธอันรุนแรงที่ฉายออกมาในใจของนางเซี่ยหลูโม่เข้ามาจับมือนาง แล้วพูดเบ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง