คืนนั้น นอกจากอูโซเว่ย ทุกคนก็ไม่ได้นอนจริงๆ แล้วพวกเขาเหนื่อยมาก แต่ หมอมหัศจรรย์ดันบอกว่าคืนนี้สำคัญมาก ถ้าเขาผ่านคืนนี้ไปได้ อย่างน้อยมีโอกาสหนึ่งส่วนที่รอดชีวิตได้โอกาสหนึ่งส่วนนั้นน้อยมาก และทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นทุกข์ใจมากหมอมหัศจรรย์ดันหลับไปบนพื้น ต้องเดินทางอย่างเร่งด่วนมากตลอดทาง เขาเหนื่อยมากจริงๆส่วนหลานเชวี่ยและจินเชวี่ยผลัดกันเฝ้าดู เปลี่ยนเวรคนละชั่วยามคืนหนึ่ง ได้ป้อนยาห้าครั้ง จากแรกๆ ที่สามารถป้อนได้เพียงสองช้อนเล็กๆ เท่านั้น เมื่อถึงครั้งที่ห้าก็ป้อนได้ครึ่งชามแล้วค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกิน ทุกๆ ยามก็อยู่ทรมานมาก พวกเขาออกไปมองดูท้องฟ้านับครั้งไม่ถ้วน หวังว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในช่วงปลายยามโชว หมอมหัศจรรย์ดันลุกขึ้น หลังจากสัมผัสชีพจรแล้วจึงพ่นแป้งเข้าจมูกโดยบอกว่าเป็นยาลดไข้หมอมหัศจรรย์ดันมีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ และเขาดูซีดเซียวมาก ได้ยินจางซุนเหวินบอกว่า พวกเขาเดินทางอย่างเร่งด่วน ไม่กล้ารอช้าเลย ระหว่างทางในขณะที่เปลี่ยนม้านั้นได้พักที่โรงเตี้ยมมาหนึ่งชั่วยามกว่าจากนั้นก็เดินทางต่อ คนหนุ่มๆ ยังพอไหว แต่หมอมหัศจรรย์ดันก็อายุห้าสิบหกสิบแล้ว เขาจะไม่ไหวจริงๆก่อ
เมื่อถึงโรงเตี้ยม ลงจากเรถม้า หลี่จิ้งก็คุกเข่าลงกับพื้น เท้าของนางทั้งชาและอ่อนแรง นางหมดแรงแล้วจริงๆ ทนทุกข์มามากแล้วซ่งซีซีช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น นางพูดว่า "เร็วเข้า พาข้าไปหาเขาหน่อย"สิ่งที่ทรมานที่สุดสำหรับนางในระหว่างทางไม่ใช่อาการเมารถหรืออาการไม่สบายจากการกระแทก แต่เป็นความกังวล กังวลว่าอาการของเขาจะเกิดอะไนไม่คาดคิดซ่งซีซีประคองนางเข้าไป เซี่ยหลูโม่ก็เข้ามาหา ทั้งคู่มองหน้ากัน เซี่ยหลูโม่พยักหน้าให้นางซึ่งเป็นการบอกซ่งซีซีเป็นนัยๆ ว่าจางเลี่ยเหวินยังมีชีวิตอยู่ซ่งซีซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วมองดูเขาอย่างลึกซึ้ง ผอมแล้วนางช่วยพยุงหลี่จิ้งขึ้นบันไดหินแล้วเดินไปที่ประตูห้องพัก ทุกคนขยับออกไปให้พ้นทาง หลี่จิ้งยืนอยู่ที่ประตูและเห็นคนนอนอยู่บนเตียงนางไม่ก้าวไปข้างหน้า ปิดปากด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำตาพร่ามัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกลงไปเป็นหยดใหญ่เมื่อทุกคนคิดว่านางจะร้องไห้จนสติแตก แต่คิดไม่ถึงว่านางปาดน้ำตาออก ปาดให้สะอาด หลังจากพยายามหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถบีบรอยยิ้มที่สั่นเทาเล็กน้อยออกมาแล้วเดินไปหาสามีของนางนางนั่งอยู่บนขอบเตียงและจ้องมองใบหน้าของเขาก่อน หลังจ
เซี่ยหลูโม่ส่ายหัว น้ำเสียงของเขายังคงตื่นเต้น "ไม่ใช่ ชีซื่อไม่ใช่คนๆ เดียว และไม่ใช่เจ้าสิบเอ็ดฝาง แต่เป็นสิบเอ็ดคน... เดี๋ยว คนนั้นคือใคร?"ทันใดนั้นเขาก็เห็นม้าตัวหนึ่งเดินไปมาข้างนอก มีคนนอนอยู่บนหลังม้า ผมยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าเป็นใครซ่งซีซีคร่ำครวญเสียงหนึ่งและรีบเข้าไป "คือจือจือ นางป่วยมาตลอดทาง และข้าก็ลืมนางไปเสียสนิทแล้ว"นางช่วยพยุงเสิ่นว่านจือลงมาอย่างระมัดระวัง ตอนที่ลงมาจากม้านั้นเสิ่นว่านจือก็เช่นเดียวกับหลี่จิ้ง เกือบจะคุกเข่าลงกับพื้น แต่นางยังคงสาปแช่ง "ไอ้คนใจร้าย ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามาตลอดทาง เจ้ากลับลืมข้าไป รอให้ข้าหายดีคอยอยู่ว่าข้าจะเอาคืนเจ้ายังไง"นางพิงไหล่ของซ่งซีซ โดยไม่มีแรงใดๆ อีก ซ่งซีซีกล่าวขอโทษ "มันเป็นความผิดของข้า เข้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็รีบร้อนที่จะพาหลี่จิ้งไปหาจางเลี่ยเหวินไง"เสิ่นว่านจือไม่มีแรงไปดุนาง และรีบถามว่า "เขาเป็นยังไงบ้าง ยังดีอยู่ไหม เฮอะ ข้าก็อยากไปดูพวกเขาสองสามีภรรยารวมตัวกันอย่างมีความสุขนี่ แต่ไม่ได้การ แม่ทัพจางได้รับบาดเจ็บและข้าเป็นหวัด ข้าเข้าไปไม่ได้""อาการของเขาไม่ค่อยดีนัก แต่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะรักษาเขาให้หา
หลังจากนั้นไม่นาน จางไท่ก็ถามว่า "แล้วภรรยาของข้าล่ะ?"ตอนที่เขาออกเดินทางไปออกศึก เขาแต่งงานได้เพียงครึ่งปีเท่านั้นเสิ่นว่านจือรู้จักนายน้อยสามของตระกูลจาง จากนั้นพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ "นางแต่งงานใหม่แล้ว"จางไท่ไม่สามารถซ่อนความผิดหวังได้ แต่ก็ยังถามอีกว่า "นางเป็นยังไงบ้าง"เสิ่นว่านจือส่ายหัว "ไม่รู้เลย ไม่ได้ถาม"จางไท่มีน้ำตาไหลออกมา "ข้าทำผิดต่อนาง ข้าทำผิดต่อนางจริงๆ"หลูหงก็ถามว่า "คุณหนูเสิ่น ไม่ทราบว่าภรรยาของข้า... "พ่อของหลูหงเป็นลูกน้องของซ่งฮวยอัน เขามาออกศึกที่เขตหนานเจียงพร้อมกับท่านพ่อ พ่อของเขาเสียชีวิตก่อน ต่อมาเขาถูกจับเสิ่นว่านจือไม่ทราบสถานการณ์ของตระกูลลู่ เพราะหงเซียวไม่ได้สอบสวนมาก่อนแต่ซ่งซีซีกลับรู้เรื่องตระกูลลู่ นางพูดว่า "ภรรยาของเจ้าป่วยหนักเมื่อสองปีก่อน และหมอมหัศจรรย์ดันเป็นคนรักษาให้หายดี แต่ท่านแม่ของเจ้าเพราะท่านพ่อเจ้าและเจ้าได้...นางเสียใจมากเกินไปเลยส่งผลต่อจิตใจ บัดนี้คงจำคนไม่ค่อยได้ จินเชวี่ยเป็นคนไปรักษา เรื่องรายละเอียดเจ้าไปถามจินเชวี่ยได้"หลูหงปิดหน้าด้วยมือของเขา รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งฉีฟางไม่ได้ถาม เพราะเขารู้เรื่องนี้
สนมฮุ่ยไทเฟยเพิ่งออกไปได้สักพัก จักรพรรดิ์ซูชิงก็มาถึง หลังจากคุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อกราบไหว้ จากนั้นไทเฮาก็มอบกระดาษให้เขา "เมื่อคืนซีซีออกไปนอกเมือง และสั่งให้เสด็จน้าของเจ้ามาส่งกระดาษนี้มาให้เพื่อรายงานกับเจ้า"จักรพรรดิ์ซูชิงมองดูมันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "นางออกจากเมืองท่ามกลางดึกย่มมีเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้าสิ"ไทเฮาตรัสว่า "นางเป็นสตรี ออกจากเมืองหลวงกลางดึกพร้อมป้ายรองผู้บัญชาการ แน่นอนว่าต้องการแจ้งให้เจ้าทราบ"จักรพรรดิ์ซูชิงตอบรับอืมด้วยความกังวล "หวังว่าจางเลี่ยเหวินจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ที่แท้ชีซื่อก็คือเขา จะว่าไปจวนโหวเซวียนผิงก็ยังเป็นตระกูลทหารนี่น่ะ แม้ว่าลูกหลานของพวกเขาในสองชั่วอายุคนจะเลือกเส้นทางเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นส่วนมาก แต่มักจะมีคนสองคนยังสืบทอดศักดิ์ศรีและความดื้อรั้นของแม่ทัพไว้บ้างไทเฮามองดูเขาและอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เลือกจะไม่พูด คำบางคำที่นางพูดออกไปอาจทำให้บุตรชายคนนี้ยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นจดหมายของหวังเบียวถูกส่งไปยังโต๊ะเสนาบดี โดยบอกว่าเป่ยหมิงอ๋องหายตัวไปหลังจากมาถึงซีม่อน เสนาบดีมู่เก็บจดหมายนั้นไว้ เป่ยหมิงอ๋องไปทำอะไรที่ซ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกงุนงง แต่ก็เชิญเสนาบดีมู่ไปที่ห้องโถงด้านหลังซึ่งให้บริการด้วยน้ำชาเสนาบดีมู่ยิ้ม ซึ่งทำให้เจ้ากรมฉินรู้สึกโล่งใจ "ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีมีเรื่องส่วนตัวอะไรจะพูดกับข้าหรือ""ขอแสดงความยินดี" เสนาบดีมู่วางถ้วยชาลงแล้วมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเรื่องนี้ควรพูดมาเร็วๆ แต่ความประหลาดใจนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และกลัวว่าเจ้ากรมฉินจะรับไม่ได้กับเรื่องน่ายินดีนี้ในชั่วขณะ ดังนั้นเขาจึงพูดช้าๆ"แสดงความยินดี?" เจ้ากรมฉินยิ่งสับสน เขาซึ่งเป็นเจ้ากรมกระทรวงพิธีการแล้ว ไม่น่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปได้อีกแล้ว "ขอถามท่านเสนาบดี ยินดีเรื่องอะไรหรือ"เสนาบดีมู่กล่าวว่า "คิดว่าทำของหายแต่สุดไม่ได้หาย"เจ้ากรมฉินยิ่งสับสนมากขึ้น "คิดว่าทำของหายแต่สุดไม่ได้หาย ข้าไม่ได้ทำของหายในช่วงนี้ขอรับ""ฮ่องเต้มีพระราชกฤษฎีกาให้กระทรวงพิธีการเตรียมต้อนรับวีรบุรุษจากเขตหนานเจียง วีรบุรุษสองคนในนั้นมาจากตระกูลฉินของเจ้า"หัวใจของเจ้ากรมฉินโดนกระแทกแรง ใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และเขาหายใจเข้าลึกๆ "คือ...คือพบศพของลูกข้าได้แล้วหรือ?"เสนาบดีมู่เหลือบมองเขา "ศพอะไรกัน คนเป็นนี่น่ะ คุณชายสองคนจากตระกูลฉิ
ในเวลานี้เองที่จวนป๋อผิงซีได้รับจดหมายจากหวังเบียวจดหมายส่งถึงฮูหยินป๋อผิงซีนางจี หลังจากนางอ่านแล้ว ก็นำจดหมายไปหาแม่และสองสามีภรรยาหวังเชียงหวังเชียงเป็นน้องชายของหวังเบียว เขาทำงานในกระทรวงโยธาธิการ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดี อย่างไรก็ตามเขาอยู่ในตำแหน่งนี้มาสี่ปีแล้วแต่ก็ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใดๆนางหลาน ฮูหยินของหวังเชียงเป็นลูกสาวของพ่อค้า ถือได้แต่งงานเข้าตระกูลชั้นสูงแล้ว ในอดีตหวังชิงหลูไม่ชอบพี่สะใภ้รองคนนี้มา รังเกียจนางรู้แต่เรื่องเงินทองเท่านั้นหลังจากอ่านจดหมายแล้ว สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีเปลี่ยนไป "ลูกเขยยังมีชีวิตอยู่หรือ และได้สร้างผลงานด้วย นี่…"นางจีเตือนว่า "ท่านแม่ บัดนี้จะเรียกลูกเขยไม่ได้อีกแล้ว"ฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีถอนหายใจ "พูดหลุดปากไป เขายังมีชีวิตอยู่ คิดไม่ถึงเลย"หวังเชียงอ่านจดหมายและพูดว่า "ท่านแม่ พี่สะใภ้ นี่เป็นสิ่งที่ดี เราควรดีใจ ถึงยังไงการมีชีวิตอยู่ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น""มันคุ้มค่าที่จะมีความสุข" ใบหน้าของนางจีแสดงความเมตตา "วันนั้นที่เจ้าสิบเอ็ดเสียชีวิต และแม่สามีของ... เฮอะ แม้แต่ข้าก็เรียกผิดเสมอ ฮูหยินผู้เฒ่ารองของตระกู
ฝนตกปรอยๆ มาหลายวันแล้ว หวังชิงหลูลงจากรถม้าด้วยความใจลอยและเหยียบลงบนแอ่งน้ำ ทำให้รองเท้าอันนุ่มของนางเปียกจนชุ่ม"ฮูหยิน!" สาวน้อยที่เพิ่งซื้อมาชื่อหงเอ๋อร์ นางซุ่มซ่ามไม่รู้จักกฎเกณฑ์ใดๆ เลย "ขอโทษจริงๆ ข้าน้อยไม่ได้ช่วยพยุงท่านให้ดี"หวังชิงหลูสะบัดมือของนางออกไปแล้วตะโกน "แค่ติดตามข้ามาก็พอ"หงเอ๋อร์ติดตามนางอย่างหวาดกลัว เพราะเพิ่งซื้อมาได้ไม่นานและยังไม่ได้อบรมสั่นสอนกฎให้ดี ดังนั้นเมื่อเข้าไปในจวนป๋อผิงซี เมื่อเห็นว่าจวนป๋อหรูหรากว่าจวนแม่ทัพมาก ก็อดไม่ได้มอบออกไปทุกที่หวังชิงหลูดูถูกท่าทางที่นางไม่เคยเห็นลูกมาก่อนมากที่สุด "แค่เดินตามข้าให้ดีๆ เจ้ามองไปทุกที่ไปทำไม?"แม่ยายข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม "คุณหนูสาม จะไปอารมณ์เสียกับสาวน้อยทำไมล่ะ คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะแค่ค่อยๆ สั่งสอนก็ได้แล้วนี่ อย่าเสียท่าเพราะนางเลยเจ้าค่ะ"หวังชิงหลูจัดทรงผมให้เรียบร้อยอีกครั้ง และรู้ว่าแม่ยายคนนี้กำลังเตือนนางอย่าหัวเสีย เดี๋ยวโดนคนอื่นว่าไร้ความอบรมสั่งสอนแต่ในจวนแม่ทัพ จะไม่สามารถอยู่รอดได้หากมีความอบรมสั่งสอนนางไม่รู้ว่าตนเองตกลงไปในหล่มอะไรมา กลับให้นางสูญเสียศัก
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา