วันรุ่งขึ้น จ้านเป่ยชิงไปร้านขายยาเย่าหวังเพื่อรับนางหมิน ผู้คนที่ร้านขายยาเย่าหวังไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป เขาจึงยืนข้างนอกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามนางหมินทานอาหารเงียบๆ ที่สวนหลังบ้านของร้านขายยาเย่าหวัง และดื่มชาช้าๆ สักหม้อ นางเงยหน้าขึ้นมองดูหงเชวี่ย "ข้าไม่ได้ทานอาหารสบายๆ แบบนี้มานานแล้ว"หงเชวี่ยกล่าวว่า "ถ้าเจ้าต้องการ คืนนี้เจ้าก็สามารถทานอาหารสบายๆ ได้ ในอนาคตก็ทำได้ ร้านขายยาเย่าหวังจะไม่ขับไล่เจ้าออกไปไหน"นางหมินมองดูใบชาอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นและพูดว่า "ข้าจะกลับไปกับเขา"หงเชวี่ยกล่าวว่า "เจ้าคิดดีหรือยัง เจ้าต้องคิดให้ดีๆ กลับไปตอนนี้กลัวว่าพวกเขาจะเล่นงานเจ้าเช่นเดิมนะ""ยังไงข้าก็ต้องกลับไป" ดวงตาของนางหมินแดงเล็กน้อย แต่ยังคงยิ้มเล็กน้อย "หมอหงเชวี่ย ขอบคุณท่านมาก""ไม่ต้องเกรงใจเลย เขาอยู่ข้างนอก ข้าจะเตรียมยาให้เจ้านำกลับด้วย กรุณารอสักครู่""ไม่ต้องหรอก ข้าม่จำเป็นต้องกินยาอีก ข้าสบายดี" นางหมินเดินออกไปแล้วเดินไปที่ซุ้มประตูแล้วหันกลับมายิ้มให้หงเชวี่ย "ข้าชื่อหมินซู่เจิน"หงเชวี่ยสะดุ้ง "โอ้ ซู่เจิน ชื่อเพราะจัง""ใช่ ชื่อมันเพราะ แต่ไม่มีใครเรียกมันมานา
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านนอนอยู่บนที่นั่งนุ่นๆ สายตาเย็นชา จากนั้นพ่นคำพูดที่ไม่แยแสว่า "คุกเข่าลง!"นางหมินคุกเข่าลง จากนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ตบไปที่แก้มนาง แล้วตามด้วยคำสาปอันเลวร้าย "ทำไมไม่ตายอยู่ไปข้างนอกล่ะ แล้วกลับมาทำไม กล้าขู่ข้าด้วยฆ่าตัวตาย ข้าว่าเจ้าปีกกล้าขาแข็ง กล้ามากจริงๆ สินะ"ป้าซุนพูดโน้มน้าวว่า "ฮูหยินผู้เฒ่าใจเย็นๆ ก่อน ฮูหยินใหญ่สำนึกผิดแล้ว ช่างมันแถอะ อย่าทำให้สุขภาพตนเองเป็นอะไรไปเพราะความโกรธแบบนี้นะ"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านหยิบถ้วยจากโต๊ะข้างๆ แล้วทุบหัวนางหมิน "ตอนนี้นางรู้จักสำนึกผิดแล้วเหรอ ตอนที่ก่อเรื่องนั้นทไไมไม่สำนึกผิด ทำเอาชื่อเสียงของจวนแม่ทัพของเราเสียหายไปหมด ออกไปเดี๋ยวนี้ ให้คุกเข่าที่หน้าประตูลานจนถึงพรุ่งนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้าลุกขึ้น"ถ้วยชากระทบพื้นเสียงดัง และชาอุ่นๆ ก็ตกลงมาจากหน้าผากของนางหมินพร้อมกับเลือด เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ ป้าซุนก็อุทานออกมา "เอาล่ะ เอาล่ะ ฮูหยินใหญ่ออกไปคุกเข่าข้างนอกเถอะ อย่ามาขัดหูขัดตาฮูหยินผู้เฒ่าที่นี่อีก"เดิมทีป้าซุนก็มีเจตนาดีเช่นกัน และอยากจะให้นางออกไปโดยเร็วเผื่อเดี๋ยวถูกทุบตีอีกนางหมินยืนขึ้นเงียบๆ และเดิน
จ้านเป่ยชิงรับปากจ้านเป่ยชิงแล้ว แต่เขายังคงคงดื้อรั้นและคิดว่านางหมินต้องได้รับการอภัยจากท่านแม่ก่อนตอนนี้เขาก็คิดตกแล้ว จริงๆ แล้วท่านทำแบบนี้ก็ไม่ผิด เอะอะโวยวายก็จะเอาความตายมาข่มขู่ มีครั้งแรกก็จะมีครั้งที่สอง ต้องให้นางตัดความคิดนี้ทิ้งโดยแท้จริง จะใจแข็งหน่อยไม่ไปสนใจนางคืนนี้อุณหภูมิลดลง อากาศหนาวมาก นางหมินคุกเข่ามาครึ่งวันก็เหมือนรูปปั้นไม่ขยับเขยื้อนป้าซุนสวมเสื้อคลุมให้นาง จากนั้นก็เข้าไปในห้องเพื่อพูดเกลี้ยกล่อม แต่ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิเสธและยืนกรานที่ให้นางคุกเข่าจนถึงวันพรุ่งนี้"ถ้าไม่ลงโทษนางให้กนักๆ แล้วนางจะสำนึกผิดได้ยังไง" ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างเย็นชา"เพียงแต่มันหนาวมากจริงๆ ฮูหยินใหญ่ยังลงไปในแม่น้ำร่างกายไม่ไหวแน่ๆ กลัวว่าจะเป็นอะไรขึ้นมาได้"น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่แยแส เต็มไปด้วยความเกลียดชังและการข่มขู่ "ห้ามพูดอะไรอีก ปิดประตู หากใครกล้ามาขอความเมตตาอีก พรุ่งนี้ก็ให้คุกเข่าต่อไป"ป้าซุนไม่กล้าชักชวนอีกต่อไป ได้แต่แอบออกไปเติมเสื้อผ้าอีกชิ้นให้นางหมิน จากนั้นจึงสั่งให้สาวใช้ออกไปและเข้าไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องตื่นขึ้นทำเรื่องส่วนตัวสองหร
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านตื่นขึ้น ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่เพดาน และภาพที่นางหมินแขวนอยู่นอกประตูก็ยังคงปรากฏในหัวของนาง นางรู้สึกขนลุกจากนั้นก็แน่นหน้าอกขึ้นมา"นังสารเลว!" ผ่านไปพักใหญ่ นางถึงสาปแช่งด้วยความโกรธ "นังสารเลวที่ไม่รู้จักบุญคุณเลย"ป้าซุนร้องไห้หนักมากและเสียใจที่ไม่ได้ออกไปดูสักหน่อย ถ้าออกไปเร็วกว่านั้นคงทันเวลาที่ช่วยชีวิตนางนางรู้สึกอึดอัดใจถึงที่สุดแล้ว เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าด่าแบบนี้ ก็อดช่วยพูแทนนางหมินไม่ได้ด้วยเสียงแผ่วเบา "ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ว่ายังไงฮูหยินใหญ่ก็เคยดูแลท่านมา ถือว่าเต็มที่แล้ว ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว อย่าด่าเลย"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านพูดด้วยอารมณ์ปรี๊ดแตก "ทำไมจะไม่ด่า หากจะตายก็ตายไปไกลๆ เลย มาตายต่อหน้าห้องข้าแบบนี้คิดจะมาหาเรื่องผู้ใด"หลังจากที่นางด่าเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ "ไม่นึกเลยว่านางเป็นคนใจร้ายแบบนี้ นางแขวนคอตายที่ประตูบ้านของข้า นั่นไม่เท่ากับว่าข้าเป็นคนร้ายกาจหรือ มันทำให้ข้าเสียชื่อเลย หากเจ้าสามจะหาคู่ครองก็ยากแล้ว ทำไมโชคชะตาของข้าจะไม่ดีเช่นนี้ ที่บ้านเจอแต่คนแบบนี้หมด""ตายแล้ว ชื่อเสียงของจวนแม่ทัพของเราเสียหายไปหมดแล้ว ม
แม้ว่าบอกว่าฆ่าตัวตาย แต่สำนักเขตจิงจ้าวยังคงต้องการสอบสวนว่ามีใครบางคนจงใจฆ่านางหรือไม่จ้านกังทำงานในสำนักเขตจิงจ้าว แต่คดีนี้เกี่ยวข้องกับจวนแม่ทัพ และเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีนี้ได้ขงหยาง เจ้าสำนักเขตจิงจ้าวส่งคนไปสอบถาม นางหมินในปากของทุกคนมันแตกต่างกันหวังชิงหลูบอกว่านางเห็นแก่ตัวและเกียจคร้านจ้านเป่ยว่างกล่าวว่านางมีน้ำใจมีเหตุผลฮูหยินผู้เฒ่าจ้านด่านางตรงๆ ว่าเป็นผู้หญิงร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ไม่ได้เรื่อง ทำลายชื่อเสียงของจวนแม่ทัพเป็นเรื่องหายากเลยที่ยี่ฝางออกจากเรืองมงคล แต่แค่กล่าวว่า มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยคนรับใช้บอกว่านางใจดี แต่ก็อ่อนแอและถูกรังแกได้ง่ายฮูหยินผู้เฒ่ารองพูดพลางร้องไห้ว่านางเป็นคนน่าสงสาร นางไม่มีทางเลือกแล้วมีเพียงจ้านเป่ยชิง สามีของนางเท่านั้นที่ไม่สามารถบอกได้ว่านางเป็นคนแบบไหนเขาคิดอยู่นานแต่ก็แค่นึกถึงรูปร่างหน้าตาของนางหมินเท่านั้น ทุกครั้งที่เขากลับบ้านอย่างเมามายจากงานสังสรรค์ นางจะคอยดูแลตนเองอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร ไม่น่าสนใจ ทื่อๆ และน่าเบื่อเนื่องจากนางเองเคยกระโดดลงไปในแม่น้ำ ดังนั้นหลังจากการสอบสวนได้สรุปว่า เป็นเพราะโ
หลังจากนางหมินไม่อยู่แล้ว หวังชิงหลูก็ต้องดูแลเรื่องงานบ้านงานเรือนต่อไป แต่ไม่มีเงินในบัญชี นางก็ไม่อยากใช้ทรัพย์สินส่วนตัวมาอุดหนุน ดังนั้นไม่อยากรับภาระนี้ เลยไปบ้านรองเพื่อตามหาฮูหยินผู้เฒ่ารอง จากนั้นโยนป้ายบนโต๊ะแล้วบอกว่าให้นางมาดูแลบ้านในอนาคตฮูหยินผู้เฒ่ารองกำลังเสียใจกับการตายของนางหมิน เมื่อเห็นการกระทำของหวังชิงหลู ก็โกรธมากจนโยนป้ายกลับไปให้นางทันที และตรงไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า "ข้าต้องการแยกบ้าน"ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านโกรธเคืองมาก "ตอนนี้ที่คนนอกมานินทาและหัวเราะเยาะจวนแม่ทัพของเรายังไม่มากพอหรือไง มาแยกในเวลานี้ จะให้คนนอกมานินทาอะไรอีก""มันเป็นกรรมที่พวกเจ้าก่อไว้ ทำไมให้ข้าโดนด่ากับพวกเจ้า แยกบ้าน ให้ผู้ชายกลับมาคืนนี้มานั่งหารือกัน จะแบ่งแยกให้ตามข้อตกลงเลย""นี่ไร้เหตุผลจริงๆ มาแยกบ้านตอนนี้ได้ยังไง ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ที่ดินบ้านไร่ก็ไม่มี มีแต่จวนแม่ทัพที่ว่างเปล่า จะแบางยังไง""สร้างกำแพงเพื่อแยกออก แล้วข้าจะทำประตูเอง" ฮูหยินผู้เฒ่ารองแสดงท่าทีแข็งกร้าวในครั้งนี้และจะไม่มีทางอ่อนข้อให้"เจ้าเป็นบ้าหรือไง บ้านรองอย่างเจ้าทั้งไร้ความสามารถและไม่มีเส้นสาย แยก
หวังชิงหลูส่งเสียง "อ๊า" ในปาก รีบหลบชามยาที่ฮูหยินผู้เฒ่าขว้างใส่นาง และนางก็ล้มกระแทกกับพื้น เดิมทีท้องน้อยได้ปวดจี๊ดๆ อยู่แล้วเพราะยุ่งกับเรื่องมากมายในหลายวันที่ผ่านมา พอล้มกับพื้นในคราวนี้ ทำให้นางเลือดออกเลยเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจ้านเห็นเช่นนั้นก็ตกใจมากป้าซุนรีบเรียกคนใช้มาส่งหวังชิงหลูกลับไปที่เรือนเหวินซี แล้วส่งคนไปตามหาหมอและผดุงครรภ์จ้านเป่ยว่างถูกเรียกกลับมาอย่างเร่งด่วน หมอและผดุงครรภ์ก็มาถึงแล้วทารกในท้องมีอายุครรภ์ไม่ครบเวลา และตำแหน่งของทารกในครรภ์ก็ผิดปกติ บวกกับล้มลงทำให้มีเลือดออกและน้ำคร่ำแตก เมื่อผดุงครรภ์เห็นสถานการณ์แบบนี้ก็เหงื่อออกทั้งหน้าผากนอกห้องคลอด จ้านเป่ยว่างเป็นกังวลมาก นี่เป็นลูกคนแรกของเขา และเขาเป็นพ่อคนเป็นครั้งแรก ดังนั้นในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังเสมอเพราะเด็กคนนี้ เขาจึงอดทนหลายสิ่งหลายอย่างที่หวังชิงหลูทำ ไม่อารมณ์เสียใส่นางหรือทะเลาะกับนาง แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงเวลาสำคัญนี้หมอเป็นสูตินรีแพทย์ชื่อดังในเมืองหลวง ขั้นแรกเขาตรวจชีพจรแล้วถอยกลับหลังฉากกันห้องเพื่อให้คำแนะนำ ทว่าสถานการณ์นี้รับมือยากจริง
จ้านเป่ยว่างปกปิดไม่ได้ ได้แต่พูดตามความจริง "นางเถียงกับท่านแม่ไปกี่คำ และท่านแม่ใช้ชามไปขว้างใส่นาง นาเลยล้มลง..."ฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีเกือบจะหายใจไม่ออกเลย นางพยายางทรงตัว "อะไรนะ แม่ของเจ้าเอาของขว้างใส่นางเหรอ?"จ้านเป่ยว่างทำหน้าอับอาย "ท่านแม่ยาย เรื่องนี้เป็นความผิดของท่านแม่ข้า แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการช่วยชีวิตชิงหลู หมอบอกว่าชิงหลูเคยแท้งมาก่อน และมดลูกได้รับเสียหายจึงมีเลือดออกได้ง่าย ตอนนี้เลือดออกรุนแรงมาก จึงต้องดึงเด็กออกมาและใช้ยาห้ามเลือดเพื่อห้ามเลือดไว้"ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่าป๋อผิงซีแข็งค้างทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเขาเขารู้แล้วหรือ?นางจีกล่าวว่า "อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า เอาตามที่หมอบอกเลย""หมอบอกว่า" จ้านเป่ยว่างกังวลมาก "ให้ไปตามหาหมอมหัศจรรย์ดันมา แต่ตอนนี้ก็มืดแล้ว และหมอมหัศจรรย์ดันอาจไม่อยู่ในร้านขายยาเย่าหวัง ดังนั้นเราจึงใช้วิธีของเขาเท่านั้น"หมอได้เตรียมผงห้ามเลือดแล้ว นางจีเดินตามเข้าไป และเห็นหวังชิงหลูเหมือนกับเพิ่งออกมาจากแม่น้ำ เปียกโชกไปที่ทั้งตัวใบหน้าของนางซีดเซียวและแววตาก็ว่างเปล่า การทร
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง