เขาเรียกเถ้าแก่ร้านร้อยสมบัติมา ให้ลูกน้องของเขามาตรวจสอบราคาทีละชิ้นหลังจากตรวจนับออกมาทีละหีบๆ แล้ว เขาพบว่าที่แท้ท่านแม่ยังซ่อนแท่งทองคำ และเครื่องประดับล้ำค่าอีกมากมายไว้แม่นมบอกเขาว่า บางส่วนเป็นสินสอดของท่านแม่ของเขา และบางส่วนเป็นท่านย่าของเขาทิ้งไว้ เพราะไม่ได้แยกครอบครัว เลยไม่แบ่งให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเรือนรอง และมีบางส่วนที่ซ่งซีซีมอบให้ ตอนที่ซ่งซีซีหย่า ของเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ โชคดีที่ซ่งซีซีก็ไม่ถามจ้านเป่ยว่างให้แม่นมเลือกของที่เป็นของซ่งซีซีมอบให้ออกมา หลังจากเลือกออกมาแล้วก็คืนให้กับนางแม่นมถอนหายใจ "จริงๆ แล้วคืนให้กับนาง นางก็ไม่มีทางรับ ก็มอบให้กับฮูหยินผู้เฒ่ารองดีกว่า ยังไงแล้วนางกับฮูหยินผู้เฒ่ารองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน""นางมอบให้กับอาสะใภ้รองก็เป็นเรื่องของนาง แต่เราไม่สามารถตัดสินใจแทนนาง" จ้านเป่ยว่างคิดแบบนี้เรื่องนี้หวังชิงหลูไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะนางโลภเงินหรือเครื่องประดับเหล่านั้น แต่เป็นเพราะนางไม่อยากเกี่ยวข้องกับใครในจวนอ๋องอีกแล้วจริง ๆยังไงแล้วซ่งซีซีก็ไม่ได้เอาไป ถ้าอย่างนั้นก็ขายทิ้งไม่ก็นำไปจำนำ ขายไปได้เงินมาเท่าไหร่ยังไงก็มอบให้กั
คนที่มาก็คือคุณชายอู๋เซี่ยงจากจวนอ๋องเยี่ยน เพียงแต่ว่าการแต่งกายของเขาไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ในจวนอ๋อง แม้กระทั่งใบหน้ายังแตกต่างออกไปเขาก้าวไปข้างหน้า ทำการไหว้พลางกล่าวว่า "เรื่องท่านแม่และพี่สะใภ้ของใต้เท้าจ้าน ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ขอแสดงความเสียใจด้วยขอรับ"ถึงยังไงก็เป็นแค่คนแปลกหน้า จ้านเป่ยว่างจึงยังคงรักษาระยะห่างเอาไว้ "ขอบคุณ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกตัวตน งั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน"อู๋เซี่ยงกล่าวว่า "ใต้เท้าจ้าน ข้าแซ่ว่าน และเป็นผู้ดูแลจวนจากจวนอ๋องฮวย พระชายาอ๋องฮวยสั่งให้ข้ามาเยี่ยมท่าน แต่เนื่องจากท่านเคยมีเรื่องกับซ่งซีซี หลานสาวของพระชายาอ๋องฮวย ดังนั้นจึงไม่กล้าไปเยี่ยมที่บ้านอย่างกะทันหัน"จ้านเป่ยว่างไม่ค่อยได้พบผู้คนมากมายจากจวนอ๋องฮวย แต่เขาก็รู้ด้วยว่ามีพ่อบ้านแซ่ว่านอยู่ในจวนอ๋องฮวย ซึ่งอาจเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วแต่เขามีท่าทางค่อนข้างสง่างาม ดูไม่เหมือนคนที่รับผิดกิจการต่างๆ ของจวน แต่เหมือนนักวิชาการมากกว่า ทว่าในเมื่อเป็นคนของจวนอ๋อง งั้นก็ย่อมเรียนหนังสือมาก่อนเขาไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องฮวยจะส่งคนมาทักทายเขา และก็เกิดความรู้สึกซับซ้อน "ขอบคุณน้ำใจของพระชายา
จริงๆ แล้วจ้านเป่ยว่างไม่แปลกใจเลย แม้ว่าเขาเป็นผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์มาไม่นาน แต่ฝ่าบาทมีความตั้งใจที่จะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาเป็นของตน เขารู้สึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้โง่ฝ่าบาทเกรงกลัวเป่ยหมิงอ๋อง แล้วเขาจะปล่อยให้ซ่งซีซีดูแลเรื่องความปลอดภัยต่อหน้าฮ่องเต้ทั้งหมดแม้กระทั่งความปลอดภัยของบริเวณโดยรอบพระองค์ได้อย่างไรเขายิ้มอย่างขมขื่น "งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าเสียแม่ไปจริงๆ และต้องไว้ทุกข์ด้วย"อู๋เซี่ยงยิ้ม รินชาให้เขาด้วยตัวเอง และพูดเบาๆ ว่า "ท่านอ๋องสามารถช่วยท่านได้นะ"จ้านเป่ยว่างตกตะลึงเล็กน้อย อ๋องฮวยแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดเลยในเมืองหลวง แล้วจะช่วยเขาได้อย่างไร?อีกอย่างเพียงเพราะความรู้สึกผิดที่อาจไม่มีอยู่จริงงั้นเหรอ? แม้ว่าจะรู้สึกผิด แต่ก็เป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อซ่งซีซี แล้วจะรู้สึกผิดต่อเขาได้อย่างไร?เขาไม่ได้โง่ยังไม่พูดถึงอ๋องฮวยมีความสามารถที่จะช่วยเขาได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะทำได้ สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ถ้าเขาช่วยตนเองได้จริงๆ งั้นตนเองก็กลายเป็นคนที่รับคำสั่งจากเขาในอนาคต"พ่อบ้านว่าน สำหรับข้าต้องไว้ทุกข์เพราะข้าเสียแม่ไป นี่เป็นกฏระเบียบที
จ้านเป่ยว่างมองดูกลิ่นอายแห่งการสมรู้ร่วมคิดที่เปล่งออกมาจากดวงตาลึกๆ ของเขา และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาไปหมด คดีกบฏขององค์หญิงใหญ่ยังไม่ปิดคดี ก็กล้าที่จะปลูกฝังเส้นสายไปอยู่เคียงข้างฝ่าบาทงั้นเหรอ? อ๋องฮวยขี้ขลาดจริงหรือ? เขาต้องการทำอะไรกันแน่?เขารู้จักตนเองเป็นอย่างดี จะเป็นคนตีสองหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นคนตีสองหน้าต่อหน้าฮ่องเต้ แม้แต่มีชีวิตสิบชีวิตยังไม่มากพอให้ถูกลงโทษได้เขาลุกขึ้นยืนในทันที โค้งคำนับและยกมือขึ้น "พ่อบ้านว่าน ที่บ้านยังมีธุระ ข้าขอตัวก่อน"หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับจากไปอู๋เซี่ยงมองดูแผ่นหลังของเขาด้วยความประหลาดใจ และสีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังขึ้น หรือว่าเขามองคนผิดไปแล้วเหรอ คนคนนี้ไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยเลยเหรอ? เขารู้ไหมว่าการดำรงตำแหน่งผู้นำองครักษ์รักษาพระองค์มันหมายความว่าอย่างไร? นั่นมันคนสนิทของฝ่าบาท ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าขุนนางระดับชั้นสองเสียอีกเขาต้องมีความทะเยอทะยานแน่ๆ ก่อนที่จะมาหาเขาก็ได้สืบสวนข้อมูลของอีกฝ่ายมา เขาอยากจะให้จวนแม่ทัพกลับมาสู่จุดสูงสุดเป็นอย่างมาก นี่เกือบจะเป็นเป้าหมายของครอบครัวพวกเข
สองวันต่อมา เสิ่นชิงเหอมาหาเซี่ยหลูโม่พร้อมกับจดหมายนกพิราบบินที่มาจากผิงหวูจูง ใบหน้าเคร่งขรึม "ฮ่องเต้เมืองซีจิงจะส่งทูตมายังแคว้นซาง อีกประเดี๋ยวพระราชสาส์นตราตั้งจะมาถึง"ใบหน้าของเซี่ยหลูโม่มืดทะมึน สิ่งที่จะมา จะช้าจะเร็วก็ต้องมาก่อนเดือนแรกของเดือนจันทรคติจะหมดไป จักรพรรดิ์ซูชิงประกาศว่าจะแยกองครักษ์รักษาพระองค์ออกมาจากกองทัพซวนเจีย และจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของซ่งซีซี ส่วนผู้นำขององครักษ์รักษาพระองค์ยังคงเป็นจ้านเป่ยว่างจ้านเป่ยว่างไม่อยากจะเชื่อเลย เขาจำการพบกับพ่อบ้านว่านจากจวนอ๋องฮวยในวันนั้นได้ และแอบสงสัยในใจว่าหรือว่าเป็นเพราะทางจวนอ๋องฮวยช่วยเขาจริงๆ เหรอแต่ถ้าเป็นจวนอ๋องฮวย งั้นเรื่องที่เขากลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมกลับเต็มไปด้วยอันตรายเขาไม่มีผู้ใดให้ปรึกษาได้ ดังนั้นจึงกลับไปคุยกับหวังชิงหลู หวังชิงหลูกล่าวว่า "เจ้าจะไปสนใจเขาทำไม แค่ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิมก็ดีแล้วนี่ อีกอย่างบัดนี้องครักษ์รักษาพระองค์ยังไม่ขึ้นอยู่กับซ่งซีซี เป็นเรื่องน่ายินดีทีเดียว"จ้านเป่ยว่างกลับขมวดคิ้ว "ไม่ได้การ ข้าเกรงว่าจะมีอุบายอะไรแฝงอยู่ในนี้ ข้าต้องไปสารภาพกับฝ่าบาทให้ชัดเจน"หว
ปัจจุบันนี้มีเพียงสองทางเลือกให้กับจักรพรรดิ์ซูชิงและพวกขุนนางทุกคนทางเลือกแรกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่เคยสังหารหมู่พลเรือนทางเลือกที่สองคือการแสร้งทำเป็นว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น หลังจากได้รับพระราชสาส์นตราตั้งแล้ว อันดับแรกก็ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของเมืองซีจิง และควบคุมบุคคลที่สมควรถูกจับกุมไว้ มันยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไขปัญหา ยังสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศได้ในพระราชสาส์นตราตั้งไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องชายแดน จะมาจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อนค่อยมาหารืออีกทีจักรพรรดิ์ซูชิงเรียกประชุมขุนนางเพื่อหารือกันเป็นเวลาสามวัน ทางเลือกแรกมันใช้ไม่ได้ ที่เมืองซีจิงจะออกพระราชสาส์นตราตั้งมาร้องเรียน พวกเขาย่อมมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน บวกกับภายในเมืองซีจิงได้สร้างกระแสมานาน พรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศได้ก่อเรื่องไว้แล้ว หากพูดปฏิเสธไป งั้นผลที่ตามมาก็คือการทำสงครามโดยตรงในเมื่อเป็นทางเลือกที่สอง บุคคลที่ควรจะต้องโดนลงโทษก็สมควรที่ได้รับมันแล้วหลังจากตัดสินใจแล้ว จักรพรรดิ์ซูชิงและเสนาบดีมู่ก็มองหน้ากันอยู่สักพัก คนๆ ก็นิ่งเงียบและไม่มีใครพูดอะไรเพราะหากต้องจัดก
ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์นำคนไปจวนแม่ทัพด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ยี่ฝางหลบหนี เขาได้ปิดล้อมจวนแม่ทัพก่อนการกระทำนี้ทำให้หวังชิงหลูขวัญหนีดีฝ่อ นางซ่อนตัวอยู่ในเรือนเหวินซีไม่กล้าออกไปข้างนอก จนกระทั่งรู้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อจับกุมยี่ฝางถึงเดินออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงดังโวยวาย ยี่ฝางก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แล้วนางยืนอยู่หน้าทางเดินของเรืองมงคล ลมหนาวพัดเข้าไปใบหน้าที่เสียโฉมไปครึ่งหนึ่งของนาง มันนิ่งเงียบไร้อารมณ์ใดๆนางมองดูเจ้าหน้าที่ที่บุกเข้าไปในเรืองมงคล นางยกดาบขึ้นแล้วฟาดฟันในกลางอากาศ จากนั้นชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ที่นำทาง"ยี่ฝาง รีบยอมแพ้ซะ" โจวชาง ผู้ช่วยกรมราชทัณฑ์ซึ่งยืนอยู่นอกประตูเรืองมงคลนั้นก็ตะโกนด้วยความโกรธ"จ้านเป่ยว่างอยู่ไหน" ยี่ฝางถามอย่างเย็นชาที่จ้านเป่ยว่างกลับไปดำรงตำแหน่งเดิมนางรู้เรื่องนี้ เขาทำงานข้างกายฝ่าบาท ย่อมรู้ทุกอย่างดี แต่ไม่เคยกลับมาบอกนางเลยโจวชางไม่ตอบคำถามของนาง แค่พูดอย่างเคร่งขรึมว่า "ทางที่ดีอย่าขัดขืนดีกว่า ยังไงก็ขัดขืนไม่ได้อยู่ดี จวนแม่ทัพถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนาแล้ว"แต่ยี่ฝางกลับวางดาบไว้ที่คอของตนเองพร้อมเยาะเย้ยอย่างน่ากลัว "ตามห
จ้านเป่ยว่างกลับมาที่จวนแม่ทัพอย่างเร่งรีบ ตแนที่โจวชางส่งคนไปแจ้งนั้น เขาก็รู้สึกขวัญกระเจิง ยี่ฝางมียิสัยยังไงเขารู้ดีมาก ขัดแย้งกันมาก ไม่ยอมใครแต่ก็กลัวความตาย หากเกิดเหตุการณ์จนตรอก นางย่อมพยายามดิ้นรนสักหน่อยเกรงว่าคราวนี้นางคงไม่ยอมให้ง่ายๆยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขากับยี่ฝางไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว เพื่ออยู่รอด เขาไม่รู้จริงๆ ว่ายี่ฝางจะทำอะไรได้บ้างจริงๆ แล้วในช่วงเวลานี้นางอยากออกจากเมืองหลวง แต่ก็กลัวว่าจะมีนักฆ่าถ้านางออกจากเรืองมงคล การลอบสังหารครั้งนั้นทำให้นางเข็ดหลาบจริงๆนางคงคิดดีแล้วว่าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ จะจัดการอย่างไรนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่บอกนางเรื่องการมาของนักการทูตจากเมืองซีจิง เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้นางเตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อเขามาถึงเรืองมงคล และเห็นยี่ฝางถือดาบชี้ไปที่คอของตนเอง จากนั้นก็ใจเต้นแรง "ยี่ฝาง วางดาบลง!"มีความเย็นชาเกิดจากดวงตาของยี่ฝาง และสายตากวาดมองมาหาเขา มันคมแหลมราวหับมีดคม นางแทบจะกัดฟัน "จ้านเป่ยว่าง!"จากนั้นหวังเจิงก็มาถึงพร้อมกับทหารรักษาพระราชวังสองคน เขาหยุดจ้านเป่ยว่างไว้ก่อน "อย่าเข้าไปใกล้เกินไป"จ้านเป่ยว่างเหลือ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง