นางถูกจับตัวไว้ มือทั้งสองถูกประสานไว้ด้านหลัง เมื่อถูกผลักลงไปกับพื้นนั้น ใบหน้าของนางกระแทกกับหินเล็กๆ จนมีเลือดออกเล็กน้อยนางเหลือบมองจ้านเป่ยว่างแวบหนึ่งก่อน ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นจ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างดุร้าย ชุดที่ซ่งซีซีกำลังสวมใส่นั้นเป็นเครื่องแบบข้าราชการ มันเป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝันมาโดยตลอด แต่นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสมันด้วยซ้ำซ่งซีซีดึงแส้กลับและยืนอยู่ตรงหน้ายี่ฝาง ด้วยดวงตาสองคู่ คู่หนึ่งเต็มไปด้วยความขมขื่นใจ และอีกคู่มีความเกลียดชังอย่างเปิดเผยในที่สุดซ่งซีซีก็ไม่ได้ปิดบังความเคียดแค้นที่นางมีต่อยี่ฝาง แม้แต่ต่อหน้าป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ นางจะพยายามระงับความเคียดแค้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้พ่อแม่และพี่ๆ ที่คนที่อยู่ในสวรรค์จะมองเห็นนางมีแต่ความแค้นใจและอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูแต่วันนี้ เรื่องนี้ก็จะได้คิดบัญชีได้สักที และความเคียดแค้นในใจของนางไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป ยี่ฝางทำให้ครอบครัวของนางเสียชีวิตไปหมด และส่งผลกระทบต่อท่านตาด้วย ความแค้นนี้ไม่มีวันชดเชยได้หมดเมื่อเผชิญกับความเคียดแค้นนี้ ความหึงหวงและไม่ยอมใครของยี่ฝางดูเหมือนจะอ่อนแอมาก หลั
ซ่งซีซียังคงอยู่ที่นี่เลย แต่หวังชิงหลูโดนดูถูกเช่นนี้ นางย่อมเกิดบันดาลโทสะ "ช่วยพูดจาดีๆ หน่อย หวังเจิง อย่าคิดว่าการเป็นผู้นำทหารรักษาพระราชวังแล้วก็จะเก่งมากทีเดียว เจ้าเป็นถึงผู้นำก็ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้หณิงอยู่ดีนี่?"นางรู้ว่าหวังเจิงนั้นหยิ่งทะนงตน ยิ่งรู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เขาไม่พอใจกับซ่งซีซีมาก จึงจงใจสร้างความบาดหมางให้พวกเขาต่อหน้าซ่งซีซี และทำให้เขาอับอายด้วยแต่เห็นได้ชัดว่านางแค่ได้ยินเรื่องไปส่วนหนึ่งเองหลังจากที่หวังเจิงกลายเป็นลูกศิษย์ของเสิ่นว่านจือ เขาได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ ยังได้ยินอาจารย์เล่าบ่อยๆ ว่านางถูกใต้เท้าซ่งโจมตีจนต้องยอมจำนนอย่างไรตอนที่อยู่ในภูเขาเหม่ยชาน บวกกับเขาเองก็เคยต่อสู้กับซ่งซีซีมาก่อน ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนที่ตนเองหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดนั้นมันน่าขำมากเพียงใดหวังเจิงหัวเราะเบาๆ และพูดประชดประชนว่า "ที่ข้าเป็นถึงผู้นำทหารรักษาพระราชวังก็ย่อมเก่งมากละสิ หากเจ้ามีความสามารถจริงเจ้าก็มาทำสิ อย่ามาบอกว่าผู้หญิงทำไม่ได้ เจ้าดูใต้เท้าซ่งก็เคยสั่งการสามีเจ้า บัดนี้เป็นถึงหัวหน้าของข้าด้วย ข้าไม่ได้มากความสามารถหรอก ข้ายอมรับ แต่เจ้ายอมร
จ้านเป่ยว่างจมอยู่กับความทรงจำ "ข้าเป็นคนเสนอให้ไปเผายุ้งฉางในเมืองลู่เปินเอ่อร์ จริงๆ แล้วในเวลานั้น ทางเมืองซีจิงประสบความพ่ายแพ้ติดต่อมาหลายครั้ง และดูเหมือนว่าจะยอมแพ้ไป คุณชายหกเซียวกล่าวว่า ที่เราทำสงครามกับเมืองซีจิงมาหลายปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ มีการต่อสู้เล็กน้อยไม่หยุดไม่หย่อน หากทำสงครามจริงๆ ต่างก็ออมมือให้กัน ดังนั้นพอเมืองซีจิงล่าถอยทางเราก็จะผ่อนคลายลง แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ทางเมืองซีจิงก็โจมตีอย่างรุนแรง และผู้บัญชาการเซียวก็บาดเจ็บในสงครามนั้น… ""ไม่ใช่สิ" ซ่งซีซีขัดจังหวะเขาอีกครั้ง "เมื่อเจ้าเพิ่งไปถึงชายแดนเฉิงหลิง ท่านลุงสามของข้าก็เสียแขนไปข้างหนึ่งในสงคราม ซึ่งพิสูจน์ว่าสงครามนั้นก็ดุเดือดมากเช่นกัน และหากทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างออมมือให้ งั้นก็ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปช่วยเหลือแล้วนี่"จ้านเป่ยว่างอธิบายว่า "การต่อสู้ในแรกๆ มันต่างก็ออมมือให้อยู่ ส่วนสาเหตุที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกะทันหันนั้นก็เป็นเพราะซูลันจีออกจากแนวหน้า เปลี่ยนเป็นซูลันซือมาออกคำสั่งแทน เขาคือน้องชายของซูลันจี เขาดุร้ายและกล้าหาญมาก และเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ของซูลันจีในก่อนหน้า โดยพยายามบังคับให้เราล่า
ทันทีที่ซ่งซีซีจากไป หวังเจิงก็เดินตามไปเช่นกันหวังเจิงคนนี้เป็นคนเก็บความลับไม่อยู่เลย สิ่งที่ซ่งซีซีและจ้านเป่ยว่างพูดคุยในวันนี้คือยี่ฝางสังหารพลเรือนก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะแล้วแต่ในนี้มีผู้บัญชาการเซียวมาเกี่ยวข้องด้วย เขารู้ว่าผู้บัญชาการเซียวเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเอาชีวิตไม่รอดในเวลานั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ยี่ฝางจะเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเขารู้สึกมันไม่ยุติธรรมต่อผู้บัญชาการเซียว ดังนั้นหลังจากกลับสำนักทหารรักษาพระราชวังเขาก็พูดถึงเรื่องนี้เลยผู้ใดในทหารรักษาพระราชวังมีบ้างหรือที่ไม่ชื่นชมแม่ทัพซ่งฮวยอันและผู้บัญชาการเซียว? ดังนั้นเมื่อหวังเจิงพูดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้บัญชาการเซียวโดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทหารรักษาพระราชวังจะไปเรียกร้องความยุติธรรมกับใครได้ ก็แค่เอาเรื่องนี้ไปพูดที่ข้างนอกก็เท่านั้นนี่เป็นขั้นแรกของซ่งซีซี ก่อตั้งรากฐานของความไว้วางใจและความชื่นชมในหมู่ประชาชนที่มีต่อท่านตาของนาง อีกทั้งต้องได้รับความสนับสนุนจากหมู่แม่ทัพและทหารด้วย เมื่อต้องจัดการกับเรื่องที่รับมือได้ยาก ก็ต้อง
เซี่ยหลูโม่ขยับเข้าไปเล็กน้อยและจับมือนางไว้ "อย่ากังวลมากเกินไป เราจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องถึงขั้นเลวร้ายที่สุดเด็ดขาด"ซ่งซีซีรู้ว่าที่เขาพูดว่าเด็ดขาดนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะใจคนมันคาดเดายาก โดยเฉพาะฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองซีจิง หลังจากที่เขาขึ้นไปเป็นรัชทายาท เขาเริ่มเผยแพร่สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเมืองลู่เปินเอ่อร์ในเมืองซีจิง ได้กระตุ้นอารมณ์โกรธของประชาชน บัดนี้เขาขึ้นบัลลังก์แล้ว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างตามต้องการอาจารย์หยูรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นและทำการสรุปว่า "จักรพรรดิจิ้งหยวนดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับราชบัลลังก์อย่างจริงจัง เขาเพียงแต่ใช้อำนาจล้นฟ้านี้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับพี่รัชทายาทของเขาและพลเรือนที่ถูกสังหารหมู่ บังคับให้เรายอมจำนน เขาถึงขั้นต้องการทำสงคราม แต่เนื่องตอนที่เมืองซีจิงช่วยเหลือแคว้นซานั้น พวกเขาได้สูญเสียกองกำลังของพวกเขาไปไม่น้อยด้วย บวกกับต่อสู้กับเรามานานหลายปี ที่ชายแดนเฉิงหลิงก็เคยทำสงครามมาแล้ว พวกเขาก็ก็ต้องพักฟื้น และบรรดาขุนนางราชสำนักก็มีคนจำนวนมากที่ต่อต้านทำสงคราม องค์หญิงเหลิ่งอวี่เป็นตัวแทนในหมู่พวกเขา คราวนี้ที่องค์หญิงเหลิ่งอ
เซี่ยหลูโม่นอนกอดนางอย่างเงียบๆ ในกลางคืน ลมหายใจของนางเป็นจังหวะสม่ำเสมอดูเหมือนหลับอยู่แต่เซี่ยหลูโม่รู้ว่านางไม่ได้หลับ นางนิ่งมากจนไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แค่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา และดูเหมือนว่าทุกลมหายใจได้ตั้งจังหวะมาก่อนนางไม่อยากให้เขากังวลชายแดนเฉิงหลิง ในจวนแม่ทัพเซียวพระราชโองการมาถึงแล้ว และผู้คนที่เดินทางไปเขตหนานเจียงเพื่อส่งมอบพระราชโองการไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นก็คือฉีฟางและหลูหงที่มาจากกลุ่มนักสืบชีซื่อ แน่นอนว่ามีองครักษ์รักษาพระองค์และทหารรักษาพระราชวังติดตามเขาไปด้วยตอนนี้ ฉีฟางและหลูหงต่างเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ระดับชั้นสี่ ฝ่าบาทยังไม่ได้เริ่มใช้งานพวกเขา คราวนี้ที่ส่งพวกเขาไปประกาศคำสั่งที่ชายแดนเฉิงหลิงถือว่านี่เป็นงานแรกของพวกเขา หากทำงานได้ดี ฝ่าบาทอาจจะใช้งานพวกเขาแล้วสำหรับพวกเขาแล้วงานนี้ยากมาก แบบอย่างในใจของแม่ทัพและทหารเกือบทั้งหมดก็คือเซียวเฉิงและซ่งฮวยอัน ตอนนี้บอกว่ามาประกาศคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วคือจับตัวเขากลับเมืองหลวง ทั้งฉีฟางและหลูหงต่างก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมากเดิมทีชีกุ้ยจากองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าจะออกเดินทางทันที แต่ฉีฟางและหลูหงช่วยโน้มน้า
นางหนานทั้งโกรธเคืองและอึดอัดใจ เพื่อช่วยจ้านเป่ยว่าง สามีของตนเองต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง และทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาก็สูญเสียไปครึ่งหนึ่งเต็มๆ โชคดีที่ไม่มีสงคราม เขาสามารถฝึกฝนทักษะดาบมือข้างเดียวได้อย่างขยันขันแข็ง แต่ไม่สามารถใช้หอกยาวได้อีกต่อไปแล้วได้ออกมือไปช่วยก็ไม่ว่าอะไร แต่คนๆ นั้นกลับเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ กล้าไปมีอะไรกับยี่ฝางต่อหน้าต่อตาพวกเขา พวกเขาตาบอดไปจริงๆ ทำไมถึงมองไม่ออกเลย?ก็ต้องโทษที่พวกเขาไม่ละเอียดมากพอ และไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงได้รับบทเรียนที่ชายแดนเฉิงหลิง แล้วจะปล่อยให้พวกเขากลับไปทำร้ายซีซีได้อย่างไรนางหนานเอ็นดูซีซีเป็นอย่างยิ่ง ตอนที่ซีซีเกิดนั้นนางยังอยู่ในเมืองหลวง นางไม่เคยเห็นทารกสีชมพูและน่ารักเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับหยกสดใส ใต้หล้านี้จะไม่มีทารกคนใดที่สวยกว่านางอีกแล้วก่อนที่ซีซีจะอายุได้สามขวบ นางได้ไปที่จวนโหวเจิ้นเป่ยเกือบทุกสองสามวัน ก็เพื่อไปอุ้มทารกที่น่ารักคนนั้นต่อมา นางติดตามสามีมาที่ชายแดนเฉิงหลิง ในตอนแรกๆ ก็กลับเมืองหลวงทุกๆ สองปี ต่อมาลูกๆ ค่อยๆ โตขึ้นและต้องการเรียนหนังสือและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ บวกกับมีควา
ลูกน้องของเซียวเฉิงไปตามหาฉีฟางและหลูหงที่โรงเตี้ยมที่พวกเขาพักอยู่และบอกว่าต้องการบรรยายสถานการณ์เมื่อเห็นแม่ทัพผิวคล้ำทุกคนได้พูดคุยกับพวกเขาเรื่องเหตุการณ์เมืองลู่เปินเอ่อร์ด้วยสายตาที่เป็นกังวล ทั้งสองคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ"เป็นเรื่องจริง แม่ทัพใหญ่เซียวไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเขาถูกลูกธนูยิง และหมอทหารบอกว่าช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแล้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดวงแข็งจึงยืดอายุขัย นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน ถึงลุกจากเตียงและเดินได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาสู้แต่ก่อนไม่ได้แล้ว มันทนกับความทรมานใดๆ ไม่ได้อีกเลย""ใช่แล้ว ที่จ้านเป่ยว่างเดินทางไปยังเมืองลู่เปินเอ่อร์ ข้าเป็นคนอนุมัติให้เอง และไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่เซียว พวกเจ้านำข้ากลับไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบสวนได้เลย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ จะเอาชีวิตข้า ข้าจะมอบให้ตอนกลับเมืองหลวง""ท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพหลู พวกเจ้าก็เคยติดตามผู้บังคับบัญชาซ่งในสนามรบเขตหนานเจียง เราเป็นพวกเดียวกันก็จะไม่พูดอ้อมแล้ว เรื่องนี้ยังมีช่องว่างให้หารือกันไหม ฝ่าบาทคิดกับเรื่องนี้ยังไงกัน เจ้าพูดตามตรงมา หากแค่ต้องการหาผู้ใดคนหนึ่งมารับผิดชอบเรื่องนี้
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง