ณ เรือนจุ้ยหงเฟิงเอ้อร์เหนียงกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง วันนี้นางเปลี่ยนจากการแต่งหน้าสีสดตามปกติ เป็นการแต่งหน้าอ่อนๆ กระโปรงคาดอกสีแดงสดก็ถูกแทนที่ด้วยสีขาวล้วน คนทั้งคนก็ดูสง่างามขึ้นมากนางเปิดกล่องสมบัติข้างๆ นาง แล้วหยิบปิ่นปักผมดอกอวี้หลานสีขาวที่เป็นสนิมออกมา และปักบนศีรษะเมื่อมองดูกลีบดอกอวี้หลานที่หัก ดวงตาของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เศร้าโศกเล็กน้อยในขณะที่นึกถึงความหลัง บริกรชายก็เข้ามาจากด้านนอก“เอ้อร์เหนียง แม่นางที่นั่งรถเข็นคนเมื่อวานกลับมาอีกแล้ว”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา“ไม่พบ”บริกรชายพูดว่า “ข้าจะไปตอบนางเดี๋ยวนี้”ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงเอ้อร์เหนียงจะเห็นแก่หน้าอาจารย์ข้าได้หรือไม่ พูดกับข้าสักสองสามคำ”ท่าทีหยิ่งยะโสในยามปกติของจูอวี้เหยียนเปลี่ยนไป คำพูดคำจาเจือไปด้วยคำสัตย์ซื่อจริงใจขึ้นเฟิงเอ้อร์เหนียงจัดทรงผมอย่างไม่รีบร้อน“อาจารย์ของเจ้าคือใคร”“ราชากู่หยางเฉิง”เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงเยียบเย็นลงเล็กน้อย“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”ดวงตาของจูอวี้เหยียนฉายแววเศร้าโศก น้ำเส
ซูหมิงหลานเดินเข้ามาใกล้ จุดธูปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ซูหนิง ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านดูแลลูกๆ ทั้งสามเป็นอย่างดี ก่อนวันแต่งงานของสิงอวิ๋น ข้าจะพาเขามาสักการะที่นี่ ลูกสะใภ้คนโตของเราก็ตั้งครรภ์แล้ว ปีหน้าก็จะได้หลานแล้วล่ะ ดวงวิญญาณของท่านบนสวรรค์ ต้องช่วยปกป้องคุ้มครองให้พวกเขาปลอดภัยด้วยนะ”ต่อจากนั้นอินสิงอวิ๋นก็โขกศีรษะสามครั้ง“ท่านแม่ ลูกมาหาท่านแล้ว หลายปีมานี้ไม่ได้กลับมาเลย ท่านแม่คงไม่ตำหนิข้ากระมัง ต่อไปลูกจะมาทุกปี จะมาเผาเสื้อผ้าและให้เงินกับท่านแม่” อินปู้อวี่ยังคุกเข่าและพูดว่า “ท่านแม่ ปู้อวี่ก็มาแล้วขอรับ จากนี้ไปลูกจะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ และจะอยู่ในเมืองหลวง อยู่ข้างๆ ท่านแม่ด้วย”เมื่อถึงคราวของอินชิงเสวียน นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงโขกศีรษะสามครั้ง พนมมือและอธิษฐานอย่างเงียบๆ ข้าหวังว่าอินฮูหยินจะอวยพรให้การเดินทางของนางในครั้งนี้ราบรื่น ตามสามีของนางกลับมาได้ เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแท้จริง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วอินชิงเสวียนยกกระโปรงยืนขึ้นไม่มีใครบังคับให้นางพูด ถึงอย่างไรลูกสาวพวกเขาก็เรื่องในใจมากมาย ไม่เห็นต้
อินชิงเสวียนพยักหน้า“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับก่อนนะ”อินจ้งพยักหน้า พูดด้วยความรัก “อย่าลืมดูแลตัวเอง ออกไปข้างนอกต้องระวังตัวด้วยนะ”เมื่อเห็นดวงตาของอินจ้งเปลี่ยนเป็นสีแดง อินชิงเสวียนก็รู้สึกไม่สบายใจแม้ว่านางจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงกับพวกเขา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานาน อินชิงเสวียนก็ถือว่าพวกเขาเป็นครอบครัวแล้วนางหายใจเข้าลึกๆ แล้วคลี่ยิ้ม“ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ถ้านางร้องไห้ ตระกูลอินจะรู้สึกลำบากใจ และเป็นกังวลมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนนางเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามาในยุคนี้ จะไปรบกวนชีวิตพวกเขาทำไมซูหมิงหลานจับมือนางแล้วพูดว่า “เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ต้องเขียนจดหมายกลับมา แจ้งสักคำว่าปลอดภัย”เมื่อพูดคำสุดท้าย ดวงตาก็เปียกชื้นจากหยาดน้ำตาตอนที่นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลอิน เด็กน้อยคนนี้ต่อต้านตัวเองมาโดยตลอด ในที่สุดนางก็โตขึ้น รู้ความขึ้น ความสัมพันธ์แม่ลูกยังไม่อบอุ่นพอ อินชิงเสวียนก็จะจากไปแล้วแม้รู้ว่านางไปไม่ไกล รู้ว่านางจะกลับมาเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังรู้สึกเศร้าใจมากถ้าเป็นอินสิงอวิ๋นหรืออินปู้อวี่ ซูหมิงหลานก็ไม่ได้เป็นกังวลมากน
เมื่อเห็นเขายืนอยู่บนแท่นไม้ใหญ่ อินชิงเสวียนก็อดหัวเราะไม่ได้เย่จิ่งหลานหันหน้าและพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าเข้ามาทำไม”“ข้านึกว่าเจ้ากำลังปลูกผักมาทำกับข้าว ก็เลยแวะมาดู ต้องการให้ช่วยหรือไม่”อินชิงเสวียนกลั้นยิ้ม ถึงอย่างไรเขาก็ทำอาหารให้ตัวเองกิน ถ้านางหัวเราะเยาะ คงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่“ไม่ต้อง เป็นจานสุดท้ายก็จะเสร็จแล้ว”ในขณะที่เย่จิ่งหลานกำลังพูด ก็ตักออกใส่จานแล้วที่แท้ก็เป็นปลาตุ๋นน้ำแดง หลังจากราดน้ำปรุงรสแล้ว กลิ่นหอมฉุยก็โชยแตะจมูก สีสันดูสดใสน่ารับประทาน อินชิงเสวียนเห็นแล้วก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้นางชอบกินปลามาก แต่นางทำอาหารไม่เก่ง ทำทุกครั้งมักจะมีกลิ่นคาว รสชาติเหลือรับประทานจริงๆ วิธีทำอาหารในวังนั้นจืดชืดเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่ได้กินปลามานานแล้วเมื่อมองดูจานอาหารที่อยู่ด้านข้าง ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ซี่โครงหมูตุ๋น ไก่ชุบแป้งผัดหมาล่า มะเขือม่วงยัดไส้ หอยเชลล์ย่างกระเทียม กุ้งทอดซอส และผัดผักต่างๆ อกีเยอะแยะต้องบอกว่าเย่จิ่งหลานมีฝีมือทำอาหารมากๆ ทุกจานอร่อยครบรส ทำให้คนน้ำลายสอเมื่อเห็นรูม่านตาของอินชิงเสวียนขยายออก เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภ
อินชิงเสวียนอยู่ในวังมานานแล้ว เจตนาแอบแฝงเหล่านี้นางสามารถมองออกหมด แต่ฝ่าบาทองค์นี้ไม่ใช่ฝ่าบาทคนนั้น ดังนั้นนางจึงไม่กังวลนางเล่าเรื่องที่ตัวเองจะจากไปอย่างเปิดเผย และแต่งตั้งซูฉ่ายเวยให้ช่วยจัดการดูแลวังหลังซูฉ่ายเวยก้าวลงจากเก้าอี้ แล้วโค้งคำนับอินชิงเสวียนด้วยความเคารพ“กุ้ยเฟยไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยพระสนมจัดการวังหลังอย่างดี จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย”“เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าย่อมเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องคำนับมีพิธีรีตองขนาดนี้ รีบลุกขึ้นเร็ว”อินชิงเสวียนประคองซูฉ่ายเวยขึ้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเมื่อไหร่ที่พวกนางจะได้รับการแต่งตั้งยศ ให้กำเนิดโอรสมังกรกับฝ่าบาทบ้าง แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีจือย่วนและฉู่หลิงอวี้ ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ มีพระสนมคนนี้อยู่ การจะปีนเตียงมังกรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้ากุ้ยเฟยไปแล้ว นั่นก็ไม่แน่ความคิดบางอย่างแวบเข้ามา แววตาเป็นประกายระยิบระยับอินชิงเสวียนเหลือบมองไปรอบๆ ด้วยแววตาราบเรียบ มองเห็นความคิดชั่วร้ายของทุกคนได้ชัดเจนนางกระแอมในลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ตอนนี้วังหลังไร้นายแล้ว ข้าต้องออกไปทำธุระ ห
รถม้ามาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองไปที่เมืองหลวงที่คุ้นเคย อินชิงเสวียนยังคงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยแต่เสี่ยวหนานเฟิงมีความสุขมาก เขายื่นหัวเล็กๆ ออกไปนอกหน้าต่าง แล้วกวาดตามองไปรอบๆ อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นที่ปกป้องเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ซ้ายขวา ก็ใช้โอกาสนี้ในการชมทิวทัศน์ภายนอกเย่จิ่งหลานยกมือขึ้นกอดไหล่ตัวเอง นั่งไขว้ห้างมองอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนก็มองออกไปนอกรถเช่นกัน ไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอย่างไรการได้ไปตาหาเย่จิ่งอวี้ย่อมมีความสุขอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงการออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือน นางก็รู้สึกไม่สบายใจบางทีนางอาจจะถือว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองแล้วจริงๆเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนยังคงเงียบ เย่จิ่งหลานก็ยกข้อศอกแตะนางอย่างอดไม่ได้“นี่ ไม่ต้องคิดมากแล้ว”“อืม”อินชิงเสวียนพยักหน้า หันกลับมาแล้วถามว่า “หวังซุ่นก็อยู่ในมิติด้วยหรือ”เย่จิ่งอวี้ยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าสบายๆ “อืม กลัวว่าความอัปลักษณ์ของเขา จะทำให้แม่นางทั้งสองกลัวน่ะ”อวิ๋นฉ่ายถามด้วยสีหน้าพิศวงงุนงงทันที “มิติคืออะไรหรือ”ถึงอย่างไรก็ต้องบอกพวกนางไม่ช้าก็เร็ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถปล่
อินสิงอวิ๋นพยักหน้า“ขอบพระคุณท่านพ่อ”อินจ้งตอบรับ และพูดต่อว่า “การสมรสครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การแต่งงานของพวกเจ้าสองคน แต่ยังเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ หวังว่าพวกเจ้าสองคนจะสามารถเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างต้าโจวและเจียงวู ทำเพื่อประชาชนของสองอาณาจักร กำจัดความทุกข์ยากของสงคราม”เป่าเล่อเอ่อร์เดินลงมาจากเก้าอี้ในทันที และกล่าวอวยพรแก่อินจ้ง“ใต้เท้าอินวางใจได้เจ้าค่ะ เป่าเล่อเอ่อร์ได้เขียนจดหมายให้แก่พี่ใหญ่แล้ว พี่ใหญ่ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม หากสองกองทัพระงับการใช้อาวุธต่อกันได้ พี่ใหญ่จะต้องดีใจอย่างมากเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ดี”อินจ้งหลือบมองผ้าปูที่อยู่บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถะ ข้าไปห้องหนังสือก่อนล่ะ”ในขณะเดียวกันนั้นเอง เย่จั้นที่สวมชุดคลุมมังกรก็มาถึงตำหนักจินหวูเช่นกัน เมื่อรู้ว่าอินชิงเสวียนไปแล้ว เขาทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจทั้งเฝ้ารอให้อินชิงเสวียนสามารถสืบรู้ข่าวคราวของเย่จิ่งอวี้โดยเร็ว แต่ก็กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่ดียิ่งไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ถูกหรือผิดกันแน่ หากเกิดสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดต่ออินชิงเสวียน เช่นนั้นควรทำอย่างไร? แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
สีหน้าของซูถูก็ดูแย่เล็กน้อย“เจ้าสำนักเซี่ยวจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ หากชาวตงหลิวเข้าน่านน้ำทะเลมาเป็นจำนวนมาก ท่านและข้าจะต้องรับมือไม่ทันแน่นอน ควรระมัดระวังไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเรียบว่า “ริมชายฝั่งของเป่ยไห่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งสำนักนิกายเดียว ผู้อาวุโสซูพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่านอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ของข้า ก็ไร้ผู้ที่สามารถสกัดกั้นตงหลิวได้อีกแล้วใช่หรือไม่? ข้าขอตัวก่อน!”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดจบก็ใช้วิชาตัวเบา และออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไปคนเหล่านี้ไม่อาจแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการแย่งชิงไปให้ได้ ก็ไม่สามารถหาเจอว่าพิณอยู่ที่ใด ตอนนี้จำเป็นต้องไปพบหมอเทวดาหนิงอีกครั้ง เพื่อดูว่านอกจากเย่จิ่งอวี้แล้ว ยังสามารถหาทางออกอื่นในการรักษาเซี่ยวอิ๋นหวนได้อีกหรือไม่ซูถูและคนอื่นๆ ยืนหน้าบึ้งตึงอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง และก็จากไปเช่นกันในเวลาเช่นนี้ หากพวกเขาลงมือก็จะกลายเป็นเป้าที่ประชาชนทั่วไปโจมตีอย่างแน่นอนแต่จะต้องเอาพิณการเวกตัวนี้มาให้ได้ หากอาวุธทำลายล้างขนาดใหญ่เช่นนี้ยังคงอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป