มีน สาวดวงซวยที่อยู่ ๆ ก็ถูกดึงวิญญาณไปยังปรโลก เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อกลไกแห่งชีวิตเกิดขัดข้องทำให้ทุกอย่างแปรปรวน เจ้าแห่งปรโลกจึงขอโทษและรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง เพื่อจะได้เฝ้าดูพระรองและส่งเขาไปให้ถึงปลายทางของตอนจบ มีนจึงเลือกที่จะไปเกิดใหม่ในมังงะเรื่องโปรดแทนการกลับเข้าร่างเดิม เจ้าแห่งปรโลกเห็นว่าสิ่งที่ขอไม่ได้มากเกินไปจึงได้ตอบตกลงแล้วส่งเธอไปยังที่ชอบ ๆ แต่เอ๊ะ! เหตุใดไม่เหมือนที่คุยกันไว้ ไฉนท่านส่งข้ามาเป็นตัวประกอบที่ต้องตายด้วยมือพระรองเล่า... . . . “เลิกกั๊กแล้วรักก่อนนะ... ตะ ๆ เตงมาได้ไง” ทว่าเมื่อเปิดประตูห้องได้ก็ถึงกับยิ้มค้าง เมื่อมีใครอีกคนนั่งไขว้ขากอดอกอยู่บนเตียงนุ่มคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว ดาบที่กอดอยู่นั่นก็ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เกรงว่าจะลอยมาบั่นคอได้ทุกเมื่อ แล้วยังรอยยิ้มอีกเล่าเพียงเท่านี้ก็ทำเอาขนหัวลุกซู่ “ฮึ! กลับมาสักทีนะ ข้าก็นึกว่าจะเอาแต่เต้นแร้งเต้นกาไม่ยอมกลับบ้านเสียอีก” **เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เป็นเพียงสิ่งที่สมมุติขึ้น ทุกตัวละครทุกเหตุการณ์ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น**
View Moreอนิจจังชีวิตไม่เที่ยงเมื่อครั้นเกิดมาลืมตาดูโลก มีน ถูกแม่แท้ ๆ เอามาทิ้งไว้หน้าวัดแห่งหนึ่งตั้งแต่อายุหนึ่งขวบ ด้วยความสงสารและเวทนาในชะตาชีวิตของเด็กสาว หลวงตาจึงรับอุปการะเลี้ยงดูร่วมกับเด็กวัดอีกหลายคน ยังดีที่ตอนนั้นแม่ของเธอทิ้งใบสูติบัตรไว้ให้ จึงรู้ที่ไปที่มาของตนและรู้ด้วยว่าพ่อแม่เป็นใคร แต่มีนกลับไม่เคยคิดอยากเจอพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งชีวิตนี้เธอมีแค่หลวงตาผู้คอยเลี้ยงดูเท่านั้น พ่อแม่ก็แค่คนให้อาศัยร่างกายให้เกิดมา จึงไม่มีความผูกพันใด ๆ ต่อกัน ในเมื่อไม่ต้องการกันแต่แรก มีนก็ไม่ต่างกับพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่ก็ได้ หลวงตาต่างหากที่เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่แท้จริง
ด้วยเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ในชุมชนต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง หลวงตาจึงไม่มีกำลังส่งเรียนมากนัก ปัจจัยที่ญาติโยมถวายมานั้นก็ตามกำลังของแต่ละคนเช่นกัน ทว่าโชคไม่ดีนักเมื่อตอนมีนขึ้นมัธยมปลายหลวงตาท่านมรณภาพ เมื่อผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียวจากไปจึงไม่ได้เรียนต่อให้จบ ม.6 เด็กวัดมิใช่มีเพียงเธอคนเดียว หญิงสาวจึงสละสิทธิ์ให้เด็กที่เล็กกว่า เพราะเธอนั้นโตมากพอจะออกมาหางานทำเลี้ยงตนเองได้แล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ใช่ว่ามีนจะไม่ใฝ่รู้ เธอตั้งใจเข้ามาทำงานในกรุงเทพและส่งเสียตนเองเรียนสถาบันการเรียนที่เปิดกว้างแห่งหนึ่งในระดับที่สูงขึ้น ทั้งทำงานและเรียนไปด้วย แม้จะเหนื่อยกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าแต่ก็มิได้ทำให้ท้อแต่อย่างใด
แม้ทางเดินชีวิตจะดำเนินต่อไปด้วยดีมาตลอด ทว่าเมื่อไม่นานมานี้พิษเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้โรงงานที่ทำงานมาหลายปีปิดตัวลง มีนจึงตกงานอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่ก็เป็นเวลาเดือนกว่าแล้วยังคงเดินเตะฝุ่นเช่นเดิม
แม้เดินหางานทุกวันแต่ก็คว้าน้ำเหลวทุกที ด้วยวุฒิการศึกษาของเธอจบเพียงแค่มัธยมปลาย มิหนำซ้ำวุฒิที่ได้คือจบจากสถาบัน กศน. เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน เธอจึงหางานที่ดีและเงินเดือนเยอะไม่ได้
สิ่งที่ทำให้พอหายเครียดจากการว่างงานได้ในตอนนี้ ก็คงจะมีแค่การอ่านการ์ตูนมังงะจีนโบราณ เรื่องราวของการกอบกู้บ้านเมือง เสียดายก็แต่เรื่องนี้เน้นด้านสู้รบ อำนาจ บ้านเมือง มากกว่าความรัก ทว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งติดงอมแงม ด้วยทั้งภาพและสียอมรับว่านักวาดวาดได้สวยมาก สร้างสรรค์ตัวละครได้ราวกับเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ก็ว่าได้
ตัวเอกไม่เท่าไรแต่ตัวรองนี่สิเรียกได้ว่าตรงใจใช่เลย ถึงแม้เธอจะเคยอ่านฉบับนิยายมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่สนุกเท่ากับการ์ตูนมังงะ ทั้งยังมีเนื้อหากระชับมากกว่าในนิยายต้นฉบับ
ตัวละครที่มีนชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นพระรองนามหลี่มู่กวา แม่ทัพหนุ่มผู้เปรียบเสมือนมือขวา คือผู้ที่ช่วยเหลืออ๋องซิงเยี่ยนพระเอกของเรื่องกอบกู้บ้านเมือง เสียดายก็แต่ท้ายที่สุดแล้วหลี่มู่กวาจะอยู่ไม่ถึงจนจบ ในต้นฉบับนิยายไม่ได้มีอะไรผิดไปจากนิยายเรื่องอื่นเท่าไรนัก พระรองเกิดมาเพื่อเสียสละให้กับพระนางของเรื่องอยู่แล้ว
แต่ถึงจะรู้อยู่ก่อนแล้วก็ยังตามอ่านเวอร์ชันการ์ตูนมังงะอยู่ดี อดคาดหวังไม่ได้ว่าเวอร์ชันนี้พระรองของเธออาจจะไม่ตายตอนจบ อยากให้ผู้เขียนเพิ่มคู่ให้กับแม่ทัพหลี่ได้สมหวังกับเขาบ้าง กระนั้นเนื้อหาในการ์ตูนตั้งแต่ตอนแรกไปจนถึงเนื้อหาครึ่งหลัง ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากต้นฉบับนิยาย อยากจะเทเลิกติดตามอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทว่ายิ่งอ่านเนื้อเรื่องก็ยิ่งเข้มข้นจนวางไม่ลง
เสียดายก็แต่ในการ์ตูนมังงะตอนล่าสุดยังไม่มีนางเอกโผล่มา อยากจะเห็นรูปโฉมของฉู่หรงองค์หญิงใหญ่จากแคว้นฉินเหลือเกิน จะงดงามสมคำบรรยายของผู้แต่งหรือไม่ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวผ่องราวกับพระจันทร์ทอแสง ดวงตากลมโตรับกับจมูกรั้น น้ำเสียงหรือก็ไพเราะ แม้ได้สบตาสักครั้งก็ทำให้เวลาของบุรุษเหล่านั้นหยุดลงได้ไม่ยาก
นางเอกจะโผล่มามีบทบาทก็ตอนสองฝ่ายตกลงเชื่อมสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในความคิดของมีนนั้นถ้านางเอกจะโผล่มาครึ่งหลังเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ด้วยบทตัวละครชายเด่นเอามาก ๆ นางเอกแทบจะเป็นตัวเสริมของเรื่อง
พระเอกคืออ๋องผู้เก่งกาจส่วนพระรองนั้นคือแม่ทัพแดนใต้มากฝีมือ ทั้งสองสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกันแทบจะทุกสนามรบ นับว่าเป็นสหายที่รู้ใจที่หาได้ยากยิ่ง
ยิ่งในตอนที่พระรองยอมเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไปช่วยพระเอกจากวงล้อมศัตรู ในความรู้สึกของมีนเป็นเรื่องที่เธอประทับใจเอามาก ๆ จะมีสักกี่คนที่มีมิตรภาพพวกพ้องดีถึงเพียงนั้น แต่ถึงจะช่วยอ๋องซิงเยี่ยนออกมาได้ แต่ตัวเขานั้นกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส
ระหว่างหนีจากการไล่ล่าของศัตรู พวกเขาทั้งสองต้องแยกกันหนีไปคนละทาง หลี่มู่กวาแม่ทัพแดนใต้อาการไม่สู้ดีจำต้องหาที่ซ่อนตัวก่อน จึงตัดสินใจหลบอยู่กระท่อมกลางป่า ส่วนอ๋องซิงเยี่ยนนั้นเมื่อกลับถึงค่ายก็ได้รีบระดมคนตามหาสหายคนสำคัญอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
แต่สิ่งไม่คาดคิดได้เกิดหลังจากนั้น แม่ทัพหลี่ได้รับความอับอายถึงขั้นเกิดเป็นความแค้นจากเหตุการณ์ในกระท่อมกลางป่า เมื่อเขาหายดีจึงเสาะหาสตรีที่ทำให้ตนอับอาย แล้วลงมือฆ่านางด้วยตนเอง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจล้างแค้นเขาก็ได้กลับไปช่วยซิงเยี่ยนรบกับแคว้นฉิน
“ท่าน ท่านแม่ทัพเป็นอะไรหรือไม่” หญิงสาวจับร่างแม่ทัพหนุ่มเขย่าเพื่อให้รู้สึกตัว ทว่าเขากลับนอนนิ่งไม่ไหวติง นางจึงดันกายหนาออกให้พ้นกาย ก่อนที่ร่างคนไม่ได้สติจะร่วงลงไปนอนอีกทางหญิงสาวถึงกับถอนหายใจ เมื่อชุดที่เขาใส่มานั้นมีรอยเลือดซึมออกมา หากให้เดาก็คงจะแค้นกันมากถึงกับไม่รอให้ร่างกายหายดี ดั้นด้นตามสืบเสาะหานางเจอจนได้สินาคราแรกก็ตั้งใจจะไม่เหลียวแลหันหลังหนี ทว่าเห็นสภาพเขาแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ทั้งยังเป็นคนที่นางตั้งใจจะมาหาเขาถึงที่นี่ ติ่งอย่างนางจะปล่อยไว้เช่นนั้นได้อย่างไร“เอาวะ ช่วยก็ช่วย”เมื่อสมองพ่ายแพ้ให้กับความต้องการก็จำต้องหันหลังกลับ จัดแจงให้คนเจ็บได้นอนในท่วงท่าที่สบาย จึงพบว่าอีกฝ่ายกำลังมีไข้อ่อน ๆ รวมไปถึงบาดแผลบางส่วนได้ปริแตกมีเลือดซึมออกมาไม่น้อยร่างบางออกไปตักน้ำใส่กะละมังเล็ก จากนั้นได้กลับมาพร้อมกับกะละมังและผ้าเช็ดตัวผืนน้อย แล้วจัดถอดชุดของหลี่มู่กวาออกเพื่อจะได้เช็ดตัวและทำแผลเสียใหม่ แผลของเขายังไม่หายดีนักนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขายังคงมีไข้เพราะพิษบาดแผล การทำแผลและทายานั้นไม่ใช่ปัญหาในตอนนี้ ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือจะทำอย่างไรถึงจะป้อนยาให้คนที่ไม่มีสติได
ไป๋เหลียนถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อวิ่งมาถึงสะพานข้ามลำธาร เหลือแค่ข้ามสะพานนี้ไปก็เท่ากับนางเข้าเขตหมู่บ้าน ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจากความกลัวได้ไม่น้อย ระหว่างเดินกลับบ้านก็เอาแต่คำนวณเงินค่าสมุนไพร จะดีแค่ไหนถ้าหาเงินได้หลายสิบตำลึงภายในหนึ่งวันหญ้าสมุนไพรเก็บได้มาประมาณหนึ่งกระสอบเห็นจะได้ น้ำหนักก็คงจะประมาณสิบชั่ง ชั่งละห้าร้อยอีแปะก็เท่ากับนางจะได้ห้าตำลึงเงินเชียวนะ เช่นนั้นหากนางเก็บมาขายอีกเรื่อย ๆ ก็มีเงินเก็บพอย้ายที่อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องรอให้ถึงสามเดือนเมื่อพูดถึงเรื่องเงินที่จะได้ก็ทำเอาหญิงสาวอารมณ์ดียิ้มไม่หุบ ไป๋เหลียนกระโดดโลดเต้นพร้อมกับร้องเพลงเพิ่มจังหวะไปด้วย ไม่สนใจสายตาชาวบ้านที่ผ่านไปมาดูแคลนมองราวกับนางเป็นตัวประหลาด ต่อไปก็ไม่ต้องรอความตายแล้ว อย่าว่าแต่มีเงินหนีเลยในอนาคตนางก็จะร่ำรวยอยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชาติบางช่วงบางตอนไป๋เหลียนหยุดออกวาดลวดลายเต้นไปกับบทเพลง ทั้งโยกทั้งเลื้อยอย่างไม่รู้จักเหนียมอาย กลับมาถึงบ้านได้ก็รีบวางกระบุงเก็บเข้าที่ก่อนจะฮัมเพลงเดินเข้าห้องนอน นางเหนียวตัวจะแย่อยากจะรีบหยิบผ้าเช็ดตัว ได้อาบน้ำแล้วนอนหลับสักงีบก็คงจะดี“เลิกกั๊
หญิงสาวมองรอบป่าไผ่ไปสุดลูกหูลูกตา หน่อไม้ที่นี่มิได้เกิดขึ้นใกล้กอของมันเลย ทว่ามันกลับผุดขึ้นบนพื้นดินแพร่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณยามเห็นของกินก็ดันอดใจไม่ได้เป็นต้องปรี่เข้าไปเก็บ ถึงตอนนี้คิดไม่ออกจะเอาไปทำอะไรมากมาย ทว่านิสัยเสียดายของแก้ไม่หายสักที เก็บไว้ก่อนอย่างไรอยู่ในมิติวิเศษก็ไม่มีเน่าเสียมันต้องได้ใช้ประโยชน์ได้สักวัน“เงินทั้งนั้นเก็บไปก่อนดีกว่า”ทว่ายิ่งเก็บก็ยิ่งสนุกหน่อไม้ทั้งอ่อนและกรอบ ครู่เดียวก็ได้หน่อไม้กองโต หญิงสาวจัดการเก็บหน่อไม้ทั้งหมดเข้ามิติวิเศษ ก่อนจะออกเดินทางไปที่ลำธารหาสมุนไพรต่อเมื่อมาถึงจุดหมายไป๋เหลียนจึงได้มองหาหญ้าสมุนไพร กวาดตามองเพียงครู่ก็พบเข้ากับกลุ่มหญ้าเป้าหมาย ร่างบางนั่งลงพร้อมกับบรรจงถอนสมุนไพรที่เกิดปะปนกับหญ้าพิษและหญ้าชนิดอื่น ๆ โชคดีนักที่นางมีความสามารถพิเศษสามารถแยกแยะได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่แคล้วจะถอนผิดต้นเช่นกัน ด้วยหน้าตาสมุนไพรมิได้ต่างจากหญ้าทั่วไปมากนัก“เอ๊ะ ต้นอะไรน่ะ อย่างไรก็เป็นสมุนไพร เก็บไปก่อนประเดี๋ยวค่อยไปถามเถ้าแก่ป่าย” ตนหรือก็นึกว่าเป็นต้นผักชีล้อม คราแรกนึกว่าเป็นผักธรรมดาเสียอีกพอเห็นใกล้ ๆ กลับเป็นสมุนไพรเสี
หลังจากวันก่อนทำเงินจากการขายเครื่องสำอางได้ไม่น้อย คราวนี้ก็ได้เวลาต้องไปเก็บสมุนไพรส่งเถ้าแก่ป่าย ไป๋เหลียนเตรียมตัวเข้าป่าแต่เช้าตรู่ เวลาเหลือน้อยเข้าทุกทีนางจำต้องรีบหาเงินให้ได้มากที่สุด ร่างบางสะพายกระบุงขึ้นหลัง ปิดประตูรั้วบ้านให้แน่นหนา แล้วออกจากบ้านเดินทางเข้าป่าอย่างอารมณ์ดีไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไร ในเมื่อนางสามารถทำให้คู่รักบ้านแตกได้สำเร็จ ข่าวเรื่องซูหนี่อึราดเหม็นหึ่งแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน ผลจากการถูกล้อเลียนไม่หยุดหย่อน ทำให้วันต่อมาติงเฉิงประกาศขอยกเลิกการหมั้นทันที ด้วยรู้สึกอับอายเกินกว่าจะทนคบหาต่อไปได้อีก สองครอบครัวจึงแตกหักกันอย่างไม่สามารถต่อได้ติด ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียนี่กระไรทว่าอารมณ์ดีได้ไม่นานก็ต้องพบกับเรื่องน่ารำคาญใจ เมื่อนางเหลียงซูตั้งใจเข้ามาหาเรื่อง พาลใส่ทั้งที่ไป๋เหลียนยังไม่ทันจะได้ทำอะไรด้วยซ้ำ“ก็เหมาะสมกันดีนี่ มิน่าเล่าถึงได้ตัดกันไม่ขาดเสียที ที่แท้ก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ดีนะลูกข้าเป็นคนดีสวรรค์ถึงได้คุ้มครองช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป ส่วนสิ่งอัปมงคลก็สมควรแล้วที่จะอยู่ด้วยกัน เอ๊ะ! อะไรของเจ้าแม่พูดความจริง” นางเหลียงซูหิ้วตะกร้า
“แม่ค้าเจ้าชื่ออะไรหรือ ข้านามอวิ๋นซี แล้วเครื่องประทินผิวพวกนั้นเจ้าขายชิ้นละเท่าไร ไอ้ชอบข้าก็ชอบแต่เงินข้าไม่มีเยอะน่ะสิ” สตรีชุดแดงลดความหยิ่งยโสไปกว่าครึ่งพร้อมกับแนะนำตัวก่อนใคร ความจริงแล้วนางอยากได้ไว้ทั้งหมด ทว่าตำลึงเงินที่มีก็มิได้มากนัก เสียดายคงไม่สามารถซื้อได้ตามต้องการ“ข้านามจูถิง” สตรีชุดเขียวแนะนำตัวเป็นคนต่อไป นางติดใจแป้งผัดหน้ายิ่งนัก เนื้อละเอียดถูกใจเมื่อทาบนใบหน้ากลับดูกลืนไปกับผิว ไม่วอกไม่ลอกเหมือนอันเดิมที่เคยใช้“ส่วนข้านามลู่ฮวา” สตรีชุดส้มแนะนำตัวเป็นคนสุดท้าย ส่วนนางนั้นชอบดินสอเขียนคิ้ว ทั้งยังเพิ่งจะรู้ว่าของสิ่งนี้มิได้มีเพียงแค่สีดำเพียงอย่างเดียว ยังมีสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม หากเลือกใช้สีที่เข้ากับตัวเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ใบหน้าเปลี่ยนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ“ข้าชื่อไป๋เหลียนเจ้าค่ะ ข้าขายให้พวกท่านไม่แพง ถือเสียว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราซื้อขายกัน ของทุกอย่างข้าขายให้พี่สาวชิ้นละร้อยอีแปะ นี่ข้าก็ขายขาดทุนมากแล้วนะเจ้าคะ ความจริงแล้วราคาเครื่องประทินผิวพวกนี้ข้าต้องขายชิ้นละหนึ่งตำลึง พี่สาวทั้งสามเป็นลูกค้าคนแรกข้าขายให้ถูกกว่าราคาทุน แต่ครั้งหน้าไ
“เจ้าเนี่ยนะ จะมาสอนพวกข้าแต่งหน้า” สตรีชุดเขียวมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะเดินสำรวจสตรีตรงหน้าอย่างตั้งใจ หน้าตาหรือก็จืดชืดแทบจะไม่แต่งแต้มอันใดบนใบหน้าเช่นนี้ จะสอนแต่งหน้าเป็นหรือ“ข้าว่ามีอะไรมาขายก็รีบ ๆ เอาออกมาเถอะ ประเดี๋ยวต้องไปทำงานแล้วไม่มีเวลามาฟังเจ้าพูดได้ทั้งวันหรอกนะ” สตรีชุดส้มกล่าวเตือนไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ นางไม่ได้ลูกค้าสามวันติดแล้ว หากวันนี้พลาดอีกเบี้ยเดือนนี้ไม่พอใช้เป็นแน่คนทั้งสามต่างก็เห็นพ้องต้องกัน พวกนางจะมาเสียเวลาไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ยังแต่งหน้าแต่งตัวไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ ออกไปรับแขกไม่ทันกันพอดีหญิงสาวเห็นดังนั้นจึงล้วงเอาเครื่องสำอางในกระเป๋าออกมาวางเรียงรายบนโต๊ะ ของที่นำมาขายวันนี้ก็มีหลายอย่างเช่น ดินสอเขียนคิ้ว รองพื้น แป้งพับ แป้งฝุ่น ลิปสติก มาสคาร่า อายแชโดว์ แต่ละอย่างมิใช่แค่แบบเดียว ไป๋เหลียนนำออกมานำเสนอแทบจะทุกเฉดสีที่คิดว่าเข้ากับสตรีทั้งสาม“วันนี้เห็นว่าพวกพี่สาวรีบ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาข้าจะแต่งหน้าให้พวกท่านทุกคนและสอนไปด้วยเจ้าค่ะ ผู้ใดจะลองก่อนเจ้าคะ”“เช่นนั้นข้าขอก่อนแล้วกัน อย่างไรเสียข้าทำผ
Comments