หลังจากที่บทรักที่เร่าร้อนและดุเดือดจบลง ม่านของเตียงสี่เสาก็หล่นลงมาคลุมเตียงหลังใหญ่เอาไว้เพราะแรงโยกขย่มที่รุนแรงของฮ่องเต้หนุ่ม ด้านหลังม่านแสนบางเบานั้นเมื่อมองเข้าไปด้านในก็เห็นร่างสองร่างที่นอนโอบกอดกันภายใต้ผ้าผวยผืนบางเบาที่ใช้ห่มคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองเอาไว้
หงลี่ซุุกกายเข้าไปในอกแกร่งแสนอุ่นที่นางคุ้นเคย มือบางลูบไล้ไปจนทั่วหน้าอกแกร่งของเขา หลี่หมิงสามีของข้า แม้ท่านจะเกลียดข้าชิงชังข้ามากเพียงใด แต่ข้ารักท่าน มีเพียงท่านในหัวใจเท่านั้น ท่านรู้หรือไม่ นางกระซิบบอกเขาแต่เพียงในใจ ขณะที่ชายร่างหนาที่นางลูบไล้นั้นหลับตานิ่ง นางคิดว่าเขาคงหลับไปแล้วเพราะบทรักที่ดุเดือดและร้อนแรงเหลือเกินของทั้งคู่
“ อย่าลูบไล้ข้า มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องรับมือกับลูกชายของข้าอีกครั้ง เจ้าพร้อมหรือไม่ ”
เขาบอกกับนางทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ หงลี่รีบกระซิบบอกเขาว่า “ ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ไหวแล้ว ”
แล้วนางก็เลิกลูบไล้เขา แล้วนอนซุุกในอกเขาแต่โดยดี หงลี่หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มสมใจ บัดนี้นางคือสนมหรืออีกนัยหนึี่งคือภรรยาของเขา ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางความรักระหว่างนางกับเขาได้อีกแล้ว นางคิดเพียงแค่นี้แล้วก็หลับไป
แต่เมื่อนางลืมตาตื่นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว แต่ไม่รู้ว่ากี่ยามแล้วเช่นกัน เพราะนางเข้ามาในห้องทรงอักษรนี้ตั้งแต่ยามบ่ายคล้อย นางมองเห็นฮ่องเต้หนุ่มที่บัดนี้สวมอาภรณ์เสร็จสิ้นแล้ว เขาลุกจากเตียงไปเมื่อใดนางไม่รู้ตัวเลย
เขากำลังยืนอยู่ข้างเตียงที่นางนอนอยู่ แล้วก็เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นนางขยับกายลุกขึ้นนั่ง “ รับนี่ไป แล้วออกไปได้แล้ว ” เขายื่นถุงเงินสีขาวใบหนึ่งให้กับนาง
หงลี่จ้องมองถุงเงินนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ขณะที่มือของนางกำผ้าผวยที่ใช้คลุมร่างที่เปลือยเปล่าของนางเอาไว้แน่น ในอกเจ็บร้าวไปหมด
“ รับไปสิ แล้วก็ออกไปได้แล้ว ข้าให้เจ้าเป็นค่าตัว " เสียงที่นางได้ยินมันย้ำเตือนสิ่งที่นางสงสัยว่าเขายื่นถุงเงินให้นางทำไม ค่าตัวหรือ หงลี่น้ำตาไหลรินลงมาทันที เขาดูถูกนางมากถึงเพียงนี้ เขาคิดว่านางขายตัวให้แก่เขาหรือไร ที่นางยอมเริงรักกับเขาอย่างเร่าร้อนก็เพื่อต้องการให้เขามีความสุขเพราะนางถือว่าเขาคือสามีของนาง
แต่แล้วสิ่งที่เขาทำมันบอกให้นางได้รู้ความในใจของเขาจนหมดสิ้น เขาคงไม่ได้รักนางอีกแล้ว เขาไม่ได้คิดว่านางคือภรรยาของเขา แต่เขาคิดว่านางคือนางบำเรอหรือไม่ก็หญิงที่ขายเรือนร่างเพื่อแลกเงิน
หงลี่จ้องมองใบหน้าคมคายที่ยังคงเรียบเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร เขาวางถุงเงินเอาไว้บนเตียงข้างกายของนาง เมื่อเห็นว่าหงลี่ไม่ยื่นมือออกมารับ
“ หยิบถุุงเงินนี่ไป แล้วก็ออกไปเสีย ข้ามีราชกิจจะต้องทำ หลังจากนี้หากข้าไม่เรียกก็ไม่ควรมาพบข้า ข้ามีชายาและสนมมากมาย หากไม่เรียกหาก็ไม่ควรมาพบข้าโดยพละการ อีกอย่างข้าก็เบื่อเจ้าแล้วด้วย เพราะรสชาติก็ซ้ำๆเดิมๆ ไม่ได้เร้าใจอะไรอีกแล้ว วันนี้ข้าสั่งให้รับสตรีใหม่เข้ามาเป็นสนมอีกชุด และสั่งให้สตรีที่งามที่สุดเตรียมถวายตัวในคืนพรุ่งนี้ ส่วนเจ้ากลับไปได้แล้ว ”
ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยวาจาที่บาดใจหงลี่ต่อไป เขาหันไปมองทางอื่นที่ไม่ต้องเห็นใบหน้างามที่พลัสลดลงทันทีหลังจากที่เข้าใจความหมายที่เขามอบถุงเงินให้แก่นาง
“ ถ้าพระองค์เบื่อหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันขอลาออกไปจากวังหลวงจะได้หรือไม่เพคะ พระองค์จะได้ไม่ต้องพบหน้าหม่อมฉันอีก ”
หงลี่เอ่ยขึ้น คราวนี้ใบหน้าหล่อคมที่ยืนหันหลังให้นางนั้นเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ เจ้าไม่รู้หรือว่าสตรีในวังหลังเมื่อเข้ามาแล้วจะออกไปไม่ได้ เจ้าถวายตัวมาเป็นสนมของข้า ข้าจะเรียกใช้เจ้าหรือไม่ เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะแก่ตายไป ไม่มีทางจะออกไปภายนอกวังหลวงได้อีก ”
เขาบอกกับนาง คิดหรือว่าจะหนีเขาออกไปจากที่นี่ได้ แม้เขาไม่เรีียกใช้นางแล้วก็ไม่อนุญาตให้ไปที่ใดทั้งสิ้น อยู่ในวังหลวงแห่งนี้แหละ อยู่ให้แห้งเหี่ยวหัวโตไปเลย
เขาไม่เรียกหา นางก็จะมีชายใดไม่ได้ทั้งนั้น สะใจเขายิ่งนัก ฮ่องเต้หนุ่มเดินไปหยุดยืนที่ข้างหน้าต่างบานกว้าง ขณะที่หงลี่รีบขยับกายลงจากเตียง แล้วก็ค่อย ๆ เดินไปเก็บอาภรณ์ของตนเองที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมอย่างเร่งรีบ แล้วสำรวจดูว่าเรียบร้อยพอทีจะเดินกลับไปที่ตำหนักน้อยของนางได้หรือไม่
ก่อนที่ก้าวเดินออกไปจากที่นี่ นางหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากฮ่องเต้หนุ่มที่บัดนี้เขาไม่ใช่อดีตคนรักของนางอีกแล้ว นางเอ่ยขึ้นพอให้เขาได้ยินว่า
“ หม่อมฉันไม่ขอรับถุงเงินนั้นเพคะ เพราะหม่อมฉันเองก็ใช้พระองค์ในการหาความสุขจากบุรุษเช่นกัน แต่แล้วก็พบว่างั้น ๆ ไม่ได้เร้าใจอย่างที่หม่อมฉันคิด เสียดายนักที่อยู่ในวังหลวง ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะหาบุรุษอื่นที่เร้าใจกว่าพระองค์มาเป็นสามีแล้วเพคะ ”
นางเอ่ยขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่เกรงกลัวว่าเขาจะสั่งลงโทษที่นางกล้ากล่าววาจาสาวหาวเช่นนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้อยากจะทำให้นางโมโหจนเห็นช้างตัวเท่าหมูทำไมกัน
แล้วนางก็ก้าวเดินออกไปจากประตูไป โดยที่ไหล่บางของนางตั้งตรงอย่างหยิ่งทรนง นางมุ่งหน้าเดินตรงไปตามทางเดินด้วยหัวใจที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ได้รักนางอีกแล้วจริง ๆ เป็นนางที่คิดไปเอง
เขาคงจะแก้แค้นนางที่เคยบอกว่านางหลอกใช้เขา หลอกเขาเล่น ๆ ปั่นหัวเขาเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่ที่นางพูดแบบนั้นก็เพื่อจะให้เขาไปจากนาง เพราะท่านพ่อคงจะไม่ละเว้นเขาแน่ แต่นางก็ไม่รู้ว่าเขาคือฮ่องเต้ เรื่องราวมันถึงได้กลับตาลปัตรไปเช่นนั้น แต่ก็ช่างมันเถิด เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก
ทุกอย่างเมื่อครั้งอดีตถือว่าจบสิ้นกันแค่นี้ ระหว่างนางกับเขามันจบลงตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่หนิงโจวแล้ว แต่เป็นนางที่เข้าใจไปเองว่าเขายังมีใจให้ เพราะเขารับนางเข้ามาเป็นสนม แต่หงลี่ก็ลืมคิดไป เขาคงจะรับนางมาเพื่อแก้แค้นเสียมากกว่า มิเช่นนั้นจะมอบตำแหน่งสนมขั้นต่ำสุดให้แก่นางได้อย่างไรกัน ถ้านางยังเป็นสตรีที่เขารัก นางมันโง่เง่าเองที่ไม่มองความเป็นจริง
น้ำตาของนางไหลพรากลงมาเต็มใบหน้า และหงลี่ก็ปล่อยให้มันไหลรินลงมาให้สาแก่ใจ และโชคดีนักที่เวลานี้เป็นเวลาค่ำคืนแล้ว คงไม่มีใครมาเห็นว่านางกำลังร่ำไห้ขณะที่กำลังเดินกลับไปยังตำหนักของตนเอง
นางเดินมาเพียงลำพังโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด เพราะหัวใจมันเจ็บจนด้านชา จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างไปเสียแล้ว ขณะนั้นอยู่ ๆ นางก็สะดุดล้มเพราะมัวแต่ร้องไห้โดยไม่ได้มองทางให้ดี
แต่แล้วก็มีมือหนาคู่หนึ่งมาจับไหล่ของนางแล้วพยุงให้ลุกขึ้น “ เป็นเช่นไรบ้าง แม่นาง เอ้อ…ท่านคงจะเป็นพระสนมนางหนึ่งในวังหลวงแห่งนี้หรือไม่ ”
องครักษ์ตงเหวินจ้องมองการแต่งกายของนางจนทั่ว นางไม่ใช่นางกำนัลอย่างแน่นอน
“ อ่อ…ข้าเป็นเพียงสนมปลายแถวคนหนึ่งไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าไม่เป็นไร ขอบใจมากนะ ”
นางหันไปมองหน้าคนที่ช่วยพยุงนางขึ้นมาจากพื้นที่นางล้มลงไปเพราะสะดุดหินที่ปูพื้นที่มันยื่นออกมาก้อนหนี่งแต่นางไม่ทันเห็น
“ ข้าคือองครักษ์ตงเหวินขอรับ เห็นพระสนมล้มลงจึงได้รีบมาช่วย ให้ข้าเดินไปส่งท่านดีไหม เพราะตอนนี้ก็ค่ำมืดแล้ว เดินไปผู้เดียวคงไม่ดีกระมังขอรับ ” หงลี่พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเพราะตอนนี้ไม่อยากจะพูดจาอะไรกับผู้ใดทั้งสิ้น เพียงอยากจะเดินไปให้ถึงตำหนักของตนเองเพียงเท่านั้น
หลังจากที่บทรักที่เร่าร้อนและดุเดือดจบลง ม่านของเตียงสี่เสาก็หล่นลงมาคลุมเตียงหลังใหญ่เอาไว้เพราะแรงโยกขย่มที่รุนแรงของฮ่องเต้หนุ่ม ด้านหลังม่านแสนบางเบานั้นเมื่อมองเข้าไปด้านในก็เห็นร่างสองร่างที่นอนโอบกอดกันภายใต้ผ้าผวยผืนบางเบาที่ใช้ห่มคลุมเรือนร่างเปลือยเปล่าของทั้งสองเอาไว้ หงลี่ซุุกกายเข้าไปในอกแกร่งแสนอุ่นที่นางคุ้นเคย มือบางลูบไล้ไปจนทั่วหน้าอกแกร่งของเขา หลี่หมิงสามีของข้า แม้ท่านจะเกลียดข้าชิงชังข้ามากเพียงใด แต่ข้ารักท่าน มีเพียงท่านในหัวใจเท่านั้น ท่านรู้หรือไม่ นางกระซิบบอกเขาแต่เพียงในใจ ขณะที่ชายร่างหนาที่นางลูบไล้นั้นหลับตานิ่ง นางคิดว่าเขาคงหลับไปแล้วเพราะบทรักที่ดุเดือดและร้อนแรงเหลือเกินของทั้งคู่“ อย่าลูบไล้ข้า มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องรับมือกับลูกชายของข้าอีกครั้ง เจ้าพร้อมหรือไม่ ”เขาบอกกับนางทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ หงลี่รีบกระซิบบอกเขาว่า “ ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ไหวแล้ว ”แล้วนางก็เลิกลูบไล้เขา แล้วนอนซุุกในอกเขาแต่โดยดี หงลี่หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มสมใจ บัดนี้นางคือสนมหรืออีกนัยหนึี่งคือภรรยาของเขา ไม่มีผู้ใดมาขัดขวางความรักระหว่างนางกับเขาได้อีกแล้ว นางคิ
มือบางของนางเสยเข้าที่เส้นผมของฮ่องเต้หนุ่มอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป แต่เขาก็มิได้ว่าอะไรนางสักคำปล่อยให้นิ้วน้อยๆ ของนางเสยเข้าไปในเส้นผมดกหนาของเขา แล้วโน้มศีรษะของเขาลงมาจนชิดอกอวบใหญ่ที่แอ่นระแน้ขึ้นหาเขา เสียงดูดจ๊วบจ๊าบดังขึ้นอย่างหยาบคาย ฮ่องเต้หนุ่มไม่ได้สนใจสิ่งใดนอกจากเต้าอวบคู่หวานตรงหน้า เขาสลับเชยชมมันไปมาทั้งสองข้าง ดูดดื่มมันดังเช่นทารกกระหายนมมารดากระนั้น ส่วนสตรีร่างบางแต่เมื่อยามเปลือยเปล่าเรือนร่างกลับอวบอิ่มงดงามยิ่งนัก นางร้องครวญครางปานจะขาดใจ เมื่อถูกทั้งดูดทั้งไล้เลียสลับกันไปทั้งสองข้าง เมื่อดูดเต้าหวานของสตรีบนตักจนพอใจแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นสบตาที่เต็มไปด้วยไฟสวาทของสนมตัวน้อยของเขา และแล้วใบหน้าของทั้งสองก็เลื่อนเข้าหากัน แล้วจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนเหมือนหิวกระหายในกันและกันเหลือแสนก็เริ่มต้นขึ้น จูบนั้นยาวนานเหลือเกิน นานจนหงลี่แทบจะขาดใจ ฮ่องเต้หนุ่มจึงยอมปล่อยนาง ขณะที่มือหนาของเขาก็สอดเข้าไปใต้กระโปรงที่บัดนี้เลิกขึ้นมาอยู่ที่เอวคอดของนาง ส่วนด้านล่างนั้นเปลือยเปล่า ชั้นในตัวน้อยที่ผูกปมเอาไว้ที่สะโพกทั้งสองข้างนั้นไม่ทราบว่าหายไปที่ใดแล้
ระหว่างนี้เขาก็ยกสุราขึ้นดื่มอวยพรเป็นระยะ เวลาที่เหล่าชายาของเขากล่าวอวยพระพระมารดา รวมถึงเหล่าขุนนางทั้งหลายที่พากันยกจอกสุราดื่มอวยพร และพากันทะยอยมอบของขวัญบรรณการกันเป็นระยะ รวมถึงเหล่าภรรยาใหม่ๆทั้งหลายของเขาที่พากันถวายของขวัญแก่พระมารดาของเขาเพื่อเอาอกเอาใจกันเป็นระยะ บางนางมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยของขวัญก็ย่อมจะล้ำค่าราคาแพงและแปลกตา ไทเฮาขอบคุณเหล่าสะใภ้และขุนนางที่เข้าถวายของขวัญแก่พระนางส่วนสนมปลายแถวเช่นหงลี่จะมีอะไรไปถวายว่าที่แม่สามีกันเล่า ได้แต่เฝ้ามองคนอื่นๆ มอบของขวัญ และเฝ้ามองการแสดงตรงหน้าที่สลับกันมาให้ความบันเทิงในหลากหลายรูปแบบเท่านั้นเมื่องานเลี้ยงใกล้จะเลิกรา ก็มีการถวายพระพรกันอีกครั้งและก็กล่าวปิดงานโดยไทเฮาและฮ่องเต้ที่ขอบใจเหล่าบรรดาราชวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่ที่มาเข้าร่วมถวายพระพรองค์ไทเฮา และเหล่าแขกที่มาร่วมงานก็เริ่มทะยอยกันออกไปจากท้องพระโรง ส่วนฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จลงจากที่ประทับทางด้านข้าง และก็หายลับเข้าไปทางห้องด้านหลังเป็นอันว่าเสด็จกลับแล้ว พระชายาและสนมน้อยใหญ่ก็พากันลุกขึ้นแล้วก็ทะยอยกลับเช่นกัน รวมถึงเหล่าขุนนางด้วย ส่วนหงลี่ก็เม
ช่วงสายวันต่อมา ฟางเอ๋อเข้ามาแสดงความยินดีกับพระสนมหยูนายหญิงของตนเอง เพราะนางดีใจเหลือเกินที่ฮ่องเต้เสด็จมาหาพระสนมที่ตำหนักนี้และอยู่ค้างคืนจนกระทั่งเช้าจึงได้กลับไป นับว่าเป็นข่าวดีนัก ที่พระสนมที่เกือบจะปลายแถวเช่นนายหญิงของตนได้รับใช้องค์ฮ่องเต้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ขนาดพระชายาที่รับการแต่งตั้งถึงสามนางยังไม่มีผู้ใดได้รับโอกาสในการถวายการรับใช้ดังเช่นนายหญิงของตนเลย“ บ่าวยินดีกับพระสนมจริงๆนะเพคะ ที่ท่านได้มีโอกาสปรนนิบัติฮ่องเต้แล้ว และรวดเร็วกว่าสตรีใดในวังหลังแห่งนี้เลยนะเพคะ หม่อมฉันทราบในตอนแรกแทบจะไม่เชื่อเลยว่าพระสนมจะได้ปรนนิบัติองค์ฮ่องเต้ได้รวดเร็วปานนี้ บ่าวได้ยินว่าขนาดพระชายาสามพระองค์นั่นยังไม่ได้มีโอกาสรับใช้ฮ่องเต้เลยนะเพคะ ”ฟางเอ๋อนางกำนัลน้อยกล่าวอย่างยินดีในบุญวาสนาของนายหญิงตนเอง ขณะที่นางกำลังปรนนิบัตินายหญิงหลังจากอาบน้ำแล้ว ก็หวีผมยาวสลวยให้และกำลังติดเครื่องประดับผมที่มีขันทีนำมามอบให้เมื่อวานนี้ ใบหน้าของหงลี่เปลี่ยนสีไปทันที ใครบอกว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของนางกัน ชายคนเมื่อคืนที่เคี่ยวกรำนางแทบจะทั้งคืนกว่าจะยอมปล่อยให้นางนอนหลับ แ
หลี่หมิงดึงรั้งอาภรณ์ของสตรีใต้ร่างจนแทบจะหลุดลุ่ย เขาฉีกตูโต้วผืนบางของนางออกจนขาดเป็นทาง แล้วแหวกกระโปรงผ้าเนื้อบางเบาของนางออก เลิกมันขึ้นไปจนสูง เปิดเปลือยเนินเนื้ออวบใหญ่ที่คุ้นตาให้แก่เขา หลี่หมิงถอดกางเกงของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วจับเจ้าลูกชายของเขาถูไถเนินเนื้อของนางไปมา แต่ไม่ยอมสอดเข้าไป เพียงถูไถมันไปมาเพียงเท่านั้น ส่วนสตรีใต้ร่างก็ดิ้นรนขัดขืนไม่สมยอมเขาดังเช่นที่เคยผ่านมา “ ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า เจ้าคนชั่ว เจ้าคนเลวอย่าทำอะไรข้านะ ไม่อย่างนั้นข้าจะร้องให้คนช่วย ออกไปจากเรือนของข้านะ ” นางกรีดร้อง แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังจนเกินไปเพราะเกรงจะมีคนได้ยิน แล้วหลี่หมิงจะเดือดร้อน นางแค่ต้องการให้เขาโกรธและเลิกมายุ่งเกี่ยวกับนางแต่หลี่หมิงไม่สนใจเสียงข่มขู่นั้น เขากลับก้มลงดูดอกอวบใหญ่ที่สั่นไหวอยู่ใต้ร่าง เขาขบกัดผลอิงเถาของนางอย่างแรง สลับกับไล้เลียมันไปมา หงลี่พยายามดิ้นรนไม่ยอมให้เขากระทำตามใจ แต่ยิ่งดิ้นยิ่งถูกดูด เขาดูดเต้าหวานของนางจนแทบจะเข้าไปในปากทั้งเต้า ดูดอย่างแรง ดูดสลับกับไล้เลียชิมรสของมัน ดูดจนสตรีใต้ร่างเลิกดิ้นรนหนี แต่เปลีี่ยนไปเป็นดิ้นพล
หลังจากผ่านไปกว่าสิบวัน หงลี่ก็เริ่มดีขึ้น นางทำใจได้แล้ว เพราะถึงทำใจไม่ได้นางก็ทำอะไรไม่ได้ ครอบครัวที่ถูกเนรเทศไปก็ยังดีกว่าถูกประหาร นางได้คิดก็เพราะมีนางกำนัลวัยกลางคนที่นำอาภรณ์และข้าวของมาให้กับนางได้เตือนสตินางเช่นนี้ ใช่ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย แค่เพียงย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคว้นอื่น หากมีวาสนาภายหน้าอาจจะได้พบกัน ส่วนนางบัดนี้มาอยู่ในวังหลวง ไม่ได้ทำการงานอะไร เพียงนั่งทอดถอนหายใจทิ้งไปไว้ๆ นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองวันก็มีสาวใช้นางหนึ่งมาแนะนำตัวกับนาง ว่ามีชื่อว่าฟางเอ๋อ ได้รับมอบหมายให้มาเป็นนางกำนัลประจำตัวของพระสนม แม้นางจะเป็นสนมขั้นต่ำสุด แต่ก็ยังมีคนรับใช้ และเมื่ออยู่ๆ ไปก็ได้รับความรู้จากนางกำนัลที่มารับใช้ว่านางคือพระสนมขั้นเฟย ที่เป็นชั้นต่ำสุดในบรรดาพระสนม และพระสนมทุกคนในวังหลวงก็ใช่ว่าจะได้ถวายตัวให้แก่ฮ่องเต้ บางคนก็ไม่เคยได้พบหน้าพระองค์เลยด้วยซ้ำ ฟางเอ๋อยกตัวอย่างฮ่องเต้รัชกาลที่ผ่านมาให้ฟังส่วนฮ่องเต้องค์ใหม่พระองค์นี้ เพิ่งจะรับนางสนม และพระชายาเข้ามาเป็นชุดแรก ส่วนฮองเฮายังไม่ได้สถานปนาเพราะพระองค์เพิ่งขึ้นครองราชย์ หงลี่นั่งรับฟังก