LOGIN"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"
จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"
โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ
"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"
จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี
"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"
นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ
"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"
จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล
"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"
เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียว
โจวชวี่ก้มลงหยิบไก่ย่างที่ยังอุ่นหอมกลิ่นควันไฟ ส่งให้จือจือด้วยท่าทีไม่ถือตัว
"เจ้าสองคนเอาไปกินเถอะ ที่จริงพวกข้าพึ่งกินไปเอง ยังอิ่มอยู่มาก แต่เจ้านี่สิ อ้วนแบบนี้แปลว่าปกติคงไม่ได้อดอยาก คงทนหิวไม่ได้นานเท่าไหร่"
จือจื่อหัวเราะเบาๆ รับไก่มาอย่างไม่ถือสา ก่อนจะยื่นส่งให้เหมยจิ้งอีกที สีหน้ากลับจริงจังขึ้นเล็กน้อย
"เจ้าเอาไปแบ่งเป็นสี่ส่วน แล้วไปเอาเข็ม ด้าย แล้วก็เชือกมา ข้าจะทำเบ็ดตกปลากับบ่วงจับไก่ให้พวกเขา"
เหมยจิ้งรับไก่ไปอย่างว่าง่าย พยักหน้าตามคำสั่งแต่ยังหันกลับมามองนายหญิงด้วยแววตาเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นจือจื่อทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย
จือจื่อเห็นสายตานั้นก็ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปพาโจวชวี่กับชูอวี่เดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้านใน ระหว่างทางนางกวาดตามองรอบตำหนักร้างที่รกครึ้ม พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจเพราะกำลังวางแผนใหญ่ ที่นี่กว้างขวาง หากปรับปรุงเสียหน่อยก็จะดีที่สุดน่าอยู่ที่สุด
“อาณาจักรของช้านนนนน”
“อะคืออะไรท่านพูดถึงอะไร”
"อืมมมมอย่าใส่ใจข้าก็แค่เพ้อไปตามเรื่อง คราวนี้ฟังนะที่นี่เรามีเครื่องมือดีๆ แล้ว พวกเจ้าก็พยายามหน่อย จับไก่มาเยอะๆ เลยละกันแต่อย่าจับมาหมดล่ะเหลือไว้ให้คนอื่นเขาบ้าง ชนบทแบบนี้ไก่ป่าเยอะแยะ เราเอามาเลี้ยงไว้ด้วยวันหน้าจะได้มีไข่กินอีก"
โจวชวี่พยักหน้ารัว ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นอนาคตตรงหน้าทำไมเขาคิดเรื่องนี้ไมไ่ด้นะ ส่วนชูอวี่เอียงหัว มองจือจื่อจากหัวจรดเท้า สีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน และในที่สุดก็แพ้เสียงในหัว
"แล้วเจ้าเป็นสนมของฮ่องเต้ เหตุใดต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วย เจ้าไม่มีเงินทองหรืออาหารติดตัวมาด้วยหรือ"
โจวชวี่ถึงกับเบิกตากว้าง คิดตามน้องชาย
"หรือว่าเจ้าตกอับจริงๆ"
คำพูดนั้นทำให้จือจื่อชะงักไปนิ๊สหนึ่ง จือจื่อเบ้หน้าเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์แต่แฝงความดื้อดึงในแววตา
"พวกเจ้าอย่าได้สงสัยในตัวข้า ข้าไม่ได้ตกอับ ข้ายังทรงคุณค่าตามเดิม" จือจื่อยกมือขึ้นแตะอกตนเองเหมือนย้ำเตือนศักดิ์ศรี ก่อนจะถอนหายใจยาว
"นี่ ข้าจะเล่าให้ฟัง ข้าแต่งเข้าไปตั้งนาน แต่ฮ่องเต้ไม่เคยสนใจ ข้าเป็นแค่สนมหนึ่งในกองสนมมากมาย กองสนมเจ้าได้ยินไหมกองสนมกองเล็กกองใหญ่ ถูกลืม ถูกปล่อยให้อยู่ลำบาก ถูกคนรังแกอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด จนสุดท้ายข้าทนไม่ไหว จึงก่อเรื่องอย่างไม่ไว้หน้าใคร แล้วยังด่าพวกขุนนางชั่วไปอีกยกขุนนางกรมคลังที่ข้าด่าเจ็บปวดแทบกระอักเลือดด่าขุนนางฉแฝ่าบาท…แล้วก็ถูกส่งมาที่นี่"
โจวชวี่และชูอวี่ชะงักพร้อมกัน สีหน้าจากขำขันเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน ชูอวี่ตาโตเหมือนเด็กได้ฟังเรื่องเล่าผจญภัย
"เจ้าช่างกล้าหาญนักมีใครกล้าด่าขุนนางฉแฝ่าบาทบ้างเล่าสนอกจากเจ้า นับถือๆ" เขาหัวเราะเบาๆ ด้วยแววตาชื่นชม
"ข้าเองก็คิดเหมือนเจ้าเลย ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่ชอบก็จัดการซะ อยู่แบบข้าดีกว่าเป็นไหนๆ ไม่ต้องฝืนใจสวมหน้ากากเข้าหากัน พวกเข้าสองคนจำไว้อย่าไปคบค้ากับพวกขุนนางชั่วพวกนั้นเลย ดีแต่รังแกชาวบ้าน"
“จริงที่สุดเจ้าเก่งจริงๆ แม่นาง”
จือจื่อเหมือนได้พวกเดียวกัน เสียงนางเริ่มคึกคักขึ้น
"ใช่ๆ ชั่วจริงๆ นะ ข้าจะบอกให้ฟัง ตอนข้าไปเที่ยวหอโคมเขียวนั่งได้แป๊บเดียวทุกคนรุมมาฟ้องข้ายกใหญ่ว่าขุนนางพวกนี้ทำอะไร ร้องไปก็ไม่ถึงหูใครเพราะพวกกันทั้งนั้น ตอนข้าถูกจับแค่ข้าพูดปกป้องตัวเอง ไอ้ไต้เท้าหวังก็ยุยงจะให้ข้าตายให้ได้ เจ้ารู้จักไหมไต้เท้าหวังนั้นน่ะ"
ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกันอย่างไม่ใส่ใจ
"หึ ใครกัน"
จือจื่อกระแทกเสียงด้วยความโมโห มือกำแน่น
"นั่นแหละ เป็นแค่ไต้เท้าหวัง ไต้เท้าหวังแล้วอย่างไร นี่ยังมีลูกสาวไต้เท้าหวังคนนั้นถึงกับตามมาลากข้าไปโบย รุมรังแกข้าอย่างไม่ยุติธรรมต่อลับหลังคน โบยข้าจนหลังลาย หึยพูดละเจ็บแผล” จือจื่อสูดลมหายใจแรง
"คิดแล้วก็หงุดหงิด"
"โหดร้ายจริงๆ จากหนีออกมาก็ดีแล้ว ที่นี่ห่างไกล ไม่มีใครมารังแกเจ้าอีกแล้วขุนนางพวกนั้นสมควรถูกเจ้าสั่งสอนแล้ว เลวสิ้นดี" โจวชวี่พยักหน้ารัว สีหน้าเคร่งขึ้น
ชูอวี่รีบเสริมด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
"ใช่ๆ จริงๆ ที่นี่ไม่ใช่เมืองที่ถูกทิ้งหรอก คนที่อยู่ล้วนเป็นคนที่ไม่อยากจากไปและตั้งใจมาอยู่เองกันทั้งนั้น หากไม่อยากอยู่ คงเป็นเมืองร้างจริงๆ ไปนานแล้ว ที่นี่ห่างไกลเรื่องวุ่นวาย มีผู้คนมากมายที่หลบหนีมา พวกเราไม่ได้เลวร้ายอะไรแค่จนไปหน่อยเท่านั้นเอง"
โจวชวี่พยักหน้าเห็นด้วย
"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ
"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ
"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ
จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"
"ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้..." เยว่จื่อพูดในใจ รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมยจิ้งจับมือของเยว่จื่อแน่นขึ้น รู้ดีว่าการสนับสนุนจากใครสักคนคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เยว่จื่อผ่านพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้"เจ้าค่ะ นายหญิงจือจื่อ" ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า ใจของเยว่จื่อยังคงแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเยว่จื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหลับตาลง ทุกอย่างมันเหมือนกับภาพลวงตาแต่อย่างน้อย ร่างนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่...หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการถูกเนรเทศมาที่ตำหนักร้างนั้น เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและความอดอยาก ตำหนักที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงศักดิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นเก่าทึม จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ รถม้านำทั้งสองคนมาทิ้งไว้ที่นี่"ไม่มีอะไรกินได้เลยเจ้าค่ะ... โธ่...นายหญิงของเหมยจิ้งต้องหิวมากๆ เลยใช่ไหมเจ้าค่ะ..." เสียงของเหมยจิ้งแผ่วเบาด้วยความห่วงใยจือจื่อลองยืนมองรอบๆ ตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง บรรยากาศรอบๆ มืดมัวและเงียบสงัด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจเยว่จื่อหรือจือจื่อหันมองไปที่เหมยจิ้งอย่างเหนื่อยล้าและท้อแท้ ร่
เสียงฟาดของไม้กระหน่ำลงบนแผ่นหลังของเยว่จื่อดังสนั่น แรงของการตีทำให้ร่างอ้วนๆ ของนางสะท้านไปทั้งตัว แต่เยว่จื่อยังคงตั้งท่าหยัดยืน มือกุมที่แผ่นหลังที่กำลังเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมร้องเสียงดัง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอที่ทุกคนหวังจะได้เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวก็ตาม"ฮึก... อึก…" เสียงหอบแห้งของนางดังขึ้น เฉพาะในใจที่เผชิญกับความเจ็บปวดจนแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงด่าทอ"พวกคนสารเลวข้าไม่มีทางอภัยให้พวกเจ้า" เยว่จื่อกัดฟันกรอดร่างของนางสะเทือนจากไม้ที่ฟาดลงอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ว่าอับจนหนทางแล้วรอยยิ้มระรื่นก่อนหน้านั้นมลายหายไปบุรุษกำยำที่ยืนคอยจับตัวหากว่าจะหนี ขณะที่กลุ่มสนมเอกและพวกที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เหมยจิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงฟาดไม้สะท้านไปทั่วตำหนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างได้ หลินซื่อหานยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเห็นลูกสาวของตัวเองโดนทำร้ายเช่นนี้"พระสนมได้โปรด... ข้าขอร้องเถิด" หลินซื่อหานร้องตะโกนออกไป สีหน้าของเขามืดมนไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด แต่อีกด้านห






![ตำนานรักแผ่นดินกงซุน [NC25+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
