LOGIN"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป"
"พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย
เหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา
เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามอง
ด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน
"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง
"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"
โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการยืนข้างๆ จือจื่อแล้วพลอยรู้สึกถูกเคารพตามไปด้วย จือจื่อเหลือบเห็นเข้าก็เอื้อมมือไปตีแขนทั้งสองเบาๆ ให้หยุด ก่อนจะลุกขึ้นเล็กน้อยแล้วรีบห้ามหนานซ่งที่กำลังจะรีบคุกเข่าลง
"พอแล้วๆ ข้าเห็นสภาพที่นี่แล้วก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาพักจริงๆ นั่นแหละ ท่านลุงอย่าคิดมากไปเลย"
หนานซ่งรีบเงยหน้า สีหน้ายังเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
"พระสนมโปรดให้เวลา ข้ากับสาวใช้นามว่าถานถานคนนี้จะรีบจัดการทำความสะอาดให้เรียบร้อยโดยเร็ว"
สาวน้อยที่ยืนข้างๆ ก้มหน้าตลอดเวลา พอได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างอัดอั้น ชูอวี่ที่พึ่งนึกอะไรได้รีบโพล่งขึ้นทันที
"เดี๋ยวๆๆ ไม่ได้ๆๆ ท่านลุงหนานซ่ง แบบนี้ไม่ได้เลยนะ พวกข้าแบ่งหน้าที่กันแล้ว คนทำความสะอาดบ้านคือนายหญิงจือจื่อกับเหมยจิ้ง พวกท่านสองคนมาทีหลังก็ไปหาทำอย่างอื่นแทนเถอะ"
หนานซ่งตาโต สีหน้าตกใจจนแทบก้าวถอย
"ไอ้หยา หน้าที่เช่นนี้จะให้พระสนมทำได้อย่างไร เจ้าพวกขอทานน้อย พูดจาไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง"
จือจื่อรีบยกมือขึ้นห้ามทันที เสียงหัวเราะแทรกออกมากลบความตึงเครียด
"เดี๋ยวๆๆๆ พอแล้วๆ ชูอวี่ เจ้าก็นี่นะ" จือจื่อส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหนานซ่ง
"ที่นี่ไม่ใช่วังหลวงแล้ว ข้ามาเริ่มใหม่ใช้ชีวิตที่นี่แล้ว ใครทำได้ก็ทำ สถานการณ์เช่นนี้ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูก"
โจวชวี่ยกมือเขกหัวชูอวี่เบาๆ เสียงดังปึกหนักแน่นแค่ฟังยังเจ็บตาม ก่อนจะกล่าวดุด้วยสีหน้าจริงจัง
“บ้านตั้งกว้างขนาดนี้ จะให้สองคนทำกันลำพังได้อย่างไร เจ้านี่คิดอะไรเพี้ยนๆ ตลอด”
จือจื่อพยักหน้าเห็นด้วย พลางกวาดตามองเรือนกว้างที่ยังรกเรื้อ ก่อนจะพูดอย่างเป็นกันเอง
"ใช่แล้ว งั้นเอางี้ เราทำสองห้องก่อน คืนนี้ข้านอนกับเหมยจิ้ง พวกเจ้านอนด้วยกัน จะได้ไม่ลำบาก พวกเราช่วยกันแล้วเดี๋ยวพวกเจ้าก็ไปหาปลาหาไก่มา"
โจวชวี่ยิ้มรับอย่างคล่องแคล่ว
"งั้นเดี๋ยวข้าจะเก็บฟืนมาด้วย ท่านลุงหนานซ่ง รบกวนไปกับพวกเราดีกว่า ท่านน่าจะชำนาญกว่าหาได้เร็ว เพราะเป็นคนในพื้นที่ ตอนนี้นายหญิงจือจื่อมีไก่แค่นี้คงไม่พออิ่ม"
หนานซ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมาหาจือจื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความเกรงใจ
"ข้าน้อยต้องขออภัยพระสนมจริงๆ ขอรับ ที่ไม่ได้ต้อนรับให้สมเกียรติ ทั้งยังไม่ได้ช่วยอะไรเลย ที่นี่มันยากลำบากจริงๆ …ชาวบ้านมีกินก็จริงแต่ต้องประหยัดกันมาก เพราะที่นี่ไม่มีเงิน ต้องพึ่งป่าเขาหากิน ของใช้เสื้อผ้าก็ขาดแคลน"
จือจื่อยกมือขึ้นห้ามอย่างไม่ถือสา สีหน้ายังมีรอยยิ้มบาง
"ช่างเถอะๆ ท่านลุง ข้าเข้าใจดี ข้าเอาทรัพย์ติดตัวมาอยู่บ้าง ยังพอประคองตัวได้ ไม่ลำบากหรอก"
หนานซ่งพยักหน้าซ้ำ ดวงตาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
"ดีจริงๆ นายหญิงช่างมีเมตตา"
ถานถานที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ มองจือจื่อไม่วางตา ในใจค่อยๆ เปลี่ยนไปจากที่เคยคิดไว้ นางเคยจินตนาการว่าพระสนมจากวังคงหยิ่ง ยากจะเข้าใกล้ นิสัยร้ายกาจโหดเหี้ยม เต็มไปด้วยกฎระเบียบและอำนาจ แต่หญิงตรงหน้ากลับธรรมดา เป็นกันเองและไม่ถือตัวเลยสักนิด แบบนี้กลับยังน่าเข้าหามากกว่าอีก
จือจื่อยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นราวกับนึกอะไรได้
"อ้อ อีกอย่าง ข้าลืมบอกไป ข้ามาอยู่ที่นี่เพราะทำความผิดมา ข้าไม่ชอบคำว่าพระสนมแล้ว จากนี้พวกท่านไม่ต้องเรียกข้าว่าพระสนมแล้ว"
หนานซ่งกับถานถานมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะคำนับพร้อมกันอย่างนอบน้อม
"ขอรับ นายหญิง"
"เจ้าค่ะ นายหญิง"
จือจื่อยิ้มรับอย่างพอใจ ในใจพลันรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นที่ที่นางสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ห่างไกลจากผู้คนที่คอยทำร้าย ห่างไกลจากสายตาและการดูถูก แม้ว่าชีวิตต่อจากนี้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่คิดจะถอยอยู่แล้ว จากนี้คงต้องคิดให้มากกว่านี้ ว่าที่ดิน ผืนป่าและเมืองร้างแห่งนี้จะทำอะไรได้บ้าง อย่างน้อยต้องเอาตัวรอดและหาทางสุขสบายให้ได้
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมความรู้สึกหนักอึ้งในอก ข้าเคยเริ่มจากศูนย์มาแล้วครั้งหนึ่ง เคยล้ม เคยถูกเหยียบจนจมดิน และครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำได้อีก ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามข้าเคยทำสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองนี่ไม่น่ายากแล้ว
“ข้าสอนเจ้าผูกเงื่อนทำบ่วง” จือจื่อดึงเอาเชือกมาจากเหมยจิ้งแล้วจัดการ ผูกเงื่อนต่างๆ หลายสิบเงื่อน ซูอวี่อ้าปากตะลึงตาค้างกับเงื่อนแบบแปลกประปลาดแต่ใช้งานได้จริง
“เอาล่ะบ่วงดักสัตว์ก็ต้องเงื่อนแบบนี้” พลางกระหยิ่มในใจสอบผูกเงื่อในวิชาลูกเสือจือจื่อได้อันดับหนึ่งเถอะ
โจวชวี่ยิ้มพยักหน้าขึ้นลงอดชื่นชมจื่อจื่อเสียไม่ได้
"ถานถานเจ้าไปทำความสะอาดให้องให้นายหญิง" หนานซ่งสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าหันมามองเขาก่อนจะยิ้มให้ "ไม่เกินหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย" ถานถานรับปากอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะก้มศีรษะและหันไปทางเหมยจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ"ข้าไปช่วยเจ้าด้วย" เหมยจิ้งพูดขึ้น พร้อมยิ้มให้กับถานถาน สองสาวเดินจากไปพร้อมกันอย่างรวดเร็วหนานซ่งหันไปทางจือจื่อ ยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ"เชิญนายหญิงทางนี้ขอรับ ที่นั่นสะอาดพอให้ได้นั่งขอรับ ส่วนข้าน้อยจะไปช่วยทั้งสองคนจับไก่"จือจื่อพยักหน้ารับ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่หินอ่อนก้อนใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การนั่งพักผ่อนหนานซ่งและสองแฝดเดินไปยังประตูใหญ่ของจวน จือจื่อหันหลังให้พวกเขาแล้วถอนหายใจยาว เหมือนกำลังผ่อนคลายความกังวลที่สะสมมานาน "อย่างน้อยก็ไม่แย่นะ ทุกคนดี แวดล้อมดี และชีวิตแสนสบายดี..." เธอพูดเบาๆ พลางบิดขี้เกียจด้วยท่าทางผ่อนคลาย "เฮ้อ สาวแก่อย่างฉัน จะต้องเอาตัวรอดได้สิน่าฮุๆๆ ไม่มีอะไรในโลกที่จือจื่อทำไม่ได้ยกเว้นการมีผัว..." จือจื่อพูดเล่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ"ก็สเปคฉันคือเทพเซียนนี่น่า ฮึ ถ้าไม่หล่อ
"พวกข้าก็พึ่งมาถึง เลยมาดูทำเลก่อน คิดกันว่าที่นี่รกร้าง ยึดสักห้องจะเป็นไรไป""พวกเจ้าตาถึงจริงๆ เลือกที่ดีเชียว ได้ข้าแบ่งให้พวกเจ้าช่วยกันครอบครองที่นี่" จือจื่อหัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกายเหมยจิ้งเดินกลับมาในจังหวะที่เสียงหัวเราะของจือจื่อกับสองแฝดยังดังไม่ขาดสามหัวสุมหัวเม้าท์มอยไปเรื่อยอย่างเข้าขา เหมยจิ้งมือถือตะกร้าใบเล็ก ภายในมีเข็ม ด้ายและเชือก อีกมือมีจานไม้ที่วางไก่สับแบ่งเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารลอยมาแล้วทำให้ทุกคนชะงักหันมามองด้านหลังเหมยจิ้งมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงและสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สีหน้าทั้งคู่ดูทั้งตื่นเต้นทั้งเกร็ง เสื้อผ้าสีทึมเกือบขาด ชายคนนั้นก้าวเข้ามา พอเห็นจือจื่อนั่งอยู่ก็รีบคำนับอย่างลนลาน"ข้าน้อยหนานซ่ง เป็นพ่อบ้านดูแลจวนหลังนี้ คารวะพระสนม…ข้า…ข้าน้อยผิดเองที่ไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดมาพัก ยังปล่อยให้จวนทรุดโทรมถึงเพียงนี้" หนานซ่งก้มศีรษะต่ำลงอีกครั้ง"พูดตามตรง…ข้าน้อยไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่จริงๆ"โจวชวี่กับชูอวี่ที่กำลังแทะไก่ของตัวเองมองหน้ากัน ก่อนจะวางไก่ลงแล้วกอดอกยืดตัวเชิดหน้าโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเหมือนเพิ่งได้ชัยชนะบางอย่างจากการ
"ตกปลา ล่าไก่หรือ เจ้าเป็นสนมอยู่ในวัง เป็นลูกขุนนาง คงไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้ทำยากขนาดไหน กว่าจะใช้ธนูยิงมาได้แต่ละตัว พวกข้าก็ไม่มีธนูตอนนี้"จือจือทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา"พวกเจ้านี่ไม่คิดจะพัฒนาบ้างหรือไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวข้าสอนวิธีดีๆ ให้ มีร้อยแปดวิธีในการจับไก่"โจวชวี่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ"เจ้าเอาเครื่องมือมาหรือ ดีเลย"จือจือส่ายหน้าอย่างอารมณ์ดี"ข้าจะทำเองให้พวกเจ้าต่างหาก แต่ว่าต้องใช้เวลา"นางเอามือลูบท้องตัวเองที่ร้องประท้วงไม่หยุด เสียงดังจ๊อกเบาๆ"ตอนนี้เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือข้ากำลังหิวมาก ไก่ย่างของพวกเจ้าก็เอามาแบ่งเท่าๆ กัน รองท้องไปก่อนเถอะ อิ่มด้วยกัน อดด้วยกัน"จือจือเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายอย่างคนเห็นภาพอนาคตไกล"ข้ารับรองว่าต่อจากนี้เราจะมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีสังกะสีคุ้มหัว เจ้าไม่ต้องห่วง"เหมยจิ้งยืนมองนายหญิงของตนอย่างตะลึง ส่วนเด็กหนุ่มทั้งสองยืนนิ่งไปชั่วอึดใจ โจวชวี่กับชูอวี่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ความสดใสของจือจื่อทำให้บรรยากาศในตำหนักร้างที่มืดหม่นดูอ่อนลง หญิงอ้วนผู้มีแววตาสดใสคนนี้ประหลาดจริงเชียวโจวชวี่ก้มลงหยิ
จือจื่อเดินตามเหมยจิ้งเข้าไปด้วย ในจวนใหญ่รกร้างนั่นนับว่าคนขับรถม้าใจดีไม่น้อยอย่างน้อยอากาศหนาวๆ แบบนี้ทั้งสองก็ยังพอมีที่ซุกหัวนอนความเงียบงันของตำหนักร้างทำให้ทุกก้าวที่เหยียบลงไปเหมือนเหยียบลงบนหัวใจตัวเอง จือจื่อกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ผนังไม้ผุพัง เถาวัลย์เลื้อยพันรั้ว เดินทะลุผ่านโถงด้านในไปจนถึงด้านหลังที่ถูกกั้นไว้เหมือนสวนร้าง หญ้าขึ้นรกสูงเกือบถึงเข่า กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นควันจางๆ ลอยมากระทบจมูกดวงตาของจือจื่อเบิกกว้าง เมื่อเห็นควันไฟลอยออกมาจากห้องเก็บฟืนเก่าด้านหลัง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก"แย่แล้วเหมยจิ้ง ใครมาเผาบ้าน รีบมาช่วยกันดับไฟเร็ววววว"เสียงตะโกนของนางดังลั่นจนเหมยจิ้งสะดุ้ง จือจื่อไม่รอช้า วิ่งพรวดเข้าไปผลักประตูห้องเก็บฟืนอย่างแรง ประตูไม้ผุส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะเปิดออกพร้อมควันขาวลอยคลุ้งภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางชะงัก บุรุษหนุ่มสองคน อายุราวสิบห้าปี หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวมอมแมม นั่งยองๆ อยู่ข้างกองไฟเล็กๆ ที่ก่อจากเศษไม้แห้งทั้งสองอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหงายหลังล้มผงะออกจากกองไฟด้วยความตกใจ"อ๊าก"
"ข้าจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้..." เยว่จื่อพูดในใจ รู้สึกถึงความหนักหน่วงที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมยจิ้งจับมือของเยว่จื่อแน่นขึ้น รู้ดีว่าการสนับสนุนจากใครสักคนคือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้เยว่จื่อผ่านพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้"เจ้าค่ะ นายหญิงจือจื่อ" ในยามที่ร่างกายอ่อนล้า ใจของเยว่จื่อยังคงแข็งแกร่งไม่แพ้ใครเยว่จื่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหลับตาลง ทุกอย่างมันเหมือนกับภาพลวงตาแต่อย่างน้อย ร่างนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่...หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากการถูกเนรเทศมาที่ตำหนักร้างนั้น เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวและความอดอยาก ตำหนักที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงศักดิ์ตอนนี้กลับกลายเป็นที่รกร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์และฝุ่นเก่าทึม จนแทบไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ รถม้านำทั้งสองคนมาทิ้งไว้ที่นี่"ไม่มีอะไรกินได้เลยเจ้าค่ะ... โธ่...นายหญิงของเหมยจิ้งต้องหิวมากๆ เลยใช่ไหมเจ้าค่ะ..." เสียงของเหมยจิ้งแผ่วเบาด้วยความห่วงใยจือจื่อลองยืนมองรอบๆ ตำหนักที่ถูกทิ้งร้าง บรรยากาศรอบๆ มืดมัวและเงียบสงัด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่น่าพึงพอใจเยว่จื่อหรือจือจื่อหันมองไปที่เหมยจิ้งอย่างเหนื่อยล้าและท้อแท้ ร่
เสียงฟาดของไม้กระหน่ำลงบนแผ่นหลังของเยว่จื่อดังสนั่น แรงของการตีทำให้ร่างอ้วนๆ ของนางสะท้านไปทั้งตัว แต่เยว่จื่อยังคงตั้งท่าหยัดยืน มือกุมที่แผ่นหลังที่กำลังเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมร้องเสียงดัง ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอที่ทุกคนหวังจะได้เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัวก็ตาม"ฮึก... อึก…" เสียงหอบแห้งของนางดังขึ้น เฉพาะในใจที่เผชิญกับความเจ็บปวดจนแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ทุกคำพูดที่ออกจากปากกลับเป็นเสียงด่าทอ"พวกคนสารเลวข้าไม่มีทางอภัยให้พวกเจ้า" เยว่จื่อกัดฟันกรอดร่างของนางสะเทือนจากไม้ที่ฟาดลงอย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่ารู้ว่าอับจนหนทางแล้วรอยยิ้มระรื่นก่อนหน้านั้นมลายหายไปบุรุษกำยำที่ยืนคอยจับตัวหากว่าจะหนี ขณะที่กลุ่มสนมเอกและพวกที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย เหมยจิ้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงฟาดไม้สะท้านไปทั่วตำหนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างได้ หลินซื่อหานยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการเห็นลูกสาวของตัวเองโดนทำร้ายเช่นนี้"พระสนมได้โปรด... ข้าขอร้องเถิด" หลินซื่อหานร้องตะโกนออกไป สีหน้าของเขามืดมนไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด แต่อีกด้านห







